Author: Writer Publisher

ในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน เมื่อวาน (11 พ.ย.67) มีรายงานว่าเคาะชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่มีกระแสต้านจากหลายฝ่ายเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และตั้งนางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ และนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หลังชื่อ “กิตติรัตน์” น่าจะได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ The Publisher ชวนดูข้อกังวลของสังคมว่ามีความห่วงใยในเรื่องใดบ้าง ◾ เป็นสะพานให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงแบงก์ชาติ◾ ผลักดันแก้กฎหมายลดความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ◾ ล้วงทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนสร้างรายได้-ทำโครงการประชานิยม◾ ผลักดันแก้พ.ร.บ.หนี้สาธารณะหรือพ.ร.ก.กองทุน FIDF โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู FIDF ไปอยู่กับแบงก์ชาติ ลดหนี้สาธารณะเพิ่มพื้นที่การคลังในการสร้างหนี้ของรัฐบาล◾ ตอบสนองนโยบายรัฐ ไม่คำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว◾ ทำลายความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติ◾ ทำให้หน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของชาติอ่อนแอ หลังจากนี้ต้องติดตามว่าข้อกังวลเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ บทบาทของ “กิตติรัตน์” ในฐานะประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะทำให้สังคมเกิดความยอมรับได้หรือไม่

Read More

นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ดำเนินรายการสนธิทอล์ก สวนกลับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายจุ๊กกรู ที่โพสต์ในลักษณะเหมือนมีข้อมูลที่จะเปิดโปง โดยระบุว่าจะพูดถึงนายเดชาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้พูดอย่าหยุด แต่เชื่อสถานการณ์ของนายเดชาจะพูดเปลี่ยนไป ปีหน้าจะเป็นปีที่นายเดชาได้รู้ฤทธิ์ของตนว่ามีอะไรบ้าง พร้อมทบทวนความจำว่านายเดชาได้ออกมาให้ข้อมูลกฎหมายสนับสนุนทนายตั้มว่าคดีฉ้อโกงหมดอายุไปแล้ว ทั้งที่ไม่ควรเป็นข้อมูลที่หลุดจากปากทนายความจนดูผู้รู้ทักท้วง ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองยอมรับว่าพูดผิด ตนไปจี้จุดที่คุณสะเทือนใจมากว่า จะสนับสนุนทนายตั้มก็อย่าขี่ม้าเลียบค่ายเปิดตัวเลยแต่ก็ไม่ทำ นายสนธิ กล่าวด้วยว่า หลังจากสั่งสอนนายเดชามีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดศีลห้าหลายประการ คงทำให้นายเดชาโกรธ พร้อมยืนยันว่าตนตัดสินคนได้จากหลักฐานในฐานะสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่มามากกว่า 50 ปี นายเดชาบอกกูไม่กลัวมึง ในโลกนี้ไม่มีใครกลัวใครหรอก โดยเฉพาะคนอย่างตน ถ้านายเดชาอ่านหนังสือพอ ฉลาดพอ ต้องรู้ชีวิตตนไม่มีอะไรต้องกลัว แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ใช่ไหมว่าตนโดนฟ้องคดีหมิ่นประมาทเกือบ 160 คดี ไม่ยี่หระพร้อมขึ้นสู้ตลอด จำไว้อย่างตนไม่เคยกราบใครให้ยกโทษให้ในศาลฯ เมื่อรู้ว่าจะแพ้ นายเดชาเคยทำแบบนี้หรือเปล่า “เมื่อไม่มีใครกลัวใคร ขอทำนายล่วงหน้า 2568 ช่วงใดช่วงหนึ่งของปี คุณเดชาจะกลัวผมมาก กลัวผมจนกระทั่ง ขอดักคอไว้ก่อน คุณอาจจะอายถ้ายังมีความละอายอยู่บ้าง ผมไม่รับการกราบกราบขอโทษเด็ดขาด เตือนคุณแล้วว่ากับทนายตั้ม ถ้าอยากมีเรื่องอย่าถอยไปให้สุดซอย เหมือนกันคุณกล่าวหาว่าผมต่าง ๆ สองสามวันที่ผ่านมาคุณเอ็นจอยมาก บนเรื่องราวที่เป็นเท็จ โกหกพกลม มีหลักฐานพิสูจน์ได้หมด ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผม คนละเรื่องกับชูวิทย์ เพราะชูวิทย์เป็นน้องผม ผมไม่ได้ให้อภัยแต่ลืมไปหมดแล้ว กอดแน่นเพราะเขาเป็นน้องผม ผมไม่มีทางกอดคุณ ปี 2568 จะรู้ว่าใครกันแน่ เพราะคุณมีชื่อว่าถ้าหลังชนกำแพงไปไหนไม่ได้ จะคลานเข้ามาขอโทษ ขอโพย ขออภัย ผมเตือนวันนี้ ประตูบ้านพระอาทิตย์ไม่ต้อนรับคุณ มีคนให้ข้อมูลคุณมีคดีกับอาจารย์อ๊อดแพ้สามศาล คุณไม่น่าจะเรียกว่าทนายขี้เมาแต่น่าจะเรียกว่าทนายขี้แพ้” นายสนธิกล่าวในตอนหนึ่ง

Read More

นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามถึงการเดินหน้าเจรจา MOU 44 โดยระบุว่า หากเจรจาสำเร็จ ประเทศไทยจะ “ได้” และ “เสีย” อะไรบ้าง โดยชี้ว่า MOU 44 นั้น “ได้สอง-เสียสาม” “ได้” สองประการ คือ ผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม มูลค่ามหาศาลในพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ความสบายใจเรื่องเกาะกูด การเจรจาจะทำให้ไม่มีข้อกังขาเรื่องเขตแดนทางทะเลรอบเกาะกูดอีกต่อไป “เสีย” สามประการ คือ เสียผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม หากไม่ยอมรับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา อาจได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ หรืออาจได้ทั้งหมด เสียเขตแดนทางทะเลทันที การเจรจาจะทำให้ไทยต้องเสียเขตแดนทางทะเลบางส่วนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ อาจเสียเขตแดนทางทะเลในอนาคต พื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนืออาจต้องเจรจาแบ่งเขตแดนในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียเปรียบ นายคำนูณ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่ทั้งไทยและกัมพูชาต้องยอมรับเส้นเขตไหล่ทวีปใหม่เป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกัมพูชาห้ามการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ท้ายที่สุด นายคำนูณ ฝากให้พิจารณาว่าการเดินหน้าเจรจา MOU 44 นั้น “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่.ติดตามบทความฉบับเต็มที่

Read More

กลายเป็นดรามาที่ทำเอาหัวใจคนรักสัตว์แทบแหลกสลาย หลังละครฟอร์มยักษ์แห่งปีของช่อง one31 อย่างเรื่อง “แม่หยัว” มีฉากแมวดำตัวหนึ่งโดนยาพิษก่อนจะชักกระตุกตายคาที่ โดยฉากนั้นแมวดำตัวดังกล่าวมีอาการกระตุกเกร็ง ตัวโก่ง ดวงตาเลื่อนลอย สมจริงจนเกิดการตั้งคำถามจากแฟนละครรวมถึงความเหมาะสมของการถ่ายทำ จากนั้นก็ได้มีหนึ่งในทีมงานได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า “น้องแมวไม่ได้ตุยจริงน๊า เราวางยาสลบแมว แต่ตอนถ่ายทำ แล้วน้องขย่อน กระตุกๆ คือนึกว่าตายจริง ป้าจ๋ากับน้องเฟิร์น หน้าถอดสี ตกใจจริง ๆ” ซึ่งประเด็นนี้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมมากมาย ส่งผลให้แฮชแท็ก #แบนแม่หยัว พุ่งทะยานจนติดเทรนด์ X เกิดกระแสการเรียกร้องให้ทางช่องถอดละครเรื่องดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้สปอนเซอร์ถอนตัว ไม่สนับละครที่ทารุณกรรมสัตว์ วางยาสัตว์เพื่อความบันเทิง ร้อนถึงทางช่อง one31 ต้องออกแถลงการณ์ขอโทษกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ด้าน “สัตวแพทยสภา ประเทศไทย” ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยได้กล่าวถึงความอันตรายและข้อควรระวังในการวางยาสลบสัตว์ ระบุว่า “การวางยาสลบในทางสัตวแพทย์เป็นกระบวนการที่ทำให้สัตว์เกิดสภาวะหมดความรู้สึกของร่างกาย การตอบสนองต่อสิ่งเร้าลดลงหรือหมดไป เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำหัตถการต่อสัตว์ในการป้องกัน การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคที่สัตวแพทย์ไม่สามารถกระทำในขณะที่สัตว์รู้สึกตัวได้ หรือนำมาใช้ในการจับบังคับสัตว์ที่ควบคุมได้ยากเพื่อการเคลื่อนย้ายสัตว์ เป็นต้น” “โดยการให้ยาสลบนั้นมีสิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงหลายประการ เนื่องจากฤทธิ์ของยาที่นอกเหนือไปจากการทำให้สัตว์หมดสติแล้วยังมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทั้งระบบประสาท ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และระบบต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงต่อระบบบไหลเวียนโลหิต และระบบทางเดินหายใจ ที่ถูกกดการทำงานมากขึ้น เมื่อระดับการสลบลึกขึ้น ผลข้างเคียงจะแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของยาสลบและยานำสลบที่ใช้” “การประเมินสุขภาพสัตว์อย่างละเอียดรอบคอบครบถ้วนสมบูรณ์นั้น จึงเป็นสิ่งที่สัตวแพทย์จะต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอ ในการนำมาวางแผนเตรียมตัว ปรับสภาพร่างกายสัตว์ให้มีความพร้อมต่อการรับการวางยาสลบ และเลือกใช้ชนิดยาในการวางยาได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสของการเกิดผลไม่พึงประสงค์ได้” “นอกจากนี้ พึงตระหนักว่าภาวะแทรกช้อนในการวางยาสลบสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทุกช่วงเวลา ตั้งแต่เริ่มต้นให้ยานำสลบกลุ่ม premedication ขณะเหนี่ยวนำการสลบ ขณะคงภาวะสลบ ไปจนกระทั่งระยะพักฟื้นหรือขณะสัตว์ตื่นจากการสลบ ดังนั้น การวางยาสลบสัตว์จึงควรดำเนินการ หรือควบคุมการดำเนินการอย่างใกล้ชิดโดยสัตวแพทย์” “และควรมีการวางแผนให้มีอุปกรณ์และผู้เฝ้าระวังติดตามสัญญาณชีพของสัตว์ อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา มีการปรับระดับความลึกของการสลบให้เหมาะสม และมีการเตรียมพร้อมทั้งทางด้านอุปกรณ์ สารน้ำ และเวชภัณฑ์ฉุกเฉิน ที่ทำให้สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาแทรกช้อนเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที การกระทำที่ไม่รอบคอบหรือไม่มีการวางแผนเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้อง หรือการวางยาสลบในสัตว์โดยไม่มีเหตุจำเป็น อาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงให้สัตว์ได้รับอันตรายจนถึงเสียชีวิตได้” สุดท้ายนี้ The Publisher ขอฝากเอาไว้ อยากให้ทุกท่านพึงระลึกไว้เสมอ 1 ชีวิตก็มีค่า แม้ชีวิตนั้นจะเป็นเพียงแค่สัตว์เดรัจฉาน เขาพูดไม่ได้ เขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ผู้เป็นถึงสัตว์ประเสริฐจะปฏิบัติต่อชีวิตของเขาอย่างไรก็ได้

Read More

หลังมีการเคลื่อนไหวจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ในการให้นักวิชาการและประชาชนร่วมลงชื่อ คัดค้านการเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ โดยมีประเด็นสำคัญอยู่ที่การแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ที่ฝ่ายการเมืองเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้คณะกรรมการคัดเลือก โดยมีผู้สนับสนุนมากกว่า 600 คน ยังไม่รวมที่ลงชื่อกับกองทัพธรรมมากกว่า 3 หมื่นคน ล่าสุดมีกลุ่มสนับสนุนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่ามีความรู้ความสามารถ เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติผุดขึ้นมาล่ารายชื่อสู้ ผ่านไลน์กรุ๊ปของกลุ่มที่เรียนหลักสูตรต่าง ๆ ในวิทยาการตลาดทุน ขณะที่นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ สวตท. ได้ออกคำชี้แจงว่า วตท.หรือ สวตท. อยู่ในสถานะดำรีงตนเป็นกลาง เพื่อความภราดรภาพในหมู่สมาชิก จะไม่มีทาง มีหนังสือหรือข้อความดังกล่าว ออกจาก สวตท. เข้าใจว่า เป็นข้อความชักชวนกันผ่านทางไลน์ น่าจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะรุ่นมากกว่า ซึ่ง สวตท.ไม่ก้าวล่วง สำหรับการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 11 พ.ย.67 หลังเลื่อนมาแล้วสองครั้ง มีชื่อที่ถูกเสนอให้เป็นประธานบอร์แบงก์ชาติ 3 คน คือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง จากกระทรวงการคลัง นายสุรพล นิติไกรพจน์ และนายกุลิศ สมบัติศิริ จากแบงก์ชาติ

Read More

2 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดประเด็นสะเทือนไปถึงรัฐบาลทันที เมื่อ “คนครอบครอง” รัฐบาลและนายกฯ แพทองธาร คือนายทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นนักโทษที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ให้อยู่โรงพยาบาลตำรวจแบบที่มีหลายหน่วยงานเข้าด้วยช่วยเหลือ จากผลสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ กสม. โดยพบประเด็นปัญหาดังนี้ 1.เรือนจำพิเศษส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่ รพ.ตำรวจแบบเลือกปฏิบัติ2.การพักรักษาตัวนาน 181 วัน ขาดความโปร่งใสในการรายงานอาการป่วย3.ทักษิณหายป่วยเร็ว หลังได้รับการพักโทษ ทั้งที่เคยอ้างอาการวิกฤต4.กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถตรวจสอบการใช้ห้องพิเศษของผู้ต้องขังได้5.การกระทำของเรือนจำและรพ.ตำรวจ เข้าข่ายเลือกปฏิบัติ6.ละเมิดหลักความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน7.ใช้ช่องโหว่กฎกระทรวงยุติธรรม เอื้อต่อการเลือกปฏิบัติ ผลจากข้อสรุปดังกล่าว กสม.ส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบของ รพ.ตำรวจและเรือนจำพิเศษ รวมถึงส่งแพทยสภาตรวจสอบจริยธรรมแพทย์ และแนะนำให้มีการทบทวนแก้ไขกฎกระทรวงฯ เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลผู้ต้องขัง ขณะที่ความพยายามที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ของกรรมาธิการความมั่นคงฯ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานฯ ก็พบความผิดปกติ และพิรุธที่ไม่แตกต่างจากผลสรุปของ กสม. โดยนายรังสิมันต์ ถึงกับออกปากว่า นับตั้งแต่เขาประชุมกมธ.มา 53 ครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานฯ น้อยขนาดนี้ แต่จะยังแสวงหาความจริงต่อไป ซึ่งการให้ความร่วมมือน้อยเช่นนี้ยิ่งเป็นพิรุธ สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้ประชาชนต่อไป ไม่เป็นผลดีต่อระบบยุติธรรมไทย

Read More

ผ่านไปสามวันแล้วกับเส้นทางชีวิตใหม่ของ “พลายขุนเดช” ที่สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ จ.ลำปาง บ้านใหม่ที่จะให้ทั้งร่มเงาและการดูแลรักษา “คุณหมอต้อม” นายสัตวแพทย์ ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ จ.ลำปาง เปิดเผยกับ The Publisher ว่า อยู่ระหว่างการปรับตัวแบบเสต็ปบายเสต็ป มีควาญกินนอนด้วยกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ พัฒนาการเป็นไปในทางบวก มีการทำแผลทุกวัน พาจากจุดนอน จุดกิน ดำรงชีวิตตามปกติ โดยมีการจัดควาญที่จะดูแลไว้แล้วแต่ยังไม่ได้เปิดตัว ถ้าเราสื่อสารกับน้องรู้เรื่องจะเริ่มวินิจฉัยดูการเดิน ตรวจมวลกล้ามเนื้อ กระดูก โครงสร้างของแผล โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดู เมื่อวินิจฉัยแล้วจะเริ่มกระบวนการรักษาเริ่มจากแผลที่เจ็บและความสมดุลของร่างกาย ส่วนอารมณ์ของ “พลายขุนเดช” ที่เคยถูกระบุว่า ดุร้ายนั้น ”คุณหมอต้อม“ บอกว่า เท่าที่สังเกตจะมีบางช่วงที่ไม่ถูกใจก็จะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด แต่พอควาญปลอบเขาก็สงบลง เป็นการแสดงสัญชาติญาณของ “ช้างป่า” มากกว่า ไม่ได้เกิดจากความดุร้าย ซึ่งความจริงการแสดงออกของ “พลายขุนเดช” เป็นสัญญาณที่ดี การต่อต้านกับสิ่งแปลกใหม่ หรือสัญชาติญาณสัตว์ป่าแบบนี้ถ้าเข้ามภูเขาไปได้ เราจะเจอแหล่งน้ำใหญ่ เขาจะยอมรับควาญแบบสุดใจ “ที่กังวลคือเรื่องสุขภาพ ขาซ้ายที่บาดเจ็บซึ่งยาวกว่าขาขวา เพราะมีผลต่อการใช้ชีวิตที่ทำให้สันหลังผิดรูป ถ้าสั้นต่อได้ ยาวตัดเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับต้องตัดขาซ้าย ซึ่งคงต้องระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดการรักษาต่อไป อีกประเด็นที่เป็นห่วงคือเรื่องการตกมัน เพราะจากประวัติ “พลายขุนเดช” จะตกมันในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม แต่ในความเป็นจริงถึงจะตกมัน ก็เชื่อว่าด้วยการดูแลของเราจะเน้นที่ความปลอดภัยและความสบายใจของตัวช้างเป็นหลัก ให้ช้างได้อยู่แบบผ่อนคลายเป็นหลัก”

Read More

ช่วงเช้าที่ผ่านมามีการประกอบพิธีทางศาสนา ส่ง “กันยา” ลูกสาวแห่งชาติกลับดาวช้าง หลังน้องจากไปด้วยโรคเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้างช่วงกลางดึกของวันที่ 5 พ.ย.67 คุณภัทร ธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย เจ้าของปางช้างภัทร เล่าถึงความประทับใจในช่วงที่ดูแล “กันยา” ว่า น้องเป็นสิ่งที่เหนือสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีความตระหนักรู้ว่าต้องทำแค่ไหนให้มีชีวิตรอด ถึงแม้ไม่มีความสมบูรณ์ในด้านร่างกาย แต่ด้านจิตใจเขารู้ข้อจำกัดของตัวเอง ดูได้จากการแบ่งนมจากน้องธารินที่มีแม่เป็นของตัวเอง กันยา จะเลือกกินนมเฉพาะเต้าเดียวไม่กินทั้งสองเต้า เหมือนไม่อยากรบกวนธาริน จนได้แม่โมมา กันยาถึงได้กินนมทั้งซ้ายและขวา เป็นตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่น่ารัก และนักสู้ที่สู้จนถึงวาระสุดท้าย กันยาเป็นช้างที่มีบุญ เพราะทุกนาทีของการมีชีวิตของเขา เปี่ยมไปด้วยความรักของคนทั้งประเทศ ไม่มีนาทีไหนเลยที่กันยาไม่ได้รับความรัก เป็นช้างที่ดีของควาญ แม้มีช่วงเวลาอยู่ด้วยกันสั้น ถือว่าเกิดมาไม่ครบแต่โตมาครบด้วยความรักและการเติมเต็มของคนไทยทั้งประเทศ คุณภัทร ยังแสดงความเป็นห่วงคนที่รักกันยาว่าจะทำใจไม่ได้ โดยขอให้ทำใจเดินไปข้างหน้า วางแนวทางการลงทุนวิจัยเรื่องวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะทำด้วยตัวเอง และยังมีความคิดที่จะทำพิธีผ่าจ้าน ซึ่งเป็นพิธีดั้งเดิมของชาวล้านนาเพื่อตัดความสัมพันธ์ให้เดินไปข้างหน้า หลังจากยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา พิธีผ่าจ้านถูกสื่อสารในทางที่ผิด จนเกิดความเข้าใจผิดต่อพิธีนี้ว่าเป็นการทารุณสัตว์ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของลานนาว่า กรณีสามี ภรรยา รักกันมาก จากไปทำใจไม่ได้ต้องทำพิธีตัดสัมพันธ์ กรณีกันยามีหลายคนตัดใจไม่ได้ ทั้งพี่เลี้ยงและควาญ ก็ต้องดูว่า ทำพิธีผ่าจ้านตัดสัมพันธ์เพื่อเดินหน้าต่อไม่คิดทำร้ายตัวเอง อยากให้สังคมตระหนักรู้ให้ถูกต้องเกี่ยวกับพิธีผ่าจ้านด้วย ขณะที่หนูนา กัญจนา ศิลปอาชา เข้ามาแสดงความเห็นในไลฟ์ของศูนย์อนุรักช้างไทย จ.ลำปางว่า “สู่สุคตินะกันยา ป้ารักหนูมากเหลือเกิน”

Read More

เป็นกำหนดการของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สดๆ ร้อนๆ ที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดน ที่ อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน ซึ่งมีปลัดกระทรวงกลาโหม และเสนาธิการทหารเรือร่วมคณะ ด้านหนึ่งเพื่อไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด กองทัพเรือ ที่อยู่เฝ้าชายแดนไทย -กัมพูชา บริเวณเกาะกูด และเพื่อยืนยันให้ชัดเจนว่าไทยเป็นเจ้าของเกาะกูด ประเทศไทยเป็นเจ้าของเกาะกูด และบนเกาะกูดเป็นเขตอธิปไตยของประเทศไทย มีหน่วยราชการและประชาชนอาศัยอยู่ เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจและมั่นใจขึ้น และกำลังทหารก็มั่นใจทำหน้าที่รักษาดินแดนและอธิปไตยของไทย ไม่ให้ใครมารุกล้ำ ทั้งนี้นายภูมิธรรมบอกว่า หลังรัฐบาลและฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ก็ช่วยลดความสับสนลงไปบ้าง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการกุข่าว เป็นการพูดที่เลื่อนลอย ไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง เกาะกูดเป็นของไทยมานานแล้ว คนไทยใช้ชีวิตที่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ หน่วยราชการไทยก็ตั้งอยู่ จึงไม่เคยเป็นปัญหา เพียงแต่หยิบยกขึ้นมาเพื่อมาใช้สร้างประเด็นทางการเมืองเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลต่าง ๆ ก็พยายามสนับสนุนให้ MOU 44 ดำเนินการต่อไป เพราะเป็นกลไก และเป็นเครื่องมือในการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล และประกาศไหล่ทวีปในขอบเขตของน่านน้ำ ซึ่งต่างคนต่างประกาศ จึงจะต้องใช้เอ็มโอยู 44 มาเจรจากันในเรื่องที่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน สิ่งสำคัญเป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ที่สุดคืออยู่บนความพึงพอใจใน 2 ประเทศ และจะยืนยันว่ารักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและรักษาทุกๆอย่างที่คิดว่าจะอำนวยประโยชน์ให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุด

Read More

“กลวิธีแกล้งป่วย ไม่ต้องถูกคุมขัง ทำลายระบบยุติธรรม ที่ไม่สามารถยอมรับได้” รังสิมันต์ โรม ปธ.กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้แล้วที่ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฏร ได้ฤกษ์ดีสอบปมนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนั้นต้องโทษจำคุก แต่ไปพักรักษาตัวบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ เรื่องนี้ The Publisher และรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง เกาะติดมาตลอดและได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณรังสิมันต์ โรม ประธานกรรมาธิการฯ ถึงเบื้องลึก เบื้องหลัง และความคาดหวังจะได้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่บนชั้น 14 อย่างไร The Publisher : ประเด็นที่คณะกรรมาธิการสนใจที่สุดบนชั้น 14 คือะไร รังสิมันต์ : ต้องยอมรับนะครับว่าการที่คุณทักษิณเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจมันเป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถามตลอดว่าการไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือเปล่า เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าว่าเป็นการเจ็บป่วยไม่สบาย หรือเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่ช่วยเหลือคุณทักษิณ ดังนั้นการเข้าพบของคนนั้นคนนี้ซึ่งมันมีข้อมูลออกมา ไม่ว่าจะเป็นจากท่านเสรี (พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมีย์เวส) จากบิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) ตกลงแล้วสุขภาพของคุณทักษิณเป็นอย่างไร แล้วการเข้าพบตรงนั้นมีนัยยะทางกฎหมายที่จะต้องพิจารณาต่อหรือไม่ว่าการกระทำมิชอบหรือชอบด้วยกฎหมาย จากทั้งฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐที่เราได้เรียกมาชี้แจงว่ามีรายละเอียดอย่างไร ไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในข่าวสารบ้านเมืองหรือไม่ The Publisher : เชิญส่วนไหนมาชี้แจงบ้าง รังสิมันต์ : มีหมอใหญ่ มีบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาในเรื่องของสุขภาพของคุณทักษิณ จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสิ้น เชิญกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างนายแพทย์หมอวาโย (อัศวรุ่งเรือง) ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องทางด้านสาธารณสุขเข้ามาด้วย The Publisher :ทุกคนที่เชิญไปตอบรับมาหมดไหม รังสิมันต์ : การเชิญของผมค่อนข้างเจาะจงไปที่ตัวบุคคล ดังนั้น การเจาะจงแบบนี้ โดยปกติ ก็ไม่สามารถมอบผู้แทนได้ เพราะไม่มีใครชี้แจงได้ ดังนั้นถ้าเกิดว่ามาไม่ได้ก็ต้องมีคำชี้แจงให้กับเราว่าติดอะไรสาเหตุอะไร มิเช่นนั้น การไม่มาเท่ากับไม่ให้ความร่วมมือกับสภาผู้แทนราษฎร The Publisher : พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์พูดชัดเจนว่าจะไม่ไป เพราะไม่มั่นใจกรรมาธิการ รังสิมันต์ : เข้าใจในสิ่งที่ท่านเสรีพูดถึง แต่ในการที่เราเชิญแล้ว เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องจะมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกก็คือท่านเสรี บิ๊กโจ๊ก กับอีกส่วนเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ในเวลานั้นแล้วก็ยังดำรงตำแหน่งในแวดวงวงราชการในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างมาก แล้วมันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบิ๊กโจ๊กหรือท่านเสรีอาจเป็นพยานสำคัญในเรื่องของการให้ข้อมูลว่าตกลงแล้วข้อเท็จจริงแล้วที่มีการไปพบคุณทักษิณเป็นอย่างไร แต่ว่าปากคำสำคัญอยู่ที่ฝั่งของราชการ ที่เราต้องสอบถามว่าตกลงแล้วการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในเวลานั้นเป็นอย่างไร…

Read More