- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ประกาศคืนเงินให้ผู้กู้ยืมบางราย หลังดำเนินการคำนวณยอดหนี้ใหม่เสร็จสิ้น ผู้มีสิทธิ์สามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้ทางเว็บไซต์ กยศ. ขณะเดียวกัน ผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือ สามารถขอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขยายเวลาผ่อนชำระ และปลดภาระผู้ค้ำประกันได้ ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า กยศ. ได้คำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ให้กับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืน โดยนำประวัติการชำระหนี้ของแต่ละรายมาคำนวณใหม่ทั้งหมด พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี ส่งผลให้ผู้กู้ยืมบางรายมียอดหนี้เป็นศูนย์ หรือได้รับเงินคืน จากการคำนวณยอดหนี้ใหม่ของผู้กู้ยืมประมาณ 3.8 ล้านบัญชี พบว่าผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือ ประมาณ 3.5 ล้านบัญชี และมีผู้กู้ยืมที่จะได้รับเงินคืน ประมาณ 2.8 แสนบัญชี กยศ. ได้แจ้งผลการคำนวณยอดหนี้ใหม่ผ่าน SMS ไปยังผู้กู้ยืมทุกรายแล้ว โดยมีข้อความว่า “ตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ที่เว็บไซต์ กยศ/ ขออภัยหากไม่ใช่ผู้กู้” ผู้กู้ยืมสามารถตรวจสอบสถานะบัญชี และลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th โดย กยศ. จะโอนเงินคืนผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น ปรับโครงสร้างหนี้ ผ่อนน้อยลง ปลดภาระคนค้ำสำหรับผู้กู้ยืมที่ยังมียอดหนี้คงเหลือ กยศ. เชิญชวนให้ปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อขยายเวลาผ่อนชำระ ลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือน และปลดภาระผู้ค้ำประกัน โดย กยศ. จะใช้ยอดหนี้ที่คำนวณใหม่นี้ในการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และเมื่อระบบ กยศ. Connect ปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ ยอดหนี้ทั้งหมดจะถูกปรับโดยอัตโนมัติ และแสดงในแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ต่อไป ผู้กู้ยืมทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างแน่นอน
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ออกมาแสดงความกังวลต่อนโยบายการเปิดให้มีการพนันออนไลน์อย่างถูกกฎหมายของรัฐบาล โดยชี้ว่าภัยร้ายจากการพนันออนไลน์กำลังคืบคลานเข้าสู่สังคมไทยอย่างเงียบเชียบ และอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเยาวชนมากกว่าคาสิโนเสียอีก โดยตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันนโยบายนี้ ยังขาดการศึกษาและประเมินผลกระทบจากการพนันออนไลน์อย่างรอบด้าน ขณะเดียวกัน กระบวนการกำหนดนโยบายก็ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งถือเป็นการขาดหลักธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ รศ.ดร.สังศิต ยังระบุว่า การพนันออนไลน์มีต้นทุนในการดำเนินการต่ำกว่ากาสิโนมาก ทำให้ควบคุมได้ยาก และเอื้อต่อการเข้าถึงของเยาวชน ซึ่งเสี่ยงต่อการติดการพนัน ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดให้มีการพนันออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย อาจเป็นช่องทางให้กลุ่มทุนสีเทาใช้ฟอกเงิน และทำให้การปราบปรามเว็บพนันผิดกฎหมายทำได้ยากยิ่งขึ้น จึงเรียกร้องให้รัฐบาลศึกษาผลกระทบของการพนันออนไลน์อย่างรอบด้าน และหามาตรการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ก่อนที่จะสายเกินไป
ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ว่า กรณีมีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญามาตรา 116 เอาผิดนายทักษิณ ชินวัตร ที่ สภ.เมืองศรีสะเกษ ว่า พฤติกรรมของนายทักษิณ เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 116 ที่บัญญัติว่า ”ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่แสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กําลังข่มขืนใจ หรือใช้กําลังประทุษร้าย ,เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อ ความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินเจ็ดปี” กรณีของนายทักษิณจะเข้าลักษณะเดียวกับ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน โดยคำปราศรัยของนายทักษิณชัดเจนว่ามีเจตนาพิเศษต้องการให้ประชาชนที่มาฟังคำปราศรัย และคนทั่วประเทศ เข้าใจว่านายทักษิณไม่ได้โกง กระบวนการยุติธรรมมิชอบ เขาถูกกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้ง คำพูดของนายทักษิณ ถ้าคนเชื่อก็จะเกิดความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เกิดการกระด้างกระเดื่อง แต่คนที่คิดว่านายทักษิณทำไม่ถูกก็จะเห็นอีกแบบหนึ่ง ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง เป็นลักษณะเดียวกับกรณีน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน “เจตนาของนายทักษิณที่พูดว่าตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาตรวจสอบ อันนี้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทกระบวนการยุติธรรม เพราะคตส.เป็นคณะกรรมการที่มีกฎหมายรองรับ กระบวนการดำเนินคดีก็เป็นไปตามปกติ ส่งอัยการและศาลฯ เป็นผู้ตัดสินคดีมีการไต่สวน เปิดโอกาสให้ต่อสู้เต็มที่ ก่อนตัดสินยึดทรัพย์และจำคุกนายทักษิณ นายทักษิณบอกด้วยว่าไม่ได้โกง นี่ก็ไปขัดกับพระบรมราชโองการที่พระราชทานอภัยลดโทษให้เพราะนายทักษิณบอกสำนึกผิดยอมรับโทษตามคำพิพากษา ซึ่งตรงส่วนนี้อาจจะต้องดำเนินคดีมาตรา 112 ตามมาอีกด้วย ผมคิดว่าเข้าองค์ประกอบความผิดเป็นอาญาแผ่นดิน ที่ประชาชนสามารถไปแจ้งความดำเนินคดีได้ทั่วประเทศ และน่าจะมีคนไปแจ้งความที่กองปราบฯ ด้วย เพราะอาจจะไม่มั่นใจต่อการทำคดีของตำรวจท้องที่ เนื่องจากผู้ถูกแจ้งความเป็นผู้มีอำนาจในขณะนี้“ ดร.ณฐพร กล่าว เชื่อรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ใกล้ถึงจุดจบ ดร.ณฐพร กล่าวด้วยว่า เหตุผลที่นายทักษิณกล้าทำแบบนี้ เพราะคนในกระบวนการยุติธรรมมีปัญหา ไม่มียุคไหน สมัยใดที่นักการเมืองมีความอหังการ์เท่ายุคนี้ เพราะไม่เพียงแต่มีคดีชั้น 14 และการปราศรัยของนายทักษิณเท่านั้น ยังมีกรณีที่ดินเขากระโดงที่กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมคนในกระบวนการยุติธรรมได้ใช่หรือไม่ ทำให้นักการเมืองเหล่านี้มีความอหังการ์ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ถึงกับกล้าโต้แย้งคำพิพากษาศาล นักโทษเข้าเรือนจำ ไม่นานเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ได้รับการปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว ล้วนเกิดในยุคนี้เป็นความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นในขณะนี้ “ผมมั่นใจว่ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์จะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะมีคดีเยอะ ถ้าป.ป.ช.และกกต.ทำงานอย่างจริงจังเรื่องจบไปนานแล้ว แต่องค์กรเหล่านี้กลับทำหน้าที่ไม่เต็มที่ ผมกำลังร่างคำฟ้องป.ป.ช.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะมีคดีผิดจริยธรรมร้ายแรงของนักการเมืองจำนวนมากค้างอยู่ใน ป.ป.ช.…
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อ 07:30 น. ตามเวลากรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตรงกับเวลา 13:30 น. ตามเวลาในประเทศไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการทุกส่วนที่ได้ร่วมประชุมการแก้ไขฝุ่นควัน เร่งแก้ไขปัญหาทันที ตามที่กำหนดแนวทางไว้ โดยขอให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม แก้แบบเร่งด่วนทันที และรายงานการดำเนินการทุกวัน ส่วนกรุงเทพมหานคร ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.ตัดสินใจทันที ทั้งเรื่องการประกาศหยุดเรียนของโรงเรียนในสังกัด กทม.ตรวจวัดตรวจจับรถยนต์ควันดำ ขอความร่วมมือ Work From Home ตรวจเข้มไม่ให้มีการเผาขยะหรือการเผาในที่โล่งทุกประเภท ส่วนกระทรวงต่างๆ ให้เดินหน้าตามอำนาจหน้าที่เช่น งดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ ใช้กฎหมายเข้มกับผู้เผาป่า เผาตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อยและพืช ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังไฟป่า กวดขันจับกุม ห้ามใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมาย กำหนดมาตรการป้องกันการปล่อย PM2.5 ในไซต์งานก่อสร้าง ปฏิบัติการบินทำฝนหลวงลดการสะสมของฝุ่น PM 2.5 เฝ้าระวังจุดความร้อน หรือฮอตสปอต ตรวจจับการเผาป่า หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน จัดทีมแพทย์ดูแลสุขภาพ จัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง นายจิรายุยังเปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 ม.ค. 68) นายกรัฐมนตรี จะวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อประชุมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนอีกครั้ง ทั้งนี้ เป็นมาตรการที่สั่งการเพิ่ม หลังจากถูกผู้นำฝ่ายค้านฯ โพสต์ข้อความ “นายกฯ สูดอากาศดีที่เมืองดาวอส แต่คนไทยสูดอากาศพิษ จี้เร่งแก้ไข” ก่อนที่นายจิรายุออกมาตอบโต้ “เสียลุคผู้นำฝ่ายค้านฯ เอาแต่แขวะ ควรใช้วิธีสุภาพบุรุษในสภาฯ” ส่วน The Publisher ต่อท้ายว่า แล้วนายกฯ เข้าสภาฯ กี่โมง
พ.ต.ต. วรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกับ The Publisher ถึงความคืบหน้าในการสทบสวนคดีแตงโม ภัทรธิดา ว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ ว่า ประเด็นนี้มีการยื่นคำร้องไปที่ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งคดีนี้เรื่องถึงศาลฯ แล้ว แต่มีคดีอื่นที่เกี่ยวพันกับคดีที่ “แตงโม” เสียชีวิตอยู่ในคำพิพากษาที่เกิดคำถามว่า การเสียชีวิตเกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่ จึงยื่นที่กระทรวงยุติธรรมให้ส่งข้อมูลไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งรมว.ยุติธรรมเห็นว่า ควรให้ดีเอสไอได้ดูรายละเอียดก่อน อธิบดีดีเอสไอจึงมีคำสั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง “สังคมอาจไปมองภาพเรื่องการรื้อฟื้นคดีอาญา กรณีนี้ไม่ใช่เพราะการรื้อฟื้นคดีอาญาจะเป็นคดีที่ตัดสินไปแล้ว เช่น กรณีแพะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดถูกลงโทษแล้ว ต่อมามีข้อเท็จจริงว่าเป็นเท็จก็รื้อฟื้นคดีใหม่ แต่คดีนี้อยู่ในกระบวนการของศาลฯ และบางส่วนมีคำพิพากษาไปแล้ว ผู้ร้องจึงขอให้ดีเอสไอส่งข้อมูลให้อัยการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ซึ่งดีเอสไอคงสืบสวนว่ามีข้อมูล ข้อเท็จจริงอย่างไร และเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นประโยชน์คงมีการส่งผ่านข้อมูลไปให้อัยการตามขั้นตอน” พ.ต.ต. วรณัน กล่าว โฆษกดีเอสไอ บอกด้วยว่า คณะพนักงานสืบสวนจะประชุมกันภายในวันสองวันนี้เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการ แต่ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาว่าต้องจบเมื่อไหร่ โดยจะทำให้เร็วที่สุด เพราะเราตระหนักดีว่าเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ อีกทั้งคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ด้วย ซึ่งจะไม่มีการสรุปล่วงหน้าว่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ ซึ่งขอบเขตในการทำงานจะสืบสวนตามคำร้องที่มีเหตุสงสัย จึงต้องดูว่าคำร้องและเหตุสงสัยนั้นมีข้อเท็จจริงและมีมูลอย่างไรหรื
พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.และ ป.ป.ท. ซ้อนแผนบุกเข้าจับกุมตัว นายปัญญา (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี นายช่างโยธาปฏิบัติงาน สำนักงานเขตพระโขนง ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในหลายข้อหาฐานเรียกรับประโยชน์โดยมิชอบ, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะกำลังเรียกรับเงินสินบนจากผู้ประกอบการ โดยจับกุมได้ภายในห้องทำงานสำนักงานเขตพระโขนง พร้อมของกลางเงินสด 2 แสนบาท การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกันยายน 2567 ผู้เสียหายเป็นผู้รับเหมาเขียนแบบก่อสร้างห้างคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งในพื้นที่เขตพระโขนง ยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารจำนวน 7 อาคาร ที่สำนักงานเขตพระโขนง แต่กลับถูกนายปัญญาฯ ใช้วิธีการต่างๆ สร้างความยุ่งยากและเรียกรับเงิน 420,000 บาท เพื่อแลกกับการออกใบอนุญาต โดยให้ผู้เสียหายชำระเงินก่อน 200,000 บาท และ 20,000 ตามลำดับ ผู้เสียหายเข้าร้องเรียนกับทางกรุงเทพมหานคร ก่อนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.สั่งการให้ พล.ต.อ.อดิศร์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมประสานร่วมตำรวจ บก.ปปป. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ดำเนินการ กระทั่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ อนุมัติหมายจับนายปัญญาฯ และวันนี้ (23 ม.ค. 68) นายปัญญาฯ นัดหมายผู้เสียหายนำเงินสด 200,000 บาท มาให้ที่ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตพระโขนง เจ้าหน้าที่จึงวางแผนล่อซื้อจับกุม โดยขณะที่ผู้เสียหายนำเงินไปมอบให้ นายปัญญาฯ ที่โต๊ะทำงาน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมยึดเงินสดของกลางได้ 200,000 บาท อย่างไรก็ตามสำหรับคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาขยายผลตรวจค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมในห้องทำงาน ก่อนคุมตัวมาสอบปากคำยัง บก.ปปป.ต่อไป
บทความโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร เห็น “ทักษิณ” ปวารณาตัวเองว่ามีตำแหน่ง สทร. หรือ เสือกทุกเรื่อง ไม่เพียงแสดงบทบาทนำให้รัฐบาลเดินตาม แต่ยังฟาดงวงฟาดงาแสดงอาการไม่ยอมรับ ไม่สำนึกผิด บิดเบือนว่าคดีความต่าง ๆ ที่ถูกตัดสินล้วนถูกยัดเยียด ทำให้นึกไปถึงตอนที่เขาได้รับชัยชนะในคดีซุกหุ้นภาค 1 ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ในตอนนั้นเขารีบออกมาขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากทันที แต่ในภายหลังไม่ว่าจะมีคำตัดสินจากศาลฯ ใด หากเป็นโทษเขาก็กล่าวหาว่า ”กระบวนการยุติธรรมไทย“ คือ ”กระบวนการยุติความเป็นธรรม“ วิธีคิดเช่นนี้สรุปได้คำเดียว่า ”เห็นแก่ตัว“ อะไรได้เอา เสียไม่รับ ทำให้อดนึกถึงคำวินิจฉัยส่วนตนของท่านประเสริฐ นาสกุล อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการฯ เสียงข้างน้อยที่ชี้ว่า ”ทักษิณ“ ทำผิดในคดีซุกหุ้นภาคแรกไม่ได้ เป็นเสียงสะท้อนจากอดีตยังคงดังก้องอยู่จนถึง แม้จะเป็นเสียงข้างน้อย แต่กลับทรงพลังด้วยเนื้อหาที่เปี่ยมไปด้วยข้อคิด เตือนสติ และสะท้อนปัญหาการเมืองไทยที่ยังคงวนเวียนซ้ำรอยเดิม “หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร” ประโยคสั้นๆ แต่หนักแน่นไปด้วยความหมาย ท่านประเสริฐ ได้ชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ของการเมืองที่นักการเมืองทุกคนพึงตระหนัก หากผู้ใดมุ่งหวังแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ย่อมมิอาจ “เห็นแก่มวลชน” ได้อย่างแท้จริง ศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งที่นักการเมืองพึงมี เหนือยิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญ คำวินิจฉัยส่วนตนของท่านประเสริฐ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทย เช่น การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนตน การผูกขาดผลประโยชน์ในกลุ่มทุนใกล้ชิด การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจเพื่อปกปิดความมั่งคั่ง “เป็นการประกอบธุรกิจตามปกติ ธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกันอย่างนั้น” วลีนี้คุ้นหูสะท้อนค่านิยมที่บิดเบี้ยวในสังคม การแสวงหาผลกำไร ความโลภ และการไม่คำนึงถึงศีลธรรม ล้วนเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ กัดกร่อนสังคมไทย ท่านประเสริฐ ยังตั้งคำถามถึงความจริงใจในการเข้าสู่เส้นทางการเมือง การโอนอำนาจธุรกิจให้กับครอบครัว แต่ยังคงถืออำนาจอยู่เบื้องหลัง เป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ขาดความโปร่งใสและไร้ซึ่งการแก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง “ปัญหาบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย เพียงแต่ผู้นำของประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี” ข้อความนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของผู้นำที่มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชน การแก้ปัญหาของชาติไม่ใช่เพียงการใช้เงินทอง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ การลด ละ เลิก “ความเห็นแก่ตัว” และการสร้างสังคมที่เป็นธรรม คำวินิจฉัยของท่านประเสริฐ จึงมิใช่เพียงการตัดสินคดีความ แต่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย เป็นเครื่องเตือนใจนักการเมืองให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ และยึดมั่นในศีลธรรม เพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน น่าเสียดายที่คนเดิมในคำวินิจฉัย…
หากใครจำเรื่องราวของ “เจ้าหมูแดง” ฮาจิโกะแห่งเมืองโคราช หมาจรแสนซื่อสัตย์ผู้รอคอยเจ้าของมันอยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้ออย่างมีความหวังว่าสักวันเจ้านายของมันจะหวนกลับมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้านายของมันได้จากโลกนี้ไปแล้ว เดิมทีเจ้าหมูแดงเคยอยู่กับเจ้าของซึ่งเป็นชายเร่ร่อนที่มักเดินขายของและขอรับบริจาคในย่านนั้น ทั้งคู่จะมักมาอาศัยนอนหน้าบริเวณร้านสะดวกซื้อเป็นประจำ กระทั่งเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2567 เจ้าของหมูแดงป่วยหนักและเสียชีวิต แม้เจ้าของเจ้าหมูแดงจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่เจ้าหมูแดงก็ยังคงนอนรอเจ้าของของมันอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน โชคดีที่พนักงานร้านสะดวกซื้อ รวมถึงพ่อค้าแม่ค้า คนแถวนั้นต่างก็รักและเอ็นดูเจ้าหมูแดง จึงคอยให้น้ำให้อาหารให้การดูแล รวมถึงหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาสวมใส่ให้เจ้าหมูแดงเพื่อคลายหนาว จนเรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ถึงขนาดที่สื่อดังจากญี่ปุ่นยังเดินทางมาถ่ายทำเรื่องราวของเจ้าหมูแดง ล่าสุด นับว่าเป็นบุญของเจ้าหมูแดง หมาจรผู้น่าสงสาร หลัง ‘พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์’ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับ “เจ้าหมูแดง” ไว้ในพระอุปถัมภ์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ได้รับตัวเจ้าหมูแดงไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะเอาไปดูแลสุขภาพเบื้องต้นที่ปากช่อง หลังจากนั้นพระองค์ท่านจะเอาไปเลี้ยงเองที่เชียงใหม่ .ขอบคุณรูปภาพและเรื่องราว : Korat : เมืองที่คุณสร้างได้ ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #หมูแดง #หมาจรก็มีหัวใจ #หมาจร #สุนัขทรงเลี้ยง ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่Website : https://thepublisherth.com/
เป็นภาพถ่าย ณ มุมเดียวกัน สถานที่เดียวกัน และเวลาเดียวกัน บนตึกสูงในเขตจตุจักร โดยด้านซ้ายเป็นภาพเมื่อ 8 นาฬิกาวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งพบว่าสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เริ่มสูงขึ้น ทำให้ทัศนวิสัยไม่ชัดเจนเมื่อมองออกไป และค่าฝุ่นทำให้เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ภาพด้านขวาถ่ายเมื่อเวลา 8 นาฬิกาของวันนี้ (23 ม.ค.68) ซึ่งจะพบว่าปริมาณฝุ่นมากขึ้นจนบดบังทัศนวิสัยมองแทบไม่เห็นด้านไกลของกรุงเทพมหานคร บ่งบอกถึงสถานการณ์ของฝุ่น PM2.5 ที่ครอบกรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี
เป็นเวทีที่กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม กับกิจกรรมจิบกาแฟยามบ่ายครั้งที่ 3 สนทนาประสาเพื่อนพ้อง และผู้ห่วงใยบ้านเมือง ในหัวข้อ “สังคมเศรษฐกิจไทยในนโยบายกาสิโน และพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย” เปิดนำสนทนาโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และมี รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิหยุดพนัน และนายเขตน่าน พิณโสภณ เครือข่ายเยาวชน ร่วมแสดงความความเห็น โดยมี รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการ ดำเนินรายการ เวทีนี้จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.30 น. ที่ห้อง 101 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งต้องบอกว่าห้องประชุมนี้รับผู้ชมจำนวนจำกัด ต้องเปิดให้ลงทะเบียนผ่านมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน หรือรับชมผ่าน Facebook Live ของมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน สำหรับผู้นำสนทนา และร่วมแสดงความเห็นก็ต้องบอกว่าเบอร์ใหญ่สำหรับเรื่องนี้ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดีกรีอดีตนายกรัฐมนตรี กับมุมมองเชิงนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อสังคม ซึ่งนายเทพไทย เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์เคยบอกว่านายอภิสิทธิ์ประกาศไม่สนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และเสียดายไร้พรรคต่อสู้ระบอบทักษิณ ขณะที่ รศ.ดร นวลน้อย เป็นหนึ่งใน 99 นักวิชาการที่ร่วมลงชื่อคัดค้านกาสิโนถูกกฎหมาย และชงเรื่องให้ทำประชามติถามประชาชนตั้งแต่สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เพราะเชื่อเจ้ามือรวย เงินเข้ากระเป๋านักธุรกิจพนัน แต่ผลกระทบต่อสังคมสูงมาก ส่วนนายธนากร คมกฤส ก็มีบทบาทสำคัญในการคัดค้านเรื่องนี้ รวมถึงตัว ดร.เจิมศักดิ์ ที่ก่อนหน้านี้ยิง 15 คำถามตรงถึงรัฐบาลปมบ่อนกาสิโน และการพนันถูกกฎหมายด้วย
