- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) อนุมัติงบประมาณปี 2569 สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 2.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.51% เพื่อรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ พร้อมขยายสิทธิประโยชน์ใหม่ 10 รายการ ดูแลประชาชนกว่า 47 ล้านคนทั่วประเทศ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ได้เห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569 วงเงิน 272,583.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,196.80 ล้านบาท หรือ 19.51% จากปี 2568 โดยมีงบเหมาจ่ายรายหัว 4,298.24 บาทต่อประชากร เพิ่มขึ้น 442.16 บาท สำหรับงบประมาณปี 2569 แบ่งเป็น งบเหมาจ่ายรายหัว 204,174.99 ล้านบาท ดูแลประชากร 47.50 ล้านคนงบค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว 68,408.32 ล้านบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง บริการในพื้นที่กันดาร หน่วยนวัตกรรม และการสร้างเสริมสุขภาพนอกจากนี้ ยังมีงบประมาณสำหรับยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวม 13,617.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.2% จากปีที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า งบประมาณปี 2569 จะสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น 30 บาทรักษาทุกที่ การลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค รวมถึงสิทธิประโยชน์ใหม่ 10 รายการ โดยจะนำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ด้าน…
นครปฐม – ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับ สภ.ดอนตูม จ.นครปฐม บุกจับกุมนายชิติสรรค์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” หลังก่อเหตุหลอกลวงแรงงานชาวเมียนมาเปิดบัญชีธนาคาร ก่อนนำไปใช้เป็น “บัญชีม้า” ในการกระทำความผิด สืบเนื่องจากเมื่อปี 2567 แรงงานชาวเมียนมา 54 ราย ได้เข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานทูตเมียนมา หลังถูกกลุ่มมิจฉาชีพชาวไทยและเมียนมาหลอกลวงให้เปิดบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าจะนำไปใช้รับเงินเดือน แต่กลับนำไปใช้ในธุรกรรมผิดกฎหมาย ส่งผลให้แรงงานเหล่านี้ตกเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีนาย Kway swe Lin (โจวซุยลิน) ชาวเมียนมาเป็นผู้ประสานงาน โดยใช้บริษัทจัดหางานเป็นฉากบังหน้า หลอกลวงแรงงานให้มาทำงานในประเทศไทย จากนั้นนายชิติสรรค์จะพาไปเปิดบัญชีธนาคารและลงทะเบียนซิมการ์ด ก่อนนำบัญชีพร้อมซิมการ์ดไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ นำไปใช้ในธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น หลอกขายสินค้าออนไลน์ พนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ หลังจากแรงงานชาวเมียนมาเข้าร้องเรียน สถานทูตเมียนมาได้ประสานธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีดังกล่าว พบว่ามีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท โดยที่แรงงานเหล่านี้ไม่ทราบที่มาของเงินดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนติดตามตัวนายชิติสรรค์ จนสามารถจับกุมได้ขณะกำลังนั่งตกปลาบริเวณริมคลอง ม.14 ต.วังน้ำเขียว อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าทำหน้าที่ขับรถตู้พาแรงงานต่างด้าวไปเปิดบัญชีธนาคารในหลายจังหวัด เช่น สมุทรปราการ ปทุมธานี และระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพขโมยบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการว่า ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตเร่งตรวจสอบ ดูแล และชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกค้าทุกรายที่ได้รับผลกระทบ โดยกำหนดให้ผู้ถือบัตรเครดิตไม่ต้องรับผิดชอบต่อยอดใช้จ่ายและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ส่วนกรณีบัตรเดบิต ธนาคารจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรเต็มจำนวนภายใน 5 วัน นับจากวันที่ตรวจสอบพบว่าผู้ถือบัตรไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่ผิดปกติ พร้อมย้ำให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ธปท. ยังได้กำชับให้ผู้ให้บริการบัตรเครดิตติดตามร้านค้าที่มีความเสี่ยง โดยเน้นย้ำการตรวจสอบ KYC (Know Your Customer) และการประเมินความเสี่ยง รวมถึงการติดตามพฤติกรรมของร้านค้าอย่างต่อเนื่อง หากพบพฤติกรรมน่าสงสัยหรือเข้าข่ายให้บริการที่ไม่ถูกกฎหมาย ต้องยุติการให้บริการทันที และพิจารณาดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม สำหรับประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือร้องเรียนปัญหาการใช้บริการทางการเงิน สามารถติดต่อ BOT contact center โทร. 1213
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึงนายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ แฉข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์บนตึก 25 ชั้น ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งเคยถูกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงก่อนหน้านี้ นายอัจฉริยะ ระบุว่า ตึกดังกล่าวมีการปิดหน้าต่างมิดชิด เพื่อป้องกันคนหนี ล่าสุดมีคนไทยตกตึกเสียชีวิต คาดว่าพยายามหลบหนี เนื่องจากชั้นล่างมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังยื่นข้อมูลการจับกุมทุนจีน พร้อมอายัดทรัพย์กว่า 700 ล้านบาท ในสมัยที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่กลับปล่อยตัวผู้ต้องหา และคืนทรัพย์สินทั้งหมด โดยไม่มีการดำเนินคดี จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยนับแสนล้านบาทต่อปี จึงควรเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมยืนยันว่า กมธ. จะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ และผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง ขณะที่ พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เผยว่า ชายไทยที่ตกตึกเสียชีวิตในปอยเปต อาคารที่เกิดเหตุเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับทางการกัมพูชา เพื่อเร่งสืบสวนขยายผล
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. และ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. ร่วมกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บุกทลายเหมืองบิทคอยน์เถื่อน ลักลอบใช้ไฟฟ้า สร้างความเสียหายกว่า 110 ล้านบาท การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. สืบทราบว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ประกอบกิจการซื้อขายเหรียญสกุลเงินดิจิทัล แต่มีพฤติกรรมลักลอบใช้ไฟฟ้า โดยดัดแปลงแก้ไขมิเตอร์ไฟฟ้า จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว จากการตรวจค้น พบอุปกรณ์เครื่องขุดบิทคอยน์จำนวนมากถึง 996 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 4 เครื่อง อุปกรณ์เราน์เทอร์ 3 เครื่อง และมิเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกดัดแปลง 1 เครื่อง เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมด และนำส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยว่า บริษัทดังกล่าวลักลอบใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 110 ล้านบาท ซึ่งทางการไฟฟ้าได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ส่งหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คัดค้านโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” โดยระบุ 3 เหตุผลหลัก ดังนี้ 1. อุปทานล้นตลาด: ดร.โสภณ ชี้ว่า ปัจจุบันมีห้องชุดภาคเอกชนรอขายจำนวนมาก โดยยกตัวอย่างพื้นที่ใกล้เคียงบางซื่อ กม.11 มีห้องชุดราคา 1.46 – 3.048 ล้านบาท เหลือขายกว่า 1,111 หน่วย ใกล้เมืองและรถไฟฟ้ามากกว่าโครงการของรัฐบาล จึงควรสนับสนุนภาคเอกชนระบายสต็อก แทนการสร้างใหม่2. ค่าเช่าที่ดินต่ำเกินจริง: ดร.โสภณ ตั้งข้อสังเกตว่า ค่าเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ใน 3 พื้นที่โครงการ รวมเพียง 100 ล้านบาท ถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก โดยประเมินว่า หากคิดตามราคาตลาด ควรมีมูลค่าสูงถึง 2,040 ล้านบาท หากเช่า 30 ปี ควรได้ค่าเช่าอย่างน้อย 612 ล้านบาท และหากเช่า 99 ปี ควรได้ถึง 1,632 ล้านบาท3. ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน: ดร.โสภณ วิเคราะห์ว่า การขาย “บ้านเพื่อคนไทย” ในราคาต่ำกว่าทุน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ซื้อ จำนวน 1,232 หน่วย แต่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนส่วนรวม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ดร.โสภณ ยังเรียกร้องนายกรัฐมนตรี ทบทวนโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” โดยคำนึงถึงผลกระทบ และความเป็นธรรมต่อประชาชน
The Publisher สรุปเนื้อหาจากบทความ “รวยอย่างชินวัตร EP 3 รวยจนชาติบ้านเมืองชิบหาย” ของ อ.แก้วสรร อติโพธิ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาคอรัปชั่นในระบอบทักษิณ โดยมีใจความสำคัญดังนี้1. ระบอบทักษิณเติบโตจากทุน 4 ประการ* เงินทุน* อำนาจในระบบ* สื่อและปัญญาชนชวนเชื่อ* สาวกบริวารทุนเหล่านี้สร้างเสริมกันเป็นวงจร ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจสร้างเงิน ทำให้ระบอบนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว2. คอรัปชั่นแฝงอยู่ในนโยบายประชานิยม* ระบอบทักษิณใช้สินค้าประชานิยม เช่น โครงการจำนำข้าว รถคันแรก 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อแลกกับคะแนนเสียง* มีการแจกจ่ายงบประมาณและสวัสดิการแบบเลือกที่รักมักที่ชัง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อฐานเสียง* มีการใช้เงินนอกระบบ เช่น เงินจากสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อหล่อเลี้ยงระบบหัวคะแนน3. ตัวอย่างโครงการทุจริตบทความยกตัวอย่างโครงการต่างๆ ที่มีการทุจริต เช่น โครงการซื้อรถดับเพลิง โครงการรับจำนำข้าว โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประเทศมหาศาล4. ระบอบทักษิณทำให้ทุกคนร่วมกันคอรัปชั่น* ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน ต่างได้ประโยชน์จากการคอรัปชั่น ทำให้ระบบนี้ดำรงอยู่ได้* เปรียบเทียบระบอบนี้เหมือนซ่องโสเภณี ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน5. ความกังวลต่ออนาคต:* หากระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจอีก ประเทศชาติจะเสียหายจากนโยบายประชานิยม และการทุจริตคอรัปชั่น* เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อาจซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจไทย และนำไปสู่วิกฤตที่รุนแรงบทความนี้สะท้อนมุมมองของผู้เขียนต่อระบอบทักษิณ โดยเน้นย้ำถึงปัญหาคอรัปชั่น และผลเสียที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร กำลังเป็นประเด็นร้อนที่จุดประกายความกังวลในสังคมไทย ด้วยเนื้อหาที่อนุญาตให้มี “สถานบันเทิงครบวงจร” รวมถึงกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนมกราคม 2568 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงช่องโหว่และความไม่โปร่งใสของกฎหมายฉบับนี้ The Publisher สรุปข้อกังวลจากข้อมูลของ คุณธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง มีประเด็นน่าสนใจดังนี้ 1. ไม่ตรงปก “สิงคโปร์โมเดล” ลดสเป็กองค์ประกอบ: ร่าง พ.ร.บ.นี้ กำหนดองค์ประกอบของสถานบันเทิงครบวงจรไว้ต่ำกว่ามาตรฐานสากล เช่น โรงแรมไม่จำเป็นต้องระดับ 5 ดาว ส่วนห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ประชุมก็มีหรือไม่มีก็ได้ ต่างจาก “สิงคโปร์โมเดล” ที่มีมาตรฐานสูง สุดท้ายกลายเป็นเริ่มต้นสิงคโปร์จบแบบปอยเปต ไม่จำกัดจำนวนกาสิโน: เปิดช่องให้มีกาสิโนได้ไม่จำกัดจำนวน สวนทางกับสิงคโปร์ที่จำกัดไว้เพียง 2 แห่ง คนไทยเข้าถึงง่าย: กำหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้าไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งอาจเก็บต่ำกว่านั้น หรือไม่เก็บเลย ไม่มีกองทุนลดผลกระทบ: ขาดกลไกสำคัญในการจัดการปัญหาสังคมจากการพนัน ต่างจากสิงคโปร์ที่มีกองทุนเฉพาะ 2. ซุปเปอร์บอร์ด อำนาจล้นฟ้า นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน: คณะกรรมการนโยบายมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจอนุมัติทุกอย่าง ตั้งแต่สถานที่ตั้ง จำนวน ผู้รับใบอนุญาต ไปจนถึงอัตราภาษี ไม่ต้องประมูล: เสี่ยงต่อการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใกล้ชิด ขาดธรรมาภิบาล: กระบวนการขาดความโปร่งใส ตัดสินใจโดยไม่รับฟังความเห็นประชาชน 3 เงินเข้ารัฐหรือเป็นตู้เอทีเอ็มให้ฝ่ายการเมือง? ไม่กำหนดสัดส่วนรายได้: กฎหมายไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า รายได้จากกาสิโนจะต้องส่งเข้ารัฐเท่าใด ตู้เอทีเอ็มของฝ่ายการเมือง : เมื่อไม่มีการกำหนดรายได้เข้ารัฐ อาจกลายเป็นแหล่งเงินนอกระบบให้ฝ่ายการเมืองล้วงไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือกลายเป็นตู้เอทีเอ็มที่ฝ่ายการเมืองกดไปใช้ได้ตามใจชอบ สำนักงานกำกับดูแลฯ เบิกจ่ายสูง: สำนักงานฯ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมและใบอนุญาต รวมถึงสามารถเสนอโครงการให้บอร์ดพิจารณา ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ได้
นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ที่ จ.เชียงราย ว่า “มีอยู่คนหนึ่งหาว่าเราสร้างความวุ่นวาย ตั้งแต่แพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2544 ก็แค้นจนถึงทุกวันนี้ เขตเลือกตั้งมี 450 คน เลือกเขาแค่ 47 คน แก่แล้วยังลงเลือกตั้งอยู่” ว่า ตนแก่แล้วแต่ยังเป็นผู้แทนฯ อยู่ และเป็น สส.มา 17 สมัย เป็นตั้งแต่สมัยบิดานายทักษิณ แต่ตนไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังผลส่วนตัว เพื่อมาดูธุรกิจส่วนตัว ตนไม่มีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องมาปกป้อง และไม่ได้มาเพื่อเอาประโยชน์ให้ครอบครัว ดังนั้น ความคิดที่ว่าอายุมากแล้วให้เลิกเล่นการเมือง ตนไม่ได้คิด แต่คิดว่ายังทำงานให้ประชาชนได้อยู่ ถ้ามาทำธุรกิจ ได้กำไรแล้วเลิก นั่นคือเรื่องหนึ่ง แต่การที่อายุมาก ยังเป็น สส.อยู่ ก็ยังทำงานได้อยู่ ตนอยู่ก็ได้ประโยชน์ในแง่ว่าอยู่มานาน แต่คนรุ่นใหม่มีความรู้ดีกว่าเราหลายเรื่อง แต่ข้อมูลบางเรื่องคนรุนใหม่จะไม่พร้อม “นายทักษิณบอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ผมเป็นคนรุ่นเก่า คือรุ่นไม่โกง รุ่นไม่ซื้อเสียง มาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดมั่นในระบอบรัฐสภา ยึดความซื่อสัตย์สุจริต ยึดหลักกฎหมายเป็นหลัก ผมถือเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ยืนยันว่าผมไม่อาฆาตแค้นนายทักษิณ ผมเคยพูดว่าหากท่านทำประเทศเป็นเหมือนธุรกิจ ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ใครก็ตามที่ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ก็จะต้องมีปัญหา ผมยังทำหน้าที่เป็นผู้แทนอยู่ โชคดีที่วัยผมทำอะไรได้ ยังมีความจำอยู่ ยังไม่ถึงขั้นความจำเลอะเลือนหรือจำอดีตไม่ได้ อาจไม่ปราดเปรื่องอย่างกับคนรุ่นใหม่ สิ่งที่รู้ในอดีตยังจำได้ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่หวังดี แต่เขาไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่างที่ผมเองรู้ในหลายเรื่อง” นายชวน ระบุ
น.ส.สุปราณี สถิตชัยเจริญ รองโฆษกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ชี้แจงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง “บอสมิน” น.ส.พีชญา และ “บอสแซม” นายยุรนันท์ ในคดี “ดิไอคอน” แต่ ปปง. ยังคงยึดทรัพย์สินไว้ โดยระบุว่าเป็นคนละส่วนกับคดีอาญา แม้จะไม่ถูกฟ้องในคดีอาญา แต่ “มิน-แซม” ยังต้องไปพิสูจน์ต่อสู้คดีในชั้นศาลแพ่ง เพื่อแสดงว่าทรัพย์สินที่ถูกยึด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดี “ดิไอคอน” รองโฆษก ปปง. ยืนยันว่า การยึดทรัพย์เป็นไปตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อป้องกันความเสียหาย โดยให้เจ้าของทรัพย์เป็นผู้พิสูจน์ที่มา ซึ่งแตกต่างจากคดีอาญาที่เจ้าหน้าที่ต้องเป็นผู้หาหลักฐาน ทั้งนี้ ปปง. ได้ยึดทรัพย์ในคดี “ดิไอคอน” ไว้แล้ว 103 รายการ มูลค่า 286 ล้านบาท และเพิกถอนการยึดทรัพย์ไปแล้ว 40 รายการ มูลค่า 29 ล้านบาท เนื่องจากเจ้าของทรัพย์พิสูจน์ได้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด สำหรับผู้เสียหายในคดี “ดิไอคอน” ยังสามารถยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิได้ โดยต้องแสดงหลักฐานต่างๆ เช่น บัตรประชาชน หลักฐานการเงิน และเอกสารแจ้งความ โดยสามารถยื่นคำร้องได้ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
