- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
มีการเปิดแคมเปญรณรงค์ผ่าน Change.org เมื่อวันที่ 25ตุลาคม 2567 เพื่อให้ตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม เชียงใหม่ (ENP) ใน 6 ประเด็น พร้อมเหตุผลที่ต้องการให้ตรวจสอบว่า เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 และในช่วงเช้าวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ได้พบซากช้างล้มจำนวน 2 เชือก ลอยติดกับซากไม้ในแม่น้ำแม่แตงบริเวณด้านหลังโรงแรมสิบแสน รีสอร์ต แอนด์ สปา อ.แม่แตง โดยทั้ง 2 เชือกอยู่ห่างกัน 300 เมตร ซึ่งได้รับการยืนยันว่าทั้งสองเชือก คือ พังฟ้าใส และ พลายทอง เป็นช้างจากมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม หรือ Elephant Nature Park ที่อยู่ห่างจากจุดที่พบซากช้างล้มราว 6 กิโลเมตร ซึ่งจำนวนช้างในปาง Elephant Nature Park มีทั้งหมด 119 เชือก ทางเจ้าหน้าที่ของปางและควาญในพื้นที่ช่วยนำขึ้นไปที่ปลอดภัยเบื้องต้นเป็นส่วนใหญ่ และมีบางส่วนที่อยู่ในคอกของปางช้างทั้งสองฝั่งแม่น้ำรวม 16 เชือก ซึ่งยังอยู่ครบและยังมีชีวิต แต่ข้อมูลล่าสุด ยังมีช้างที่ยังสูญหายประมาณ 5-9 เชือก ทางเครือข่ายคนรักช้าง ประกอบด้วย สมาคมสหพันธ์ช้างไทย นายกสมาคม นายธีรภัทร ตรังปราการ ,สมาคมท่องเที่ยวแม่แตง นายกสมาคม นายกิตติราช ชัยเลิศ ,ปางช้างแม่แตง นาง วาสนา ทองสุข, ปางช้างกันตา คุณกมลพรรณ ตานุ , คุณเมย์ริน ศรีศิริวิไล, ตัวแทนนายกสมาคมท่องเที่ยวแม่แตง นายภูมิ คชนิล, ชมรมคนรักดอกแก้ว จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบการทำงานของ Elephant Nature Park ดังนี้ ข้อ 1 เหตุผลของการไม่อพยพช้างในเวลาเหมาะสม เนื่องจากมีการเตือนจากทางราชการตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน…
การขับเคลื่อนแก้ปัญหาความเดือนร้อนของชาวบ้าน ที่เขาไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงานรัฐ หรือความยุติธรรมมาช้าเกินไป ต้องหันหน้าหาคนที่อาสา ทั้งที่เป็นทนาย ทั้งที่เป็นเจ้าของเพจตัวกันให้ควั่ก รับอาสานำเสนอเรื่องราวผ่านสื่อมวลชน และสาธารณชนรับรู้ กลายเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐแอ็กชันเร่งเยียวยาปัญหาของชาวบ้าน ที่ผ่านมาสังคมมักมองกลุ่มคนนี้ด้วยสายตาที่เป็นมิตร อาสาใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพ หรือคอนเนกชันช่วยชาวบ้าน ยิ่งสื่อมวลชนกระพือความสำคัญเท่าไหร่ พลังอำนาจของคนกลุ่มนี้ยิ่งมากเท่านั้น กลายเป็นด้านหลักชี้นำกระแสสังคมไปเลยทีเดียว เมื่อการแอ็กชันผ่านสื่อฯ ที่เป็นเสมือนกระบอกเสียงแต่ละครั้งดังกระหึ่ม การกระทำของพวกเขาได้รับการตอบสนองแทบจะทันที ก็ยิ่งเป็นสิ่งเร้าให้คนที่เข้ามาพึ่ง สัมผัสได้ว่าเสียงของเขาเริ่มมีความหมาย ความหวังได้รับการแก้ไขปัญหาเยียวยาอยู่ใกล้แค่เอื้อม ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าผู้ที่ต้องการช่วยเหลือชาวบ้านให้ได้รับความยุติธรรมนั้นมีอยู่จริง และก้มหน้าทำหน้าที่มองไปที่เป้าหมาย ให้คำร้องของชาวบ้านหรือเหยื่อสัมฤทธิ์ผล พวกเขายังทำหน้าที่กันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากชาวบ้านหรือเหยื่อที่ก็รู้กันอยู่ว่าเดือดร้อน ไม่เช่นนั้นจะมาลำบากเรียกร้องทำไม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อย ที่ทำให้เราเห็นอีกด้านของกลุ่มคนอาสา ซึ่งมีทั้งวิธีรับเรื่องร้องเรียน นำรายชื่อชาวบ้านไปจี้รีดทรัพย์จากผู้บริหารหน่วยงาน หรือเอกชน เมื่อได้เศษเงินไปแล้วก็ทิ้งเหยื่ออย่างไร้เยื่อใย บางอ้างมีคอนเนกชันหน่วยงานใหญ่สามารถฝากงาน ฝากอนาคตทางการเมืองให้ได้ แต่ต้องจ่ายเบี้ยบ่ายรายทางเป็นหลักแสน หลักล้าน กรณีดิ ไอคอน ก็เป็นอีกตัวอย่าง เพราะก่อนจะเป็นข่าวโด่งดัง เคยมีนักร้องเรียนคนหนึ่งพาผู้เสียหายเคลียร์ก่อนแล้ว เมื่อสำเร็จก็จะมีค่าประสานงาน ค่าใช้จ่ายสำนักงานและอื่น ๆ และหากตัวเลข 20% เป็นจริงค่าประสานงงานครั้งนี้มีตัวเลข 7 หลักเลยทีเดียว ซ้ำยังได้อีกส่วนจากบอสพอลผู้บริหารหลัก ไม่รู้จะใช้เป็นการรับ 2 ทางหรือไม่ นี่ไม่ใช่แค่ตัวอย่างเดียว ยังมีกรณีทนายความบอสพอลปูดข่าวอีกว่า ทนายความดัง หนึ่งในชุดดรีมทีมที่พาผู้เสียหายมาร้องเรียน ยังโทรศัพท์หาบอสพอลเรียกเงิน 7 ล้านบาทแลกไม่พาเหยื่อไปแจ้งความอีก นี่มันเป็นแท็กติกเดียวกันหรือเปล่า ที่เอาเหยื่อมาขู่เรียกเงิน หรือแค่ปูดข่าวลือแก้เกี้ยวของบอสพอล ไม่นานคงรู้กัน เพราะเขาว่ามีคลิปเสียงชัดเจน ล่าสุดทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็มีคดีให้ฮือฮาและติดตามกันต่อ เมื่อเขาอาสาช่วยเหลือคดีให้เศรษฐีนีคนไทยในต่างประเทศ แต่ถูกฝ่ายเศรษฐีนีฟ้องฐานหลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ 2 ล้านยูโร หรือ 71 ล้านบาท ขณะที่เจ้าตัวอ้างลูกความคนนี้โอนให้ด้วยความเสน่หา แต่กลับถูกสร้างเรื่องโกงเงิน จึงเตรียมแจ้งความกลับ ก่อนสุดท้ายยกเลิกกระทันหันไม่ไปแจ้งความกลับ บอกจะขอเจรจาพูดคุยก่อน ไม่อยากเป็นคดีความกัน เรื่องนี้เมื่อกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่หลายคนอยากจะมีคนเสน่หาแบบนี้บ้าง นี่แค่ส่วนหนึ่งที่ The Publisher ได้รวบรวมมาให้เห็น แต่ที่ไม่เห็นหรือเป็นที่รับรู้ยังมีอีกมาก เรียกว่าคนที่เดือดร้อนกลายเป็นเหยื่อซ้ำซาก แล้วอย่างนี้ชาวบ้านจะหันหน้าไปพึ่งใคร “เมื่อหน่วยงานรัฐล่าช้า และคนอาสาเป็นปัญหาเสียเอง”.บทความโดย : อนันต์ จารุนันทภาคย์…
กลายเป็นประเด็นร้อนเลยทีเดียว หลังเพจดัง ‘อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ’ ได้เปิดภาพนายตำรวจท่านหนึ่ง พร้อมกับเรียกเขาว่า “บอสโปลิศ” ที่มาบรรยายเส้นทางสวยหรูเมื่อได้มารู้จักกับ The iCon Group โดยในคลิปดังกล่าวนายตำรวจท่านนั้นได้กล่าวบนเวทีถึงชีวประวัติส่วนตัวของตัวเองครบถ้วน ไล่ตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล ตำแหน่งอะไร สังกัดอยู่หน่วยงานไหน ไปจนถึง มาร่วมธุรกิจนี้ได้อย่างไร และมันทำให้ชีวิตนายตำรวจท่านนี้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้หนาหู ร้อนถึงเจ้าตัวต้องออกมาโต้ ทางเพจ ‘อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ’ จึงโพสต์รูปภาพพร้อมข้อความอีกครั้ง ระบุว่า “พ.ต.อ.สมคิด ยืนยันภาพขึ้นเวทีดิไอค่อนที่มีคนกล่าวหาเป็นบอสโปลิศ เป็นภาพเก่าตั้งแต่ปี59 ของบริษัทเจอเนสส์ ไม่ใช่ดิไอค่อน ยืนยันตนไม่ได้เป็นสมาชิก แต่อย่างใด…” ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มาร่วมแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ล่าสุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกหนังสือด่วน สอบ “บอสโปลิศ” ระบุใจความว่า ตามที่ปรากฏในข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 67 โดยมีคลิปข้าราชการตำรวจมีพฤติกรรมพูดชักชวนให้กลุ่มบุคคลเข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นการพูดพาดพึงถึง ตร. ในที่สาธารณะในลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายและบั่นทอนจิตใจข้าราชการตำรวจในองค์กร จึงให้ดำเนินการ ดังนี้1.ให้ บก.ปคบ. ตรวจสอบบุคคลดังกล่าวและเรียกตัวมาสอบสวนปากคำในทางคดีหากพบว่า พฤติการณ์เข้าข่ายกระทำความผิดหรือร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหาในบริษัท ดีไอคอนกรุ๊ป จำกัด ให้ตามกฎหมาย โดยเคร่งครัด2.ให้ จต. ตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าวว่า มีมูลกรณีการกระทำความผิดทางวินัยหรือไม่อย่างไร แล้วรายงานผลให้ทราบภายในวันที่ 23 ต.ค. 67 เพื่อทราบและดำเนินการ พร้อมลงชื่อ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร..ขอบคุณภาพจากเพจ : อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผย The Publisher ถึงกรณี ตร.ปปป. อาจเรียกให้ไปให้ปากคำพร้อมพยานที่ให้ข้อมูลเชื่อมโยงเรื่องเส้นเงินดิจิทัล หากทนายบอสพอล ไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหาแจ้งความเท็จว่า รู้สึกแปลกใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการลักษณะนี้ เนื่องจากการพาพยานไปให้ข้อมูลกับตำรวจ เป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้เบาะแสกับตำรวจ ส่วนการให้ปากคำตามที่พยานทราบมาจะจริงเท็จอย่างไร เป็นหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวนสอบสวนต่อ เพราะเป็นการให้เบาะแส อย่างไรก็ตามตนไม่กังวลในเรื่องนี้ “ผมอยากให้ตำรวจเร่งทำคดีเทวดา ที่บอสพอลก็ยอมรับว่ามีการจ่ายเงินจริง ข้อมูลต่าง ๆ ก็มีค่อนข้างครบถ้วน แต่เรื่องนี้กลับยังล่าช้าอยู่”
หลังนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเปิดประเด็นข่าวนักธุรกิจอดีตลูกความ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด แจ้งความถูกหลอกลงทุนรวม 71 ล้านบาท กระทั่งทนายตั้มออกมาโต้บอกได้มาเป็นการให้โดยเสน่หา และโอนเข้าบัญชี 2 ล้านยูโร หรือ 71 ล้านบาท ก่อนโพสต์ท้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับนายสนธิ เรื่องนี้ยังไม่จบเมื่อเพจ CSI LA โพสต์และแนบภาพบุคคลที่อ้างว่าเป็นมหาเศรษฐีที่ให้เงินกับทนายตั้ม พร้อมระบุ “รวยฟ้าผ่าภายในปีเดียว เพราะมีคนใจบุญสุนทานเงินเหลือเยอะ ให้มาแบบนี่เอง ทั้ง ๆ ที่ต้นปี ยังร้องไห้ไม่มีเงินให้ลูกกิน และตัวละครที่มาให้ ยังแสร้งทำเป็นโปรเจค เพื่อเลี่ยงภาษี ใครปล่อยมา ตกลงทำแบบนี้ได้ไม่ผิดกฎหมายแล้วใช่ไหม” นอกจากนี้ ยังระบุว่างบการเงินของบริษัททนายตั้มปี 2566 ขาดทุน แต่กลับได้เงิน 70 ล้านบาท พร้อมเพิ่มในคอมเมนต์ด้วยว่า โอนที 70 ล้านบาท ฟอกเงิน? และจงใจหลีกเลี่ยงภาษี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน – 7 ปี และปรับ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ ขณะที่ทนายตั้ม ได้เข้าไปคอมเมนต์ในโพสต์นี้ด้วย โดยถามว่าเพจนี้ทำอะไรได้บ้าง นอกจากขุดภาพเก่ามาโยง และท้ากลับมาประเทศไทยเพื่อมาแจ้งความดำเนินคดีกันตนเองด้วย ทั้งนี้ ทนายตั้มยอมรับในรายการโหนกระแสว่า มีคนให้เงิน 70 ล้านบาทโดยเสน่หาจริง ๆ และทนายตั้มรู้ว่าถ้าโอนตรงจะต้องเสียภาษี 40 % จึงให้เงินโดยผ่านทำโครงการขึ้นมา แต่สุดท้ายจะได้เงิน 70 ล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษี โดยทนายตั้มบอกไม่ถึงกับหลบเลี่ยงภาษี และพร้อมให้ตรวจสอบ เพราะเป็นเงินที่โอนเข้าบัญชีและตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะเป็นการให้โดยเสน่หาจริง ๆ.ขอบคุณภาพ: จากรายการโหนกระแส , CSI LA
จากกรณีที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาพยานเชื่อมโยงเรื่องเส้นเงินดิจิทัลเอี่ยว 1 ในบอสดิไอคอนกรุ๊ป เข้าให้การกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. แต่พบว่า บุคคลดังกล่าวให้การเท็จ พล.ต.ต. ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการตำรวจป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ข้อมูลว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ หากทนายบอสพอล แจ้งความเอาผิดกับนายเอกภพ และพยานที่ให้ปากคำเรื่องสกุลเงินดิจิทัล ว่าเป็นการแจ้งความเท็จ พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาเชิญทั้งสองคนมาให้ปกาคำภายในสัปดาห์หน้า
กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองของรัฐบาลแพทองธาร หลังพรรคร่วมรัฐบาลยังเห็นไม่ตรงกัน ปมรายงานผลศึกษากรรมาธิการนิรโทษกรรม ที่พ่วงข้อสังเกตเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมความผิดคดี 112 เข้าไปด้วย ซึ่งในวันนี้จะมีการพิจารณาอีกครั้ง หลังจากสัปดาห์ที่แล้วยังไม่จบ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ ชิงปิดประชุมไปก่อน ล่าสุดนายสมคิด เชื้อคง วิปรัฐบาล เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะโหวตเห็นชอบข้อสังเกตรายงานของกมธ. และเชื่อว่าหากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนโหวตไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ น่าจะผ่านได้ สำหรับจำนวน สส.ของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันมี 142 ที่นั่ง พรรคประชาชน 148 ที่นั่ง รวม 290 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ สามารถผลักดันให้รายงานฯ นี้ผ่านที่ประชุมสภาฯ ได้ ซึ่งหากดำเนินการตามนี้จริง จะถือเป็นครั้งแรกที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ลงมติในทิศทางเดียวกัน และจะเป็นการจับมือครั้งแรกในสภาฯ ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนด้วย
หลังภารกิจย้าย “พลายดอกแก้ว” ลุล่วงอย่างรายรื่น คิวต่อไปที่จะต้องมีการเคลื่อนย้ายคือ “พลายขุนเดช” ช้างอีกหนึ่งเชือกที่ถูกระบุในโพสต์ของแสงเดือน ชัยเลิศ ประธานมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ให้ “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา มารับคืนไปจากที่ฝากไว้นานหลายปี จากการสัมภาษณ์คุณธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ให้ข้อมูลกับ The Publisher ว่า การเคลื่อนย้าย “พลายขุนเดช” จะเป็นหน้าที่ของสถาบันคชบาลแห่งชาติฯ ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์การเคลื่อนย้าย “พลายดอกแก้ว” เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาด้วย เท่ากับได้มาดูความยากแล้ว ความยากที่เกิดขึ้นกับพลายดอกแก้ว น่าจะถูกนำไปปรับใช้ในการเคลื่อนย้ายพลายขุนเดชได้ โดยเฉพาะการขอความร่วมมือกับคนที่เข้ามาไลฟ์ ทำให้เป็นอุปสรรคในการทำงาน “ผมทราบจากน้องที่ดูแลกระซิบมาว่าพลายขุนเดชสื่อสารง่าย จูงได้ จับได้ เพราะน้องมีปัญหาที่เท้ามาก่อน ทำให้คุ้นชินกับการที่คนทำแผลให้ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่การเคลื่อนย้ายทั้งหมดจะเป็นการดำเนินการของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ฯ เพราะน้องเป็นช้างป่า” สำหรับการเคลื่อนย้าย “พลายขุนเดช” ได้รับอนุมัติจากนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชแล้ว โดยหลังจากนี้สัตวแพทย์จะประเมินความพร้อมด้านสุขภาพทั้งกายและใจ พร้อมเมื่อไหร่ก็จะขนย้ายไปที่สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ ต่อไป.ขอบคุณภาพ: ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง The Thai Elephant Conservation Center Lampang
ชื่อสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ถูกพูดถึงอย่างมากจากบทบาททางการเมือง ที่พยายามสร้างราคาให้ตัวเอง แสดงตนว่าสามารถดีลสส.ให้มาอยู่กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้จำนวนมาก รวมถึงการประกาศตัวชัดอยู่คนละขั้วกับผู้กองธรรมนัส พรอ้มการแสดงบทบาทเป็น “องครักษ์พิทักษ์บิ๊กป้อม” เสมือนคนใกล้ชิด คอยช่วยปิดช่องโหว่แก้ต่างให้ กระทั่งถูกวิจารณ์หนักกรณีออกมาแก้ตัวเรื่องคลิปเสียงลุงว่าเป็นเสียงเอไอ ล่าสุดเข้าไปอยู่ในวังวน “ดิไอคอนกรุ๊ป” ปรากฏคลิปเสียงหลายคลิป ที่แสดงให้เห็นว่ามีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษากับบอสพอล รวมถึงมีการเปิดข้อมูลจากทนายตั้มว่า ได้พบกับ “บอสปีเตอร์” ก่อนฝี “ดิไอคอน” จะแตก ลามไปถึงเจ้าตัวเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่นำคลิปสนทนามาเปิดเผย เท็จจริงอย่างไร “สามารถ” ต้องไปพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม ย้อนดูเส้นทางการเมืองของ “สามารถ” จะพบว่าไม่ธรรมดา จากประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ที่แต่งตั้งตัวเอง ไต่เต้าจนได้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในปี 2562 ซึ่งในขณะนั้นมี สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม และได้รับมอบหมายจากพลังประชารัฐให้เป็น ผอ.ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่วิบากกรรมไล่ตาม ถูกขุดปมส่งลูกน้องไปเรียนสอบหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอกแทน เป็นผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากวิชาเรียนดังกล่าว สุดท้ายเขาถูกปลดจากทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ และลาออกจากทุกตำแหน่งในกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 2 พ.ค.64 แต่เขากลับมาโลดแล่นมีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐได้อีกครั้ง แถมกลายเป็นคนที่แสดงตนเป็นเสมือนคนใกล้ชิดพล.อ.ประวิตร อีกด้วย ก่อนที่จะกลายเป็น “ดาวอับแสง” จากกรณี “ดิไอคอนกรุ๊ป” นับเป็นบทชีวิต พลิกหลายตลบของ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ที่อาจสร้างความพลิกผันส่งผลสะเทือนจากเมืองถึงป่าได้ไม่มากก็น้อย
นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะผู้อุปการะ พลายดอกแก้ว โพสต์ขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำงานอย่างหนักในการดูแล และเคลื่อนย้ายพลายดอกแก้วไปสู่บ้านใหม่อย่างปลอดภัย ทั้งที่ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันมากมาย และเป็นภารกิจที่ยากมาก เพื่อให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตน้อยๆ ของน้องดอกแก้วมีวิถีที่สดใส โดยนางสาวกัญจนา ขอบคุณทีมแพทย์ ทีมควาญช้าง ผู้บริหารปางช้าง คุณธีรภัทร ตรังปราการ จากร่มแดนช้าง คุณแสงเดือน ชัยเลิศ ที่ช่วยดูแลดอกแก้วช่วงที่อยู่ ENP และขอบคุณพ่อพลายข้ามแดน ที่ถูกดอกแก้วเอางาน้อยๆ ทิ่มก้น แม่พังบุญดี ที่ช่วยประคองย้ายน้องดอกแก้วจนถึงบ้านใหม่ สำหรับพลายข้ามแดน กับภารกิจย้ายน้องดอกแก้วเมื่อวานนี้ เรียกได้ว่าเหนื่อยเอาการ โดยในเพจร่มแดนช้าง โพสต์ว่า มาก่อนกลับทีหลัง เพราะนอกจากต้องสละรถยานแม่ให้น้องดอกแก้วไปบ้านใหม่แล้ว ต้องรอให้แม่พังบุญดีขึ้นรถสิบล้อของสมาคมสหพันธ์ช้างไทยที่มีคันเดียวกลับร่มแดนช้างไปก่อน ส่วนพ่อพลายข้ามแดนต้องเดินเท้า 10 กิโลเมตร เพื่อรอรถเที่ยวสุดท้ายกลับถึงบ้านดึกสุด.ขอบคุณรูปภาพ: ร่มแดนช้าง Tusker Shelter