- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง “ดีเอสไอ” มีอำนาจสอบฮั้วเลือกสว. หาก กกต.ร่วมทำผิดต้องลากเข้าคุกด้วย มีเนื้อหาระบุว่า การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการฮั้วเลือกตั้ง มีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นจำนวนมาก แต่กว่า 7 เดือนที่ผ่านมา กกต. กลับไม่สามารถจับทุจริตการเลือกตั้งได้เลย ทั้งที่มีพยานหลักฐานชัดเจน เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากกว่าองค์กรอิสระอย่าง กกต. ที่ดูเหมือนจะใส่ “เกียร์ว่าง” ตลอด ตามหลักกฎหมาย ความผิดทุจริตการเลือกตั้ง นอกจากจะมีบทลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ยังมีความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้ง ประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่น ๆ บางบทบัญญัติที่ กกต. ไม่มีอำนาจสอบสวน “ผมจึงเห็นว่าดีเอสไอจึงมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยตรง หรือกฎหมายอาญาอื่น ๆ ตามความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามหลักการของกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมาเพื่อป้องกัน ปราบปราม และควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นายเชาว์ ระบุ พร้อมแสดงความเห็นว่า การประชุมของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันพรุ่งนี้ จึงควรพิจารณารับเรื่องคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. เป็นคดีพิเศษ ซึ่งไม่เพียงแต่ดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการฮั้วเลือกตั้งเท่านั้น แต่หากพบว่า กกต. คนใดรู้เห็นเป็นใจหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน “การประชุมพรุ่งนี้ไม่ควรดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการฮั้วเลือกตั้งเท่านั้น แต่หากปรากฏว่า กกต. คนใด รู้เห็นเป็นใจ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องเอา กกต.ติดคุกด้วย” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุทิ้งท้าย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลท้องถิ่นของฉงชิ่งได้ออกนโยบายพัฒนาคุณภาพภาคเอกชน ซึ่งครอบคลุมถึง นวัตกรรมเทคโนโลยี การขยายตลาด และการสนับสนุนทางการเงิน จึงทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนของฉงชิ่ง ในปี 2024 สูงถึง 1.98 ล้านล้านหยวน หรือเทียบเท่าประมาณ 9.2 ล้านล้านบาทไทย
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ‘เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง’ ปม การใช้คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้คำว่า “ขออภัย” ไม่ใช้คำว่า “ขอโทษ” ในประเด็น “คดีตากใบ” ที่กลายเป็นเหตุสลดมากว่า 20 ปี แล้วแต่ญาติและผู้เสียชีวิต ก็ยังคงไม่ได้ความยุติธรรมจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ระบุว่า ข้องใจ “ทักษิณ” เลือกใช้คำว่า “ขออภัย” ไม่ใช้คำ“ขอโทษ” วันก่อนผมได้มีคำแนะนำถึงนายทักษิณ ชินวัตร ในโอกาสลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแรกในรอบ 20 ปีว่า ควรไปไถ่บาป สารภาพผิด และกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการ ต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ แต่ภาพข่าวที่เห็นเมื่อวานตอนนายทักษิณลงจากสนามบิน มีการจัดฉาก สร้างภาพนำมวลชนมามอบดอกกุหลาบ และต้อนรับนายทักษิณเป็นจำนวนมากในขณะเดียวกันก็มีเหตุคาร์บอมบ์เกิดขึ้น ก่อนที่เครื่องบินของนายทักษิณจะลงจอดที่สนามบินนราธิวาส เป็นการแสดงให้เห็นว่า ยังมีกระแสความไม่พอใจและต่อต้านนายทักษิณอยู่ เพราะมีการก่อความรุนแรงเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า ยังมีประชาชนไม่พอใจนายทักษิณ และยังเกิดระเบิดในพื้นที่จังหวัดยะลา เหมือนเป็นการต้อนรับการลงพื้นที่ของนายทักษิณในครั้งนี้ผมได้ตั้งคำถามต่อนายทักษิณว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เป็นการลงไปเพื่อแก้ปัญหา หรือสร้างปัญหา หรือซ้ำเติมสถานการณ์ในพื้นที่กันแน่ ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์มากกว่า และสิ่งที่นายทักษิณได้แสดงออกในการลงพื้นที่ครั้งนี้จะมาจากคำแนะนำของผม หรือความตั้งใจของนายทักษิณเองก็ไม่ทราบได้ ที่กล่าวคำขออภัยต่อเหตุการณ์ตากใบซึ่งทำให้ผมแปลกใจว่า1. ทำไมนายทักษิณเลือกใช้คำว่า “ขออภัย” ไม่ใช้คำว่า “ขอโทษ”2. ทำไมขออภัยเฉพาะเหตุการณ์ที่ตากใบ ซึ่งหมดอายุความไปแล้ว โดยไม่ได้นำผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเลย3. ควรขอโทษต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 85 ศพที่ตากใบ หรือเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ หรือการปล้นปืนค่ายทหารปิเหล็ง ที่ปัตตานี ฯลฯ4. ควรจะกล่าวคำขอโทษ หรือยอมรับผิดต่อความผิดพลาดทางนโยบายของรัฐบาลนายทักษิณ ซึ่งจะครอบคลุมเหตุการณ์ความรุนแรงได้ทั้งหมดการที่นายทักษิณไม่ยอมขอโทษ และไม่ยอมรับผิดต่อความผิดพลาดของนโยบายดับไฟใต้ เพราะเป็นความผิดของตัวเองแต่การเลือกกล่าวคำขออภัยต่อเหตุการณ์ตากใบ เพราะเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายทักษิณยังไม่ยอมรับว่าตัวเอง คือสาเหตุของการเกิดความรุนแรงที่ลุกลามมาถึงปัจจุบันนี้ผมขอบคุณนายทักษิณที่ได้กล่าวคำขออภัย แม้ว่าไม่ได้ใช้คำว่าขอโทษตามที่ผมได้แนะนำไว้ก็ตาม และสิ่งที่นายทักษิณประกาศกับพี่น้อง3จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า จะแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้ได้ในรัฐบาลชุดนี้ ก็ต้องจับตาดูว่า เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายทักษิณผู้เป็นพ่อ จะแก้ไขสำเร็จในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ผู้เป็นลูก ตามคำประกาศหรือคุยไว้หรือไม่
เป็นกรณีต่อเนื่องหลังจากที่ The Publisher นำเสนอกลุ่ม สว.เพื่อประชาชนบุก กกต.จี้ให้เร่งดำเนินการสอบสวนสืบสวนสอบสวนคดีการบล็อกโหวตในการเลือก สว.67 ที่ผ่านมา เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ทำหนังสือถึง กกต.ในเรื่องนี้แล้ว ล่าสุดมีที่เรียกว่า “เอกสารลับ” จาก DSI แจ้งความคืบหน้าผลการสอบสวน และขอความเห็นการดำเนินคดี เป็นหนังสือ ตีตรา “ลับ” และ ด่วนที่สุด ที่ ยธ. ๐๘๒๔/๐๐๕๐ ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง แจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวน และขอความเห็นการดำเนินคดี ถึง ประธาน กกต.อ้างถึงกรณี กกต. ขอทราบรายละเอียด และความคืบหน้าเกี่ยวกับคำร้องแต่ละคำร้องที่ DSI รับไว้ดำเนินการ 3 คำร้อง ในหนังสือระบุระหว่างการสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานพบข้อเท็จจริง เชื่อได้ว่า มีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล จัดตั้งเครือข่ายขบวนการวางแผนสลับซับซ้อน จัดการให้มีผู้สมัครสมาชิก สว.ระดับอำเภอ 928 อำเภอ มีค่าตอบแทนระดับอำเภอ 5 พันบาท ระดับจังหวัด 1 หมื่นบาท และระดับประเทศ 4 หมื่น-1 แสนบาท และถ้าได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เพิ่ม 1 แสนบาท โดยหลังคัดเลือกระดับจังหวัด ได้นัดหมายจัดทำโพยขั้วสมาชิก ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนครนายก และจ่ายเงินมัดจำ 2 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือได้รับภายหลังจาก กกต.รับรองผลเลือก ในหนังสือระบุว่า โพยฮั้ว สว.มีหมายเลข 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน และในการเลือก สว.ระดับประเทศ พบมีจำนวนผู้สมัครอยู่ในขบวนการ 1,200 คน จากนั้นวันเลือก สว.ระดับประเทศ 26 มิถุนายน…
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปัญหาระบบไบโอเมตริก (Biometrics) ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) โดยระบุว่า ตลอดปี 2567 และจนถึงปัจจุบัน ไม่มีการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกจริง แต่เป็นเพียงการถ่ายภาพใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่สามารถใช้ตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบไบโอเมตริกหยุดทำงาน คนเข้าออกไทย 17 ล้านคน ไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ นายรังสิมันต์ เผยว่า นับตั้งแต่ระบบไบโอเมตริกหมดอายุ มีผู้เดินทางเข้าออกประเทศไทยแล้ว กว่า 17 ล้านคน โดยไม่มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ทางชีวภาพที่แท้จริง ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศมีช่องโหว่อย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ระบบใหม่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำลังจะได้รับ อาจต้องรอนานถึง 29 เดือน หรือมากกว่านั้น เนื่องจากยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นทางการ ปัญหาช่องโหว่ด้านความมั่นคง เสี่ยงอาชญากรข้ามชาติใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ รังสิมันต์ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าวว่า หากอาชญากรต่างชาติ เช่น นาย A สัญชาติจีน ก่ออาชญากรรมในไทยแล้วหลบหนีไป แต่ภายหลังได้เปลี่ยนสัญชาติและถือพาสปอร์ตใหม่ เมื่อเดินทางกลับเข้าไทยอีกครั้ง ระบบของ ตม. จะไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะไม่เคยมีการเก็บอัตลักษณ์ของบุคคลนั้นมาก่อน “นี่คือความล้มเหลวขององค์กรตำรวจอย่างถึงที่สุด ที่ปล่อยให้คนเดินทางเข้าออกโดยไม่มีระบบตรวจสอบอัตลักษณ์ที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้แก๊งอาชญากรข้ามชาติสามารถแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยว และใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการได้อย่างง่ายดาย” รังสิมันต์กล่าว ตรวจคนเข้าเมืองรู้ปัญหา แต่ไม่มีการแก้ไข นายรังสิมันต์ ยังเปิดเผยว่า ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบถึงปัญหานี้มานาน และมีการหารือเพื่อแก้ไขแล้วถึง 7 ครั้ง แต่ผู้บังคับบัญชาไม่ดำเนินการใด ๆ ทำให้ช่องโหว่นี้ยังคงอยู่ “ผมขอเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เร่งตรวจสอบเรื่องนี้โดยด่วน เพราะนี่คือช่องโหว่ด้านความมั่นคงที่ใหญ่มาก และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ แก๊งอาชญากรข้ามชาติและกลุ่มสีเทาดำ เต็มบ้านเต็มเมือง หากยังไม่มีมาตรการแก้ไข พวกเขาอาจกลับมาได้อีกในอนาคต” ไทยจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของอาชญากรหรือไม่? นายรังสิมันต์ ทิ้งท้ายด้วยคำเตือนว่า หากรัฐบาลยังปล่อยให้ปัญหานี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ประเทศไทยอาจกลายเป็นแดนสวรรค์ของพวกสีเทา และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว Biometrics #ตรวจคนเข้าเมือง #ความมั่นคงของชาติ #รังสิมันต์โรม #อาชญากรข้ามชาติ #แก๊งสีเทา #ไทยต้องไม่เป็นแดนสวรรค์ของอาชญากร
กระแสในโลกออนไลน์ร้อนแรงอีกครั้ง หลังมีการเผยแพร่ ไทม์ไลน์เส้นทางสู่เก้าอี้ประธาน ป.ป.ช. ของ “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “ขาดคุณสมบัติ” แต่สามารถใช้เส้นสายและการเมืองเบื้องหลัง ดันตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญขององค์กรตรวจสอบการทุจริต เบื้องหลังการแต่งตั้งที่ถูกตั้งคำถาม ข้อมูลที่ถูกแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ชี้ให้เห็นว่า เส้นทางสู่ตำแหน่งของสุชาติ ตระกูลเกษมสุข อาจไม่ได้มาจากคุณสมบัติที่เหมาะสม แต่เกิดจาก กระบวนการวิ่งเต้นอย่างเป็นระบบ• ปี 2562: มีการวิ่งเต้นผ่านนักการเมืองระดับบิ๊ก เพื่อผลักดันให้ สุชาติ ได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. แม้ถูกครหาว่าขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญ• ปี 2563: กระแสวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดำเนินต่อไป แต่สุดท้าย สุชาติ สามารถฝ่าด่านขึ้นเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ได้สำเร็จ• ปี 2567: กระบวนการตรวจสอบเริ่มต้นขึ้น เมื่อ• 17 มิ.ย.: บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล) นำประชาชนกว่า 25,000 รายชื่อ ยื่นเรื่องร้องเรียนตรวจสอบสุชาติ ใน 3 ประเด็นหลัก• ประพฤติมิชอบต่อหน้าที่• ร่ำรวยผิดปกติ• ผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง• มิ.ย. – ธ.ค.: มีกระแสข่าวว่า สุชาติวิ่งเต้นล็อบบี้อดีตนายกฯ ซึ่งปัจจุบันยังมีอำนาจ เพื่อให้กดดัน “บิ๊กโจ๊ก” ถอนเรื่อง• 7 ธ.ค.: บิ๊กโจ๊กไม่ยอมถอนเรื่อง จึงเข้าเจรจากับ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา เพื่อหาทางออก และสุดท้าย บิ๊กโจ๊กถูกบีบให้ถอนเรื่องร้องเรียนสุชาติ• 23 ธ.ค.: นายวันมูหะมัดนอร์ ตีตกคำร้องของบิ๊กโจ๊ก ปี 2568 – สุชาติขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช. ท่ามกลางข้อครหา• 5 ก.พ.: สุชาติได้รับเลือกเป็นประธาน ป.ป.ช.• 11 ก.พ.: มีการ แฉคลิปเสียง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ดีลการเมืองระหว่างสุชาติและนายวันนอร์ ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างหนักว่า กระบวนการคัดเลือกสุชาติอาจไม่โปร่งใส เก้าอี้ร้อน ประธาน ป.ป.ช. การขึ้นสู่ตำแหน่งของ…
ผู้ใช้เฟซบุ๊ค Wasunan Phaochuad ได้โพสต์รูปภาพและข้อความเล่าเหตุการณ์ที่หลานสาวของตนที่อยู่ชั้น อนุบาล 3 ถูกเพื่อนชายและหญิงในโรงเรียนกลั่นแกล้ง โดยการช่วยกันดึงให้ไปอยู่ตรงพัดลม แล้วตั้งใจปล่อยมือให้ล้ม จนทำให้นิ้วน้องขาด และเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนได้มีการเจรจากับ ผปค. เด็กทั้งสอง แต่ปัดความรับผิดชอบอ้างว่าเด็กแค่เล่นกันเท่านั้น ให้ไปฟ้องเอา ในส่วนทางรร. อ้างว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ แต่เมื่อตนส่งหลักฐานค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลให้ ทางรร. กลับขอให้เป็นการผ่อนจ่าย ซึ่งยังไม่ได้มีการรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้นจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้โชคดีที่นิ้วของน้องสามารถต่อกลับมาได้ แต่ไม่สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม นี่ไม่ใช่เพียงครั้งปแรกที่หลานสาวของตนถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง แต่ยังมีอีกหลายครั้งก่อนหน้า และตนได้มีการแจ้งครูประจำชั้นแล้ว แต่ก็ไม่มีการแก้ไขปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น แผลทางกายอาจรักษาให้หายได้ แต่แผลทางใจอาจทิ้งบาดแผลไว้ยาวนานยิ่งกว่า #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#ข่าววันนี้#กลั่นแกล้ง#ทำร้ายร่างกาย#กลั่นแกล้งในโรงเรียน#บูลลี่
เป็นปฏิบัติการของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ที่บุกเข้าตรวจค้น 7 จุดทั้งโกดัง บ้านพัก ร้านค้าส่ง และร้านค้าปลีกในจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรสาคร พร้อมจับกุมผู้กระทำความผิด ซึ่งเป็นคนไทย 1 คนกับชาวกัมพูชาอีก 8 คน พร้อมด้วยของกลางกาแฟปลอมยี่ห้อดัง พร้อมครีมเทียม น้ำตาล และอุปกรณ์บรรจุกาแฟ สารปรุงแต่งชูรส พร้อมอุปกรณ์เพื่อทำผงชูรสปลอมยี่ห้อดังจำนวนมาก รวมของกลางทั้งสิ้น 563,598 ชิ้น ในความผิดฐาน “ปลอมเครื่องหมายการค้ามีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้า แสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง ผลิตอาหารปลอม และ“เสนอจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม ทั้งนี้สืบเนื่องจากการขยายผลถึงแหล่งที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าปลอม หลังผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ได้เคยสั่งซื้อสินค้าจากผู้ที่ลักลอบผลิตจำหน่ายสินค้าปลอมประเภทกาแฟและผงชูรส ก่อนสืบสวนหาแหล่งผลิตเพิ่มเติม กระทั่งทราบสถานที่เก็บสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ร้านค้าส่ง และขายประชาชนทั่วไป จึงนำหมายค้นศาลเข้าทำการตรวจค้น 7 จุด พบของกลางผงปรุงรส และกาแฟยี่ห้อดัง และกระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน ไม่สะอาดถูกสุขลักษณะอนามัย จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ทั้งนี้ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ฝากถึงประชาชนและร้านอาหารประกอบอาหารทั่วไป ให้เพิ่มความระมัดระวังในเลือกซื้อสินค้าที่ใช้ในการบริโภค ควรเลือกซื้อสินค้าจากแหล่งและยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย
เกิดแรงกระเพื่อมในสนามเลือกตั้ง เมื่อ ศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ “สุวรรณา กุมภิโร” ส.ส.เขต 2 จังหวัดบึงกาฬ จากพรรคภูมิใจไทย พร้อมกับสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แถมต้องชดใช้ค่าเลือกตั้งกว่า 9.8 ล้านบาท เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ นายสุวรรณา กุมภิโร เนื่องจากพบว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีปัญหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ศาลฎีกาพิจารณาคดีแล้ว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ สุวรรณา กุมภิโร เป็นเวลา 10 ปี และ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 2 จังหวัดบึงกาฬ ชดใช้ค่าเลือกตั้งเกือบ 10 ล้าน! นอกจากโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ศาลยังสั่งให้ “สุวรรณา กุมภิโร” ชดใช้ค่าเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งที่เป็นปัญหา เป็นจำนวน 9,852,954.13 บาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป หากกระทรวงการคลังมีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ก็ต้องจ่ายตามอัตราใหม่ แต่ไม่เกิน 5% ต่อปี กกต.เร่งเสนอเลือกตั้งใหม่ให้ ครม.พิจารณา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 105 ระบุว่า หากตำแหน่ง ส.ส.ว่างลงเพราะเหตุอื่นที่ไม่ใช่การยุบสภา รัฐบาลต้องตรา พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เว้นแต่วาระของสภาฯ จะเหลือไม่ถึง 180 วัน ขณะนี้ สำนักงาน กกต. ได้เสนอร่าง พ.ร.ฎ. ให้ ครม.พิจารณาแล้ว โดยผ่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และรอให้ นายกรัฐมนตรีนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติการเลือกตั้งใหม่อย่างเป็นทางการ
“เงินเดือนก็โดนหักทุกเดือน แต่สิทธิที่ได้กลับดูน้อยกว่าคนอื่น?” นี่คือคำถามที่อยู่ในใจของผู้ประกันตนหลายล้านคนในระบบประกันสังคม การออกมาแฉข้อมูลเชิงลึกของ รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชนอถึงการใช้เงินแบบมือเติบของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าเงินกองทุนประกันสังคมอาจหมดลงภายใน 30 ปี จึงเป็นเรื่องที่กระแทกใจผู้ประกันตนไม่น้อย ฟาดงบดูงานต่างประเทศ – ปฏิทินแพงลิ่ว รักชนก เปิดเผยข้อมูลที่ช็อกคนทำงานทั้งประเทศ ว่า สปส. ใช้งบประมาณไปกับทริปดูงานต่างประเทศ 6 วัน 5 คืน สำหรับผู้บริหาร 10 คน ด้วยงบมหาศาลถึง 2.2 ล้านบาท โดยมีค่าตั๋วเครื่องบินเฟิร์สคลาสราคาสูงลิ่ว 160,000 บาท/คน สำหรับ 2 คน ค่าโรงแรมคืนละ 16,000 บาท และค่ารถรับส่งอีก 35,000 บาท/คน! นอกจากนี้ ยังมีโครงการแจกปฏิทินมูลค่าราว 50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องเอาเงินที่คนทำงานจ่ายสมทบไปใช้กับเรื่องแบบนี้ ขณะที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ“ รมว.แรงงาน อ้างว่าจำเป็น งบบานปลายทุกปี แต่ขอข้อมูลกลับไม่ได้ งบประมาณของ สปส. เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน่าตกใจ ปี 2563: 4,000 ล้านบาท ปี 2564: 5,281 ล้านบาท ปี 2565: 5,332 ล้านบาท ปี 2566: 6,614 ล้านบาท ปี 2567: 5,303 ล้านบาท (ลดลงปีแรก) ที่หนักกว่านั้น คณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณขอข้อมูลรายละเอียดการใช้งบย้อนหลัง 5 ปี แต่ สปส. ปฏิเสธให้ข้อมูล โดยอ้างว่า “เปิดเผยไม่ได้” ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีอะไรที่ไม่อยากให้ประชาชนรู้? พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ชี้แจง แต่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน…