- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. นำทีมโดย พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์, พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. เข้าจับกุม นายรามิลฯ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 4557/2567 ลงวันที่ 19 กันยายน 2567 (สน.พญาไท) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” จับกุมได้ที่บ้านพัก หมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และนายธนาวุฒิฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.153/2568 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” จับกุมได้ที่บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี คดีนี้สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.1 บก.ปอท. ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดูจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิด ตามนโยบายเชิงรุกของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับเปิดเผยโฉมหน้าของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่แต่งกายเลียนแบบตำรวจ ข่มขู่ประชาชนให้ได้รับความเสียหาย เผยแพร่เป็นเบาะแสให้กับประชาชนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ…
ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อผู้คน ทั้งในเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นพิษหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นทาง ไหนจะเรื่องของสุขภาพระบบทางเดินหายใจ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่ดาราสาวเบอร์ต้นของเมืองไทยอย่าง “เบลล่า ราณี แคมเปน” ที่โพสต์ภาพฝุ่นพิษหนาราวกับหมอกลงผ่าน IG Story พร้อมระบุข้อความจี้ถามถึงหน่วยงานรัฐบาล ระบุว่า “อากาศแบบนี้ต้องใช้ชีวิตยังไง แล้วเมื่อไหร่จะมีหน่วยงานออกมาแก้ไขอย่างจริงจังคะ” ด้านวิล ชวิณ เจียรวนนท์ หวานใจของสาวเบลล่าก็ได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้เช่นเดียวกัน โดยได้รีโพสต์ IG Story ของสาวเบลล่า และเขียนข้อความว่า “สงสารแฟนและทุกๆคนในเมืองไทยมากๆ ที่ต้องทุกข์ทรมานกับมลพิษทางอากาศแบบนี้ ขอให้รัฐบาลและคนไทยทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นนะครับ เสียดายประเทศที่น่าอยู่มากๆ”
“อี้” แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ได้ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งหนังสือไปยัง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ทำการขยายผลคดีของนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม และพวก สาเหตุเนื่องจากชมรมสันติประชาธรรมได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายเกี่ยวกับการกระทำของนายรัฐภูมิ ในคดีพยายามกรรโชกทรัพย์ คลิปเสียง 20 ล้าน คดีดิไอคอน รวมถึงธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายภูริทัต โตคงทรัพย์ พี่ชายของนายรัฐภูมิ โดยในกรณีคดีดิไอคอน ที่มีการทยอยสั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องไปแล้วนั้น มีผู้เสียหายร้องเรียนมายังนายแทนคุณ เพื่อให้เร่งรัดติดตามคดี เนื่องจากพบว่านายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช ทนายความของนายฟิล์ม ได้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่อาจชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิด และเป็นการแก้ต่างนอกศาล ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดมรรยาททนายความ จึงร้องเรียนเพื่อให้มีการประสานงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ติดตามพฤติกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดส่งฟ้องผู้ที่ยังลอยนวลอยู่ นอกจากนี้ ยังต้องการป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาหรือบุคคลใดมาชี้นำ หรือลดทอนน้ำหนักของคดีที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ให้ติดตามการกระทำของทนายความบางคนในคดีนี้ เพื่อไม่ให้เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” เรื่อง “เครดิตทักษิณ ต่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม ลดลง?” มีเนื้อหาระบุว่าหลังจากผลการเลือกตั้งนายกอบจ. 47 จังหวัดเสร็จสิ้นลง และพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งจำนวน 10 จังหวัด จากจำนวนที่ส่งสมัครทั้งหมด 16 จังหวัด และพลาดเป้าในจังหวัดสำคัญที่ถูกจับตามอง เช่นจังหวัดเชียงราย จังหวัดลำพูน และจังหวัดศรีสะเกษ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า บารมีของนายทักษิณที่ขึ้นเวทีปราศรัย ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จพ่ายแพ้ไป อาจจะเป็นเพราะบารมีลดน้อยลง เสื่อมถอยและขาดมนตร์ขลังไป จนทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคนออกมาประสานเสียงว่า นายทักษิณยังมีมนต์ขลังอยู่ ถ้าไม่ได้นายทักษิณเป็นผู้ช่วยหาเสียง ผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย คงจะไม่ได้รับเลือกตั้งมากเท่านี้ ซึ่งเป็นการพูดเพื่อเอาใจนายใหญ่ ไม่ให้เสียกำลังใจ แต่สังคมรับรู้ว่าถ้านายทักษิณยังมีบารมีหรือกระแสฟีเวอร์จริง เป้าหมายจังหวัดสำคัญของพรรคเพื่อไทย น่าจะชนะทั้งหมด อย่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดศรีสะเกษ ที่แพ้ให้แก่ผู้สมัครกลุ่มสีน้ำเงินอย่างหลุดลุ่ย ซึ่งตอนปราศรัยหาเสียง นายทักษิณได้คุยโม้โอ้อวด เยาะเย้ยคู่แข่งด้วยวาทะกรรมไล่หนูตีงูเง่าภาค2 และหวังจะยึดที่นั่งส.ส.ศรีสะเกษทั้งจังหวัด แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป จนนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องเดินทางไปแสดงความยินดีกับชัยชนะของนายวิชิต ไตรสรณกุล ทันที เพื่อแสดงความสะใจ และเป็นการเยาะเย้ย หวังตบหน้านายทักษิณทางอ้อมไปในตัว เมื่อผลการเลือกตั้งนายกอบจ. ออกมาเช่นนี้ ทำให้เครดิตของนายทักษิณที่มีต่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการให้นายทักษิณเป็นตัวแทนสู้กับพรรคประชาชน และนายทักษิณเองก็ต้องการจะได้ใบอนุญาตเพื่อไปต่อทางการเมือง หวังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ย่อมถดถอยลง ซึ่งรับรู้ได้จากผลการเลือกตั้งนายกอบจ.ครั้งนี้ นายทักษิณไม่ได้มีบารมีจริง และหมดยุคทักษิณไปแล้ว ขอให้จับตาดูว่า หลังจากนี้นายทักษิณจะพลิกเกม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ให้ตัวเองได้ใบอนุญาตเข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้อย่างไร
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการบัญชีม้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการหลอกลวงและรับเงินของมิจฉาชีพ จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีการระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1,660,000 บัญชี (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567) แบ่งเป็น ปปง. 630,537 บัญชี ธนาคารระงับ 581,637 บัญชี และศูนย์ AOC ระงับ 455,241 บัญชี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ขยายผลจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 (มกราคม – ธันวาคม) จับกุมได้ 2,495 ราย เฉพาะเดือนธันวาคม 2567 จับกุมได้ 328 ราย นายประเสริฐ ย้ำว่า การขายบัญชีม้าไม่ว่าจะรูปแบบใด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 และอาจถูกดำเนินคดีในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำความผิด รวมถึงถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหายด้วย สำหรับผู้ที่หลงเชื่อขายบัญชีธนาคารไปแล้ว ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่อปิดบัญชีโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้หารือถึงการยกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกหนังสือเวียนให้สถาบันการเงินทุกแห่งเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมผิดปกติ โดยจะดำเนินการกับบัญชีในปัจจุบันและบัญชีเปิดใหม่ทั้งหมด “กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีธนาคารใหม่ หากพบความผิดปกติจะดำเนินการตรวจสอบทันที” นายประเสริฐ กล่าว
ช็อกวงการบันเทิงไต้หวันไม่น้อย หลังมีการยืนยันจากน้องสาวของ “ต้าเอส” หรือ สวีซีหยวน นางเอกชื่อดังเจ้าของบทบาท “ซานไช่” จากซีรีส์ในตำนาน F4 รักใสใสหัวใจสี่ดวง เวอร์ชัน ไต้หวัน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันระหว่างเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตของนางเอกดังเกิดจากภาวะปอดอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ โดยข่าวการสูญเสียครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากน้องสาวผ่านผู้จัดการส่วนตัว ‘เสี่ยวเอส’ ผู้เป็นน้องสาวของ ‘ต้าเอส’ กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง! ในช่วงวันหยุดปีใหม่ พวกเราเดินทางมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น แต่แล้วพี่สาวที่รักและใจดีของฉันต้องจากไปเพราะภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของเธอ เราดูแลกันและกันมาตลอด ฉันจะจดจำและคิดถึงเธอเสมอ… ซาน ไปสู่สุขคตินะ รักเธอตลอดไป” อย่างไรก็ตาม ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของนางเอกสาวสร้างความสะเทือนใจให้กับคนในวงการบันเทิงและบรรดาแฟนคลับของเธอไม่น้อย ขณะนี้ทางครอบครัวกำลังจัดเตรียมพิธีศพ และอยู่ในระหว่างทำใจในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก วิพากษ์การทำงานของ กกต.ในการเลือกตั้งนายกอบจ.เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ระบุว่า วัดใจ วัดฝีมือกกต จะกล้าประกาศเลือกตั้งนายกอบจ.จังหวัดไหนบ้าง ที่ไม่โกงหลักฐานแจกเงินชัดเจนที่จังหวัดมหาสารคาม 1 ในตัวอย่าง ทุจริตโกงเลือกตั้ง โจ๋งครึ่มทั่วประเทศแบบนี้ นายสมชายยังได้ยก มาตรา17 วรรค2 ของพรบเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ระบุว่า“ในกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะมีผู้ร้องเรียนกล่าวโทษหรือไม่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งด าเนินการสืบสวนหรือไต่สวนให้แล้วเสร็จและประกาศผลการเลือกตั้ง หรือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือ ดำเนินการอื่นที่จำเป็น แล้วแต่กรณีโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง” มากระทุ้งให้กกต.เร่งทำหน้าที่ด้วย “งานนี้กกต.ไม่สามารถประกาศรับรองได้แน่นอน 100% กกต ต้องดำเนินคดีทุจริตอย่างถึงที่สุด ทั้งอาญาและแพ่ง เรียกค่าเสียหายแทนรัฐในการต้องประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ และต้องตัดสิทธิ์เลือกตั้งทั้งสองฝ่าย” นายสมชาย ระบุทิ้งท้าย
จากกรณี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เผยภาพหลังได้มีโอกาสประชุมอย่างไม่เป็นทางการของประธานอาเซียนกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับนายจอร์จ เยียว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ เพื่อหารือในหลายประเด็นสำคัญด้านสถานการณ์ของประเทศเมียนมาร์ และการพัฒนาของสกุลเงินดิจิทัล ด้านผู้เป็นลูกสาวอย่าง นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ได้มีการโพสต์รูปภาพดังกล่าว พร้อมกับระบุข้อความ So proud of you Daddy (ภูมิใจในตัวคุณนะคะพ่อ) พร้อมติดแท็กอินสตาแกรมนายทักษิณ
ประเด็นการตัดไฟชายแดนที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ การพิจารณา การดำเนินการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยการประสานงานจากหลายฝ่ายในการตัดสินใจที่สำคัญ พร้อมทั้งยังเตรียมปรับสัญญาตรวจพื้นที่ก่อนจ่ายไฟ พูดคุยกับ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกม.-บอร์ดกฟภ. ในรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร The Publisher The Publisher: กฟภ. จัดการกับปัญหาที่มันเกิดขึ้นอย่างไร? รศ.ดร.เจษฎ์: ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่าที่สังคมไทยรับรู้ก็คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก่อนที่จะดำเนินการใช้ไฟไปต่างประเทศได้ มีการขอไปที่คณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่เคยมีมติเมื่อปี 2539 โดยที่บอกว่าให้ กฟภ. ไปดำเนินการโดยมีกรอบและเกณฑ์ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งของการดำเนินการนั้นก็คือ ต้องไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน่วยงานความมั่นคงอยู่ในส่วนเหล่านั้นด้วย ไม่ได้มีเพียงแค่หน่วยงานความมั่นคง อย่างที่ใครหลายๆ คนตั้งคำถามว่าหน่วยงานความมั่นคงแปลว่าอะไร? ทหารอย่างเดียวหรือ? ผมว่าทางมหาดไทยก็คงไม่ได้ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหารอะไรต่างๆ ก็มี แต่ถ้ากระทรวงการต่างประเทศก็มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับความมั่นคง ทั้งภายในประเทศและชายแดน มันเป็นเรื่องทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศด้วย พอคุยแล้วทาง กฟภ.เห็นว่ามันสรุปมาได้ว่า เราไม่มีอะไรที่กระทบต่อความมั่นคง เราไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาต่อบ้านเมือง รวมถึงกำลังไฟที่เราจะดูแลพี่น้องของเรา ที่ทาง กฟภ. ดูแล้วว่าเขาจะจ่ายไฟไป พอจะตัดไฟก็คือเลิกจ่ายไฟไป มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คนใดคนนึงพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในสายการบังคับบัญชาที่สามารถพูดแล้วมันต้องดำเนินการตาม ถ้าไปทำมันก็เท่ากับกระบวนการตอนจ่ายศูนย์สิ้นไปเลย กระบวนการตอนจะงดจ่ายหรือตัดไฟมันก็ต้องทำเช่นเดียวกัน มันก็ต้องคุย ต้องถาม ต้องหาข้อมูล ต้องมีข้อสรุป อันที่จริงก็มีอยู่สองเรื่อง ถ้ามีตามสัญญาที่ได้กำหนดไว้ 1. ถ้าไม่จ่ายไฟก็คงไม่ต้องไปถามใครหรอก ทางฝั่งนู้นไม่จ่ายไฟก็ตัด 2. เรื่องความมั่นคง อย่างที่คุณอนุทินได้ให้สัมภาษณ์เป็นตัวอย่างการกำกับดูแลภาครัฐวิสาหกิจที่ดีมาก เพราะรัฐต้องทำงานทำหน้าที่ ต้องมีพรบ. พรก.ที่ทำให้เขาต้องทำงานได้ รมว. ในฐานะที่กำกับก็จริง แต่หากรมว.บอกว่าทำแบบนั้นสิ ทำแบบนี้สิก็เหมือนเป็นการก้าวล่วง การที่คุณอนุทินบอกว่า ในฐานะ รมว.กระทรวงมหาดไทยจะไม่เป็นคนสั่งการหรือกำหนดให้ทำนู่นทำนี่ก็ต้องส่งให้ กฟภ.จัดการ จะให้ผู้ว่าการ จะให้คณะกรรมการพูดคุยกัน ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยดูแล แต่ว่าสิ่งที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงให้เห็นคือ กฟภ. เขาสามารถทำของเขาได้ ในฐานะที่เป็นรมต.กำกับ แน่นอนต้องประสานงาน ต้องอะไร แต่ต้องไม่ใช่เป็นคนสั่ง ในที่สุดก็คือว่าคนที่จะเป็นคนสั่ง ถ้าจะบอกว่าจะเป็นคุณภูมิธรรม เวชยชัย คุณทักษิณ ชินวัตร ท่านเหล่านี้จะไปสั่งได้ยังไง ท่านอาจจะให้ความเห็นได้ไม่ว่าอะไร ใช่ไม่ใช่ก็แล้วแต่ คนก็ไปพิจารณากัน…
ศาลแขวงปทุมวันได้ออกหมายจับ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รอง ผบก. กองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หลังไม่ไปพบพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ตามกำหนดนัดเพื่อนำตัวฟ้องต่อศาลฯ คดีนี้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล ได้แจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน หลังจากที่ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ และพวก นำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และหมิ่นประมาท ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้อง พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ และพวก ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน, ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท โดยอัยการได้แจ้งให้ทั้งหมดเข้าพบเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล แต่ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ ไม่มาตามนัด พนักงานสอบสวนจึงยื่นคำร้องขอออกหมายจับ สำหรับ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ ถือเป็นคู่กรณีกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ โดยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนหลายข้อหาและหลายสถานที่ รวมถึงเคยร้องเรียนคดีส่วยคาราโอเกะ, การปลอมลายเซ็นรับพระราชทานปริญญา, และกล่าวหาว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กระทำความผิดตามมาตรา 112
