Author: Writer Publisher

จากประเด็นที่รัฐบาลไทยถูกประณามจากนานาชาติ หลังส่งตัวนักกิจกรรมฝ่ายค้านกัมพูชา 6 คนและเด็กชาย 5 ขวบอีก 1 คนกลับประเทศ ท่ามกลางคำถามสำคัญเรื่องการละเมิดหลักสิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐบาลที่เรียกตัวเองว่า “รัฐบาลประชาธิปไตย” ซึ่งอาจเป็นความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลกัมพูชา โดยไม่นำพาว่าทั้งหมดอาจเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายหรือไม่ The Publisher ได้คุยกับ คุณสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษา ฮิวแมน ไรต์ วอร์ต อย่างเจาะลึกในเรื่องนี้ The Publisher : จากประเด็นที่เกิดขึ้น มีประเด็นไหนให้มองได้บ้าง สุนัย ผาสุก : ไทยส่งกลับนักกิจกรรม ที่สังกัดพรรคฝ่ายค้านกัมพูชา เป็นการบังคับส่งกลับโดยละเมิดทางกฎหมายไทย และกฎหมายต่างประเทศ โดยกฎหมายไทยมีกฎหมายต่อต้านการซ้อมทรมานและการอุ้มหาย ที่ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปเผชิญอันตราย คำถามคือในกัมพูชา คนที่เป็นสมาชิกฝ่ายค้านมีอันตรายไหม ต้องบอกว่าอันตราย ตั้งแต่อาจถูกยัดข้อหา ถูกปฏิบัติโดยไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลระหว่างที่ควบคุมตัวระหว่างที่สอบสวน ถึงขั้นถูกอุ้มหายได้ ส่วนกติกาสากลก็คือกฎหมายจารีตประเพณี ถึงประเทศไทยจะอ้างว่า ไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แต่เรื่องไม่ให้ส่งบุคคลไปเผชิญอันตราย มันเป็นกฎหมายจารีตประเพณี ไม่เกี่ยวกับการที่ไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัยหรือเปล่า กฎหมายจารีตประเพณีมันผูกมัดไทยและที่สำคัญไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ต้องทำตัวให้สมกับมาตรฐานนี้ แต่กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับชาวกัมพูชา เป็นข้อพิสูจน์ว่าพฤติกรรมของไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ได้ดีขึ้นเลย และเรื่องของการบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคคสช. ต่อเนื่องมาจนถึงยุครัฐบาลเศรษฐา ยุครัฐบาลปัจจุบันมันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลแต่การจัดผู้ลี้ภัยส่งกลับไปประเทศต้นทาง ที่มีอันตรายยังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง The Publisher : ตอนนี้บอกมาโดยตลอดว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ในมุมมองของคุณสุนัยผิดหวังหรือไม่ที่มีนโยบายแบบนี้ สุนัย ผาสุก : เรามีความคาดหวัง ใช่ครับว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลจากระบอบ คสช. ทหารเต็มตัวมาเป็นทหารครึ่งตัว อย่างยุครัฐบาลประยุทธ์ หลังจากนั้นก็เป็นรัฐบาลคุณเศรษฐา คุณแพรทองธาร มันก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ เพราะฉะนั้นพฤติกรรมด้านเคารพหลักสิทธิมนุษยชนมันก็ควรดีขึ้น โดยสามัญสำนึกเราก็คาดหวังแบบนั้น และที่สำคัญพอได้ตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น ยิ่งต้องผลักดันให้ทำตัวดีขึ้น แต่กลายเป็นว่าทั้งหลายทั้งปวงมันไม่ไปในทางที่สอดคล้องกัน ก็คือพฤติกรรมการละเมิดสิทธิมนุษยชน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราตั้งข้อสังเกตไว้ถึงขนาดทำรายงานว่า มีรูปแบบของการใช้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันกับรัฐบาลประเทศเผด็จการต่างๆ ในการไล่ล่าติดตามคนเห็นต่างที่หลบหลีกลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคนมีถิ่นฐานในไทย หรืออาศัยไทยเป็นทางผ่านไปต่อยังประเทศอื่น มีการไล่ล่า จับตัวคนส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง หรือหลับตาข้างหนึ่งให้เข้ามาลักพาตัว ซุึ่งยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ที่ให้ต่างชาติเข้ามาปฏิบัติการลักพาตัวคนที่เป็นเป้าหมายเอากลับไป โดยไม่เคารพกฎหมายไทย ยกตัวอย่าง กรณีของกัมพูชา กักตัวผู้หนีภัยชาวเวียดนาม หรือ ลาวก็เข้ามาลอบสังหารในไทย แค่ยกตัวอย่างสามประเทศ ฉะนั้นมันเป็นสภาพที่ ฮิวแมนไรต์ วอตซ์ บัญญัติศัพท์ขึ้นมาว่าไทยทำข้อตกลงที่ลักษณะเหมือนกับเป็นตลาดแลก…

Read More

ช็อกวงการบันเทิงเกาหลีใต้ เมื่อนักแสดงหนุ่มชื่อดังมากความสามารถ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเกาหลี “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันในวัย 32 ปี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ณ ประเทศจีน สร้างความเศร้าใจอย่างมากต่อครอบครัว คนใกล้ชิด และแฟนคลับ ยิ่งได้ทราบสาเหตุของการเสียชีวิตก็ยิ่งเศร้า ตามข้อมูลของสื่อเกาหลีได้รายงานว่า “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” ผู้เสียชีวิต ได้จากไปด้วยอาการ “หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ทั้งนี้ พิธีศพของ “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” จะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม เวลา 09:30 น. โดยยังไม่ได้ระบุสถานที่ฝังร่างของนักแสดงหนุ่ม ทางทีมข่าว The Publisher ของร่วมแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจให้กับครอบครัวได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้ได้โดยเร็ว

Read More

ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งตีปี๊บเป็นปลื้มไทยได้รับเลือกเป็นคณะมนตรี UNHCR ด้วยคะแนนสูงสุด พร้อมประกาศจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งเพิ่งได้รับคำชื่นชมจากยูเอ็นว่าหยุดภาวะไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ด้วยการให้สัญชาติไทยกับกลุ่มผู้อพยพมากกว่า 4.8 แสนคน สูงสุดในโลก แต่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวเหตุการณ์กลับตาลปัตร รัฐบาลไทยถูกประณามจากทั้ง UN กลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR) และ Human Rights Watch จากการส่งตัวนักกิจกรรมฝ่ายค้านชาวกัมพูชากลับประเทศโดยรัฐบาลไทยจุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับการเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แม้จะมีกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ชัดเจน แต่การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลของรัฐบาลในการละเมิดหลักการพื้นฐานเหล่านี้ ทั้งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย” แต่เมื่อเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับรัฐบาลกัมพูชา “รัฐบาลประชาธิปไตย” ของ แพทองธาร ชินวัตร กลับเลือกที่จะส่งตัวนักกิจกรรม 6 คน และเด็กชายวัน 5 ขวบกลับกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา จนเกิดเสียงประณามดังไปทั่วโลก น่าประหลาดใจที่ “รัฐบาลปชต.” ของ “แพทองธาร” กลับไม่นำพาต่อสิ่งที่น่าจะคาดการณ์ได้ว่า ทั้งนักกิจกรรม 6 คน และเด็กชายวัย 5 ขวบ อาจเผชิญกับการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติมิชอบ ซึ่งการกระทำนี้ไม่เพียงละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน แต่ยังขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหายของไทยเองด้วย รัฐบาลแพทองธารใช้ข้อหาคนเข้าเมืองเป็นเครื่องมือในการส่งตัวผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาในการปราบปรามผู้เห็นต่าง การกระทำเช่นนี้เป็นการบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของการลี้ภัย ขัดต่อการยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติตามที่ประกาศไปหรือไม่ รัฐบาลต้องทบทวนดู ขณะที่รัฐบาลกัมพูชามีแนวโน้มที่จะออกกฎหมายใหม่ ยัดข้อหาก่อการร้ายให้กับฝ่ายค้านหัวรุนแรงในต่างแดน นี่คือพฤติการณ์ของรัฐบาลที่มีสายสัมพันธ์ดียิ่งกับรัฐบาล ปชต.ของแพทองธาร เกิดคำถามว่าผู้ลี้ภัยก็ส่งตัวให้ ผลประโยชน์ทางทะเลก็พร้อมเจรจา หรือนี่จะเป็น มิตรภาพสีเทาระหว่างทักษิณ-ฮุนเซน เป็นสายสัมพันธ์บนผลประโยชน์ที่ไร้ซึ่งคำอธิบาย นอกจากความลงตัวที่ตกลงส่วนตัวได้ทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าจะกระทบส่วนรวมใช่หรือไม่

Read More

🔴 29 พ.ค. 67◾ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ภูนับดาว พบตั้งอยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก.◾ สั่งเจ้าของที่ดินชี้แจงภายใน 30 วัน 🔴 มิ.ย. 67◾ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรีย้ายตัวเอง อ้างปัญหาสุขภาพ◾ ปฏิรูปที่ดินคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง◾ รีสอร์ทขอขยายเวลาแก้ไข◾ ปฏิรูปที่ดินคนใหม่ ทำสัญญาเช่าที่ดินให้เอกชน◾ รมว.เกษตรฯ สั่งย้ายปฏิรูปที่ดินคนใหม่ออกจากพื้นที่ 🔴 หลังจากนั้น◾ ตรวจสอบพบรีสอร์ทจดทะเบียนบริษัท มีนักธุรกิจชื่อดังเป็นผู้บริหาร◾ พบเงินจากบริษัทภูนับดาว โอนเข้าบัญชีนักธุรกิจคนดังกล่าว◾ พบหญิงสาวคนสนิทอดีตรองนายกฯ เข้าออกบริษัทบ่อยครั้ง◾ พบเส้นทางการเงิน 10 ล้านบาท โอนจากบริษัทเข้าบัญชีหญิงสาวคนสนิท 5 ครั้ง ครั้งละ 2 ล้านบาท◾ ป.ป.ท. เรียกหญิงสาวเข้าชี้แจง 2 ครั้ง แต่ไม่มา◾ ส่งข้อมูลให้ ปปง. ดำเนินการต่อ 🔴 30 พ.ย.67◾ รอง ผบช.ก. แถลง ตำรวจร่วมกับ ป.ป.ช. ป.ป.ท. และนายธนดล ตรวจสอบพบการทุจริต◾ พบข้าราชการระดับรองผู้ว่าฯ และเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ◾ พบเส้นเงิน 10 ล้านบาท โยงถึง “หวานใจ” บุคคลใกล้ชิดผู้ใหญ่ในพรรคการเมือง◾ รอง ผบช.ก. ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง 🔴 2 ธ.ค.67 ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แจง 4 ข้อ1.วิชิต พยุหนาวีชัย ดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเป็นกรรมการของบริษัทฯ2.โอนเงินเพื่อชำระคืนหุ้นกู้เมื่อครบกำหนด 13 มิ.ย.66ชำระของหุ้นกู้รุ่น…

Read More

คดีทุจริตระบายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “บุญทรง” กับพวก ดังนี้◾ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ถูกชี้มูลความผิด ฐานทุจริตทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) 7 สัญญา มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท◾ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ถูกชี้มูลความผิด ด้วย◾ มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โดนชี้มูลความผิดถึง 3 สำนวน◾ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา พ้นข้อกล่าวหา สาระสำคัญของคดี◾ ป.ป.ช. ชี้ว่าการทำสัญญา G to G ทั้ง 7 สัญญากับบริษัทจีน ไม่ใช่การทำสัญญากับรัฐบาลจีนโดยตรง แต่เป็นการทำกับรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน◾ มีการขายมันสำปะหลัง ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้รัฐเสียหายกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท สถานะปัจจุบัน◾ ป.ป.ช. ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว◾ บุญทรง ได้รับการพักโทษ คดีระบายข้าวแบบ G to G◾ มนัส สร้อยพลอย น่าจะได้รับการพักโทษ คดีระบายข้าวแบบ G to G เช่นเดียวกับ บุญทรง◾ วีระวุฒิ ถูกตัดสินจำคุก 72 ปีแต่จำคุกตามกฎหมายได้ 50 ปี อยู่ระหว่างหลบหนี

Read More

สถานการณ์การปะทะคารมทางการเมืองระหว่าง อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และ แพทองธาร ชินวัตร เป็นประเด็นที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ “วาทกรรม” ในโลกออนไลน์เพื่อสร้างความชอบธรรมและโจมตีฝ่ายตรงข้าม จุดเริ่มต้นมาจาก คำให้สัมภาษณ์ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “สามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ หรือไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้” ถูก “เจี๊ยบ” อมรัตน์ วิจารณ์ว่าเป็นคำตอบที่ไม่เกินชายคาบ้าน “เฉิ่ม” และ “เอาตัวเองเป็นแกนกลางของจักรวาล ตามมาด้วยการฟาดแรงว่า “ตอบคำถามยังไงให้มีความเสี่ยงต้องมีผัวให้ครบทุกภาค“ ทำเอานายกฯ คุณหนูนั่งไม่ติด มีการตอบโต้ผ่าน Instagram Story ด้วยข้อความภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยได้ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง” และ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น” แม้จะไม่ระบุว่ากล่าวถึงใครแต่การแชร์คำคมทั้งสองประโยคในห้วงเวลานี้ทำให้มองเป็นอื่นไปได้ยาก นอกจากตอบโต้ ”เจี๊ยบ อมรัตน์“ หากเราวิเคราะห์จะเห็นว่า นายกฯ คุณหนู ใช้วาทกรรมเชิงอำนาจตบด้วยการใช้ภาษาอังกฤษ อาจตีความได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเหนือกว่า หรือการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำยุคใหม่ ไปจนถึงการกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้าม “ไม่มีความมั่นใจ” เป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือ การตีความคำพูดของนายกฯ คุณหนู จึงอาจตีความได้หลายแง่มุม เช่น เป็นการแสดงความมั่นใจในตนเอง ปฏิเสธคำวิจารณ์โดยไม่ชี้แจงเหตุผล และ โจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยอ้อม แม้จะดู “เฟียส” ถูกใจผู้สนับสนุนแบบฟาดมาฟาดกลับ แต่ก็มีสิ่งที่ควรคำนึงถึง โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่ลดตัวไปปะทะคารมกับ “เจี๊ยบ อมรัตน์” ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในทางการเมือง ยกเว้นปากที่ยังแซบแบบเต็มสิบไม่หัก เหตุการณ์นี้ยังเป็นตัวอย่างของการใช้วาทกรรมในโลกออนไลน์เพื่อสร้างความชอบธรรม โจมตีฝ่ายตรงข้าม และช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของโซเชียลมีเดียต่อการเมืองไทยที่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นสื่อกระแสรองหรือกระแสหลัก เพราะประโยคจากโซเชียลถูกนำไปขยายความต่อจากสื่อหลักอยู่เป็นประจำ สิ่งสำคัญคือประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และไม่ตกเป็นเครื่องมือของวาทกรรมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายใดก็ตาม

Read More

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ได้จุดชนวนความตึงเครียดครั้งใหม่บนเวทีเศรษฐกิจโลก ด้วยการประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย ขู่ขึ้นภาษีศุลกากร 100% กับกลุ่มประเทศ BRICS หากกลุ่มประเทศดังกล่าวดำเนินการใด ๆ ที่บ่อนทำลายค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คำขู่ของทรัมป์พุ่งเป้าไปที่ 9 ประเทศสมาชิก BRICS ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอธิโอเปีย ซึ่งล้วนเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่กำลังพิจารณาเข้าร่วมกลุ่ม BRICS เช่น ไทย มาเลเซีย และตุรกี ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้เช่นกัน ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ BRICS สร้างสกุลเงินใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินใดๆ เพื่อทดแทนดอลลาร์สหรัฐฯ โดยขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอย่างรุนแรง หาก BRICS ฝ่าฝืนคำเตือน การขู่ครั้งนี้ของทรัมป์ สอดคล้องกับท่าทีของเขาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่เน้นนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) และมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และอาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ BRICS แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงเป็นสกุลเงินหลักในการค้าระหว่างประเทศ แต่กลุ่ม BRICS และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เริ่มแสดงความไม่พอใจต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ที่มีต่อระบบการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการกดดันประเทศอื่น ๆ จนนำไปสู่ความพยายามของ BRICS ที่จะลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ มองหาทางเลือกอื่น ๆ เช่น การสร้างระบบการชำระเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ กลายเป็นการท้าทายตรงไปยังดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะยังไม่มีสกุลเงินใดที่สามารถทดแทนดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สั่นคลอนความเป็นหนึ่งที่เคยดำรคงอยู่มานาน สำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับทั้งสหรัฐฯ และ BRICS เนื่องจากไทยเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น การค้าระหว่างประเทศอาจได้รับผลกระทบ การลงทุนจากต่างประเทศอาจลดลง หรือค่าเงินบาทอาจมีความผันผวนมากขึ้น ประเทศไทยจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป

Read More

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จัดงานเสวนา “แผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)” ณ กระทรวงยุติธรรม โดยมี พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI เป็นประธาน การเสวนาครั้งนี้มีขึ้นเพื่อถอดบทเรียนจากกรณี STARK ซึ่งเป็นคดีฉ้อโกงในตลาดทุน สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท มีผู้เสียหายกว่า 4,700 ราย โดย DSI มุ่งหวังที่จะนำบทเรียนนี้ไปสู่การพัฒนามาตรการป้องกัน ปราบปราม และเยียวยาผู้เสียหายในคดีตลาดทุนในอนาคต พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี STARK โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี และผู้ทรงคุณวุฒิ คณะทำงานฯ ได้ศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำรายงาน โดยมีเนื้อหาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ ของกรณี STARK มาตรการป้องกัน ทั้งมาตรการที่มีอยู่เดิม และมาตรการที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การกำกับดูแลผู้เกี่ยวข้อง การจัดทำ red flag และการคุ้มครองผู้ให้เบาะแส (whistleblower) มาตรการปราบปราม มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการเยียวยา เช่น การติดตามทรัพย์สินคืนผู้เสียหาย และการจัดตั้งกองทุนเยียวยา งานเสวนาครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มผู้เสียหาย โดยมีการนำเสนอข้อมูล และรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุงรายงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไป ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

ทันทีที่กรมราชทัณฑ์ปล่อยตัว นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ต้องขังคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี หลังได้รับการพักโทษ โดยติดกำไลอีเอ็ม 3 ปี 5 เดือนจากต้องโทษจำคุก 48 ปี และได้รับพระราชทานอภัยโทษมาต่อเนื่อง โดยมีกำหนดพ้นโทษจริง 21 เมษายน 2571 ซึ่งเท่ากับจำคุกจริงเพียง 7 ปี สร้างความดีใจของเจ้าตัว ครอบครัวพี่น้องคนที่รัก รวมถึงผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงทางการเมือง แต่เรื่องนี้มีคำถามตัวโตๆ คาใจคนไทยอยู่เช่นกันว่า จบกันง่ายๆ แบบนี้ใช่ไหม กับผู้ต้องโทษคดีทุจริต แล้วความเสียหายของรัฐในคดีนี้ 2 หมื่นล้านบาท ที่ศาลสั่งให้จำเลยชดใช้นี่มีผู้กระทำความผิดชดใช้ทำอย่างไร คดีนี้ที่เรียกล้อกันว่าเป็นการระบายข้าวแบบจีทูเก๊ คือการทำสัญญาส่งออกข้าวไปขายยังต่างประเทศ กับบริษัทที่แอบอ้างว่าได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน หลีกเลี่ยงการประมูล ก่อนนำข้าวขายภายในประเทศ ไม่ได้ส่งออก ทำรัฐเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ทำลายระบบการค้าข้าวภายในประเทศ นอกจากนายบุญทรง ในฐานะ รมว.พาณิชย์ที่ต้องโทษจำคุกแล้ว ยังมีนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ในขณะนั้น นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี้ยง เครือข่ายบริษัทสยามอินดิก้า จำกัดและพวก ที่ถูกพิพากษาจำคุก พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย 16,912 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย เมื่อหัวขบวนนำถูกจำคุกมากที่สุดอย่างนายบุญทรงได้รับการพักโทษ หลังจำคุกจริง 7 ปีแล้วคดีของนายภูมิ ที่โทษจำคุก 36 ปี หรือเสี่ยเปี๋ยง 48 ปีและคนอื่นๆ จะได้รับการลดโทษ พักโทษ และพ้นจากคุกเร็วๆ นี้หรือไม่ ซึ่งดูจากรูปคดีแล้วไม่น่าจะแตกต่างกันเท่าไหร่ แล้วทั้งหมดได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐที่พวกตนกระทำไว้หรือยัง ต้องไปสู่กันอีกนานแค่ไหน หรือสุดท้ายไม่ต้องชดใช้ให้จบๆ กันไปแบบนี้ และต้องไม่ลืมว่าคดีของนายบุญทรง และนายภูมิ เป็นต้นทางนำไปสู่คำพิพากษาจำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากไม่ยับยั้งการระบายข้าวล็อตนี้ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่รู้ว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันหรือไม่ เพราะได้ยินพี่ชายของอดีตนายกฯ ท่านนี้และเป็นพ่อของนายกฯ ท่านปัจจุบันบอกว่า อาปู ยิ่งลักษณ์ ของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ จะกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบสวยๆ เดือนเมษายนปีหน้า…

Read More

ยังต้องติดตามใกล้ชิดกับชะตากรรมของ “การบินไทย“ หลังคลังผลักดันจนเพิ่มผู้บริหารแผนฯ 2 คน เข้าไปกุมเสียงข้างมากในผู้บริหารแผนฯ ได้สำเร็จ มีผลประโยชน์อะไรรออยู่ เหตุใดจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเป็นผู้บริหารแผนฯ ปัญหาเรื่องสถานะของกระทรวงการคลังยังคงเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิโหวตจริงหรือไม่ และมีผลกระทบแบบไหนที่กำลังรอการบินไทยอยู่ The Publisher ได้พูดคุยกับคุณศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้มาแต่ต้น เพื่อถอดรหัสความต้องการของกระทรวงการคลังและรัฐบาลในการเข้าไปมีอำนาจบริหารการบินไทยว่าทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ คุณศิริกัญญา ชวนให้ดูแผนบริหารของการบินไทยหลังเริ่มฟื้นฟูจนลืมตาอ้าปากได้ จากการอดทนอดกลั้น กลืนเลือด เสียสละของพนักงานการบินไทยว่า มีสิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อมีการแปลงหนี้เป็นทุน กระทรวงการคลังเตรียมจะซื้อหุ้นเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ราว 30 % เป็นกว่า 40 % ซึ่งจะทำให้มีอำนาจในการกำหนดบุคคลที่จะเข้าไปเป็นบอร์ดการบินไทย ชี้ขาดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างได้ และบังเอิญว่าการบินไทยก็มีแผนที่จะซื้อฝูงบินอีกราว 60 ลำ เป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท ประกอบกับสหรัฐเพิ่งประกาศให้ไทยบินตรงได้ ”เรื่องราวมันเหมือนแดจาวู ตัวละครเดิม ๆ กลับมา การบินตรงสหรัฐจะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังเคยทำแล้วไม่สำเร็จจากการซื้อเครื่องบิน A340 จนทำให้ขาดทุนไปหลายหมื่นล้านบาท ที่สหภาพแรงงานการบินไทยกังวลจนมองว่าอาจมีแร้งมารุมทึ้งการบินไทย ก็เป็นเรื่องเขาตั้งข้อสังเกตได้ เพราะเหตุการณ์เดิม ๆ ที่การเมืองแทรกแซงจนทำให้การบินไทยเสียหายกำลังกลับมาอีกครั้ง กระทรวงการคลัง รัฐบาลควรมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ว่า พยายามเข้าไปมีอำนาจบริหารในการบินไทยเพื่ออะไร“ คุณศิริกัญญา ชวนให้ติดตามการซื้อหุ้นในวันที่ 6-12 ธันวาคมนี้ หากพบว่ากระทรวงการคลังเพิ่มจำนวนการซื้อหุ้นตามที่มีการประกาศไว้จริง ก็จะต้องใช้เงินกว่าสองหมื่นล้าน ถามว่าเอาเงินมาจากไหน เพราะการจัดสรรงบประมาณปี 2568 จบไปแล้ว จะขายหุ้นจากกองทุนวายุภักดิ์มาซื้อหุ้นการบินไทยหรือไม่ และเมื่อเกิดภาพการเมืองเข้าไปมอีอำนาจบริหารในการบินไทยได้ แม้จะไม่ได้มีหุ้นเกิน 50 % จนทำให้การบินไทยกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ก็เพียงพอที่จะตัดสินใจทั้งเรื่องการวางตัวผู้บริหาร การจัดซื้อจัดจ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่น จนกระทบต่อการฟื้นตัวของการบินไทยหรือไม่ ”การแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองจะส่งผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง เพราะอาจมีผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ความสามารถเข้าไปอีกเหมือนในอดีต การบินไทยฟื้นตัวถ้าเปรียบเป็นเรือก็ใกล้ฝั่งแล้ว อีกนิดเดียวก็ทอดสมอ ถ้าต้องล่มปลายทางเพราะเหตุการณ์นี้รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้“ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยังหวังว่าศาลล้มละลายกลางจะตัดสินไม่รับรองผลการประชุมของเจ้าหนี้การบินไทยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาทั้ง 3 วาระ ซึ่งก็รวมเรื่องการเพิ่ม 2 ผู้บริหารแผนฯ จากภาครัฐด้วย เนื่องจากสถานะของกระทรวงการคลังในทางปฏิบัติถือว่าไม่ได้เป็นเจ้าหนี้แล้ว เนื่องจากมีการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนไปแล้ว 100 % เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่กลับมีหนังสือจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือ สบน.ไปถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ชะลอการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นไปหลังวันที่ 29…

Read More