- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
มีรายงานว่า นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ระบุได้พบเห็นการกระทำของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาฯ ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท และถูกตัดสินจำคุก 3 คดี 8 ปี ต่อมาเดินทางกลับประเทศยอมรับว่ากระทำผิดตามคำพิพากษา จึงถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี ถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำ และมีการนำตัวออกไปรักษาที่ รพ.ตำรวจเป็นเวลา 180 วัน ก่อนจะได้รับการพักโทษและพ้นโทษออกมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากนั้นนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นมา นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ต่อมาช่วงปลายปีจนถึงปัจจุบันนายทักษิณ ได้ไปช่วยหาเสียง ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.ของพรรคเพื่อไทยหลายจังหวัด เช่น อุบลราชธานี เชียงราย เชียงใหม่ นครพนม หนองคาย และมหาสารคาม โดยมีการกล่าวอ้างว่าถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา และถูกตั้งคณะกกรรมการเฮงซวยเข้ามาตรวจสอบ ถูกกล่าวหาว่าโกงความจริงเงินที่มีหกหมื่นล้านบาท ทำมาหาได้ก่อนเล่นการเมือง และยังปราศรัยอ้างว่าถวายงานต่อราชสำนัก ทั้ง ๆ ที่กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น ห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้หาเสียงเลือกตั้ง และการปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งใช้ข้อความรุนแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ไม่ยอมรับว่ากระทำผิดตามคำพิพากษาของศาล ทั้ง ๆ ที่ได้ยื่นถวายฎีกาต่อในหลวงและยอมรับว่ากระทำผิดจริง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ยอมรับในการกระทำ มีความสำนึกผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา มีอายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วย จนเป็นเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พระราชทานมหากระณาอภัยโทษเหลือจำคุก 1 ปี ในบันทึกแจ้งความยังระบุด้วยว่า นายบุญถาวร ได้ยื่นทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อได้โปรดพิจารณาการกระทำและบุคคลเกี่ยวกับการกระทำของนายทักษิณ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เพื่อโปรดเกล้าฯ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความขัดแย้งและความเห็นต่างของประชาชน จากการกระทำของหน่วยงานราชการกรมราชทัณฑ์ และกรณีการกระทำของนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ในขณะนั้นเพื่อให้มีการบังคับเป็นไปตามกฎหมายแล้ว โดยเห็นว่าการกระทำของนายทักษิณ นับแต่ที่ได้รับพระราชทาานอภัยโทษ มีการกระทำขัดแย้งต่อกฎหมายอันเป็นความผิดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้ความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ดำเนินคดีกับนายทักษิณต่อไป
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) บุกจับขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากจีน กว่า 15,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ขณะลำเลียงเข้าพื้นที่ภาคอีสาน เตรียมกระจายสู่ผู้บริโภค พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นำทีมตำรวจ CIB กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) สืบสวนจับกุมขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อน หลังได้รับเบาะแสว่าจะมีการลักลอบขนส่งเนื้อสุกรล็อตใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ไทย ผ่านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามพฤติการณ์กลุ่มคนร้ายริมแม่น้ำโขง พบใช้รถกระบะหลายคันขนส่งแบบกองทัพมด เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จนกระทั่งพบรถต้องสงสัย 3 คัน บนถนนหมายเลข 202 มุ่งหน้าจาก จ.ยโสธร เข้า จ.ร้อยเอ็ด จึงวางแผนสกัดจับ การจับกุมเป็นไปอย่างระทึก รถคันแรกเลี้ยวเข้าบ้านเช่าแห่งหนึ่งใน ต.หนองหิน อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด ส่วนอีก 2 คัน ถูกสกัดจับได้บริเวณหน้าบ้าน ตรวจสอบพบเนื้อพวงนมสุกรและเครื่องในไส้อ่อนสุกรจำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่ในรถทั้ง 3 คัน และในห้องเย็นภายในบ้านพัก จากการตรวจสอบพบว่า เนื้อสุกรดังกล่าวมาจากประเทศจีน คาดว่าลักลอบนำเข้าผ่านทางธรรมชาติจากประเทศลาว รวมของกลางทั้งหมด น้ำหนักกว่า 15,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 2,000,000 บาท เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า รับจ้างขนส่งสินค้าจากจุดนัดพบ ริมแม่น้ำโขงใน จ.มุกดาหาร โดยไม่ทราบว่าเป็นเนื้อสัตว์เถื่อน เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสรวง ดำเนินคดีตามกฎหมาย ฐาน ทำการเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์เข้ามาในเขตเฝ้าระวังโรคระบาด โดยไม่ได้รับอนุญาตช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่ตนรู้ว่าเป็นของซึ่งนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายนำซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวเตือนว่า การลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์จากต่างประเทศมีความผิดตามกฎหมาย เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคสัตว์ กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และอาจมีสารปนเปื้อนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค CIB จะดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาด ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อนได้ที่ กองบังคับการตำรวจทางหลวง สายด่วน 1193 หรือเพจเฟซบุ๊ก “กองบังคับการตำรวจทางหลวง”
เป็นการเตรียมความพร้อมในการให้บริการจดทะเบียนสมรสตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่รู้จักกันในนาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่จะมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (23 ม.ค.68) โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดสถานที่ให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมด้วยสีสันสดใสสายรุ้ง และการจดทะเบียนสมรสจะใช้หลักการเหมือนปกติทั่วไปที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เพิ่มเติมรายละเอียดของสิทธิต่าง ๆ ภายหลังจากการจดทะเบียนสมรส เช่น หากเป็นข้าราชการภายหลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะมีสิทธิการลา การเบิกค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้อบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงเน้นย้ำการใช้คำพูดต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนที่แตกต่างและมีความหลากหลาย “การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในวันพรุ่งนี้ (23 ม.ค. 68) ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะเป็นวันแรกที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ แต่หลังจากนี้ก็จะเหมือนการจดทะเบียนสมรสทั่วไป และทุกคนก็จะเหมือนกัน เท่าเทียมกัน” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
จากกรณีการก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ของ “โดนัล ทรัมป์” จะสร้างความตื่นตัวให้กับคนในประเทศขนาดไหน เจตนารมณ์อันแรงกล้าของทรัมป์จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับโลกอย่างไร นโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อคนทั่วโลกหรือไม่ The Publisher มีโอกาสได้พูดคุยกับ รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ถึงประเด็นนี้ ที่มาร่วมเปิดมุมมองทิศทางการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งนับว่าเข้มข้นไม่แพ้ประวัติศาสตร์ชาติอเมริกัน วันแรกของคำสั่งจาก “ทรัมป์” เขย่าโลกขนาดไหน “ถือเป็นการปลดล็อคแบบฉุกเฉินในคำสั่งเดิม ๆ ที่ทางทรัมป์มองว่าจะทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้ตามที่หาเสียงไว้ อย่าง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่พรมแดนทางตอนใต้ติดกับเม็กซิโก เมื่อประกาศแล้ว ทำให้เขาสามารถเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปประชิดชายแดนแล้วสั่งยุติการไหลเข้ามาด้วยนโยบายของโจ ไบเดน ทำให้ทรัมป์สามารถยืนยันกับผู้ที่ลงคะแนนว่าเขาได้ทำตามที่เขาหาเสียงไว้อย่างรวดเร็ว นับเป็นวิธีการของฝ่ายบริหารที่ใช้ ในการยกเลิกคำสั่งเดิม ซึ่งรวมแล้วก็น่าจะประมาณ 100 คำสั่งในวันแรก ๆ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากในสมัยของไบเดนออกคำสั่งในลักษณะนี้ ไม่มากในสัปดาห์แรกนะครับ ก็จะวันประมาณ 20 กว่าคำสั่งเท่านั้นเอง” รศ.ดร. ปณิธาน กล่าว เมื่อถามถึงท่าทีความตึงเครียดที่หลายคนคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นกับจีน แต่กลับเกิดบริเวณชายแดนแคนาดาเม็กซิโกก่อน ทาง รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวว่า “วานนี้ทางเม็กซิโกก็น่าจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเหมือนกัน เพื่อที่จะรองรับ สถานการณ์ที่แปรปรวน เพราะฉะนั้น จะเห็นชัดเจนว่ามีการจัดระเบียบชายแดนจัดระเบียบภายในประเทศ แล้วก็คงจะขยับไปจัดระเบียบในเรื่องการค้าและการต่างประเทศ หลังจากที่ฝ่ายบริหารชุดใหม่ได้เข้าไปเห็นตัวเลขที่ชัดเจนแล้วก็ปรับตัวเลข แต่ยังไม่ใช่กลัวตัวเลขเรื่องของภาษี 25% ที่จะต้องเพิ่มขึ้น ก็ออกมาบ้างแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ก็เป็นไปตามสุนทรพจน์ใน 3 กลุ่ม ในการพูดถึงเรื่องฝ่ายความมั่นคง ตามด้วยเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทางสังคม นโยบาย รวมถึงความหลากหลายต่าง ๆ ที่เขาจะยกเลิก ก็เป็น 3 ส่วน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานและแนวคิดที่ทรัมป์ต้องการจะให้อเมริกันกลับมาเข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง” Donald J. Trump Attends the Presidential Parade https://t.co/xath35WNXE— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) January 20, 2025 ส่อแวว “ทรัมป์” มีท่าทีผ่อนปรนกับ “จีน” รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า…
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาระบุว่า มีเงิน 6 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะเข้าสู่การเมือง และมีการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ขณะเป็นรมว.ต่างประเทศ สังกัดพรรคพลังธรรม โดยที่ยังไม่มีกฎหมายบังคับ รวมทั้งไม่ยอมรับว่า “โกง” ว่า ตนเคยเชื่อว่านายทักษิณจะรวยแล้วไม่โกง แต่หลังมีเรื่อง “บกพร่องโดยสุจริต” จากกรณีซุกหุ้นภาคแรก แม้จะชนะคดีในศาลรรัฐธรรมนูญไป 8 ต่อ 7 แต่ความจริงแล้วคะแนนต้องเป็น 7 ต่อ 4 เพราะมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงสี่คนเท่านั้นที่ชี้ว่านายทักษิณไม่จงใจซุกหุ้น ซึ่งรายงานของ คอป.ก็สรุปว่าสาเหตุที่บ้านเมืองวิกฤตมาจากสังคมสมยอม กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ทำให้นายทักษิณติดปีก รวย-โกง-ซุกหุ้น “การแสดงบัญชีทรัพย์สินในปี 37 ของนายทักษิณระบุมี 6 หมื่นล้าน แต่ในปี 40 กลับแจ้งบัญชีทรัพย์สินฯ กับป.ป.ช.เพียงแค่ 2 หมื่นล้านบาทเศษ ถามว่าทรัพย์สินหายไปไหน 4 หมื่นล้านในเวลาไม่ถึงสามปี และในการยื่นทรัพย์สินครั้งสุดท้ายก็มีเพียง 8,684 ล้านบาท ถ้าไม่โกหกทรัพย์สินหายไปไหน ทักษิณซุกหุ้นไว้กับแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ ถามว่าสุจริตหรือไม่ คำตอบคือทุจริต ซึ่งป.ป.ช.คงสอบย้อนหลังไปในอดีตไม่ได้แล้ว แต่ควรมีสอบทรัพย์สินของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เพราะไม่พบว่ามีอาชีพอะไร นอกจากได้สมบัติจากพ่อแม่จึงทำให้มีทรัพย์สินมากกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ทรัพย์สินเหล่านั้นได้มาโดยชอบหรือไม่ ร่ำรวยผิดปกติหรือเปล่า” นายสมชาย กล่าว อดีตสมาชิกวุฒิสภา ยังย้อนเหตุการณ์ช่วงการบริหารประเทศของนายทักษิณด้วยว่า มีการกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จทั้งสส.และสว.โดยมีเครือข่ายสว.หลายคนที่ไปเป็นรมต.ในรัฐบาลทักษิณ สว.ที่ทำงานให้นายทักษิณ พูดให้ตนฟังเองว่า มีระบบกลไกควบคุมเสียงได้ 80-120 คนมีการจ่ายเงินเป็นงวดหรือเป็นก้อน รวมทั้งการจ่ายเป็นหุ้น ปตท. สว.ที่เป็นอดีตยังเติร์กที่เสียชีวิตไปแล้ว เคยพูดกับเพื่อนทหารว่า เสียใจที่ทำผิดรับหุ้น ปตท.ได้กำไร 70 ล้านบาทจึงไปอยู่กับระบอบทักษิณ “นี่คือการซื้อสว. เมื่อซื้อสว.ได้ก็ควบคุมองค์กรอืสระได้ เพราะสว.เป็นผู้เลือกกรรมการในองค์กรอิสระ ขณะนั้นคือเผด็จการรัฐสภา คุมสส.และวุฒิสภา ทำให้เกิดการบิดเบี้ยว จนเกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้างชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณก่อนเกิดรัฐประหาร และมีการตั้ง คตส.ขึ้นมาตรวจสอบ…
นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือถึง นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้เร่งแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ซึ่งล่าช้ามาอย่างยาวนาน โดยนายวัชระ ระบุว่า โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก (ระดับตติยภูมิ) อาคาร คสล. 9 ชั้น ของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ใช้งบประมาณกว่า 523 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2559 แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมาเกือบ 10 ปี ก็ยังไม่สามารถสร้างแล้วเสร็จได้ ทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการเข้ารับการรักษาพยาบาล นายวัชระ กล่าวว่า ตนในฐานะอดีต สส. มีความเป็นห่วงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดำเนินการแก้ไข และขอให้ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สธ. ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามความคืบหน้าด้วยตัวเอง เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยปละละเลย อาจจะเกิดปัญหาซ้ำรอยเดิมอีก โดยขอให้ รมช.สธ.ชี้แจงผลการดำเนินการภายใน 7 วัน พร้อมกับเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข ดูแล อสม. และโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะโรงพยาบาลเกาะพงัน ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุทางการแพทย์ ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนในพื้นที่ และแสดงความกังวลว่า การก่อสร้างโรงพยาบาลที่ล่าช้า อาจเกิดจากปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอยากให้ รมช.สธ.ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง
เป็นข้อมูลที่นายสมศักด์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เปิดเผยในพิธีเปิดการประชุมวิชาการด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและวิทยาการผู้สูงวัย มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5 “The 5th Thailand Elderly Health Service Forum 2025” โดยมีผู้ลบริหารกระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการ ผู้แทนองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 1,000 คน โดยนายสมศักดิ์ระบุปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเกิดลดลง ขณะที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ที่ 21% ของประชากรรวม หรือประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งถือว่าเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete aged society) แล้ว ทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่พบในผู้สูงอายุไทย ประมาณ 7.5 ล้านคน โดยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 4.6 ล้านคน โรคเบาหวาน 2.1 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง 2.5 แสนคน โรคหัวใจและหลอดเลือด 1.9 แสนคน ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาและฟื้นฟูสูงมาก ขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น การมองเห็น สุขภาพช่องปาก การเคลื่อนไหว อุปสรรคในการทำกิจวัตรประจำวัน และปัญหาด้านความคิด ความจำ ส่งผลกระทบต่อตัวผู้สูงอายุ ครอบครัว สังคม และเศรษฐกิจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดปี 2573 จะมีความต้องการกำลังคนด้านสุขภาพดูแลผู้สูงอายุประมาณ 3.7 หมื่นคน ซึ่งปัจจุบันยังขาดอีกกว่า 1.4 หมื่นคน จึงต้องเตรียมพร้อมพัฒนาศักยภาพและการผลิตกำลังคนด้านสุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงวัยไทยได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ตามบริบทที่เหมาะสม คงศักยภาพได้นานที่สุด และอยู่ได้ทุกที่อย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีของไทย สื่อสารภาษาจีนผ่าน AI เพื่อสร้างความเข้าใจ และเชื่อมั่นในความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สื่อสารถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่าน ‘เทคโนโลยี AI’ ที่ช่วยแปลภาษาจากไทยเป็นจีน ซึ่งเมื่อดูจังหวะการขยับปากก็คล้ายกับพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เนื้อหาระบุว่า รัฐบาลเดินหน้ายกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ในการเดินทางเข้าประเทศไทย และพัฒนาระบบให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกท่าน พร้อมเชิญชวนพี่น้องชาวจีนเดินทางมาประเทศไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ที่จะมาถึงนี้และในโอกาสที่ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย การประชาสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังเกิดกระแสความไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยในหมู่ชาวจีน กรณีนักแสดงชาวจีน ซิงซิง ถูกหลอกโดยแก๊งคอลเซนเตอร์ข้ามฝั่งไปยังเมียนมา แม้สามารถช่วยเหลือกลับมาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวจีนบางส่วนยกเลิกทัวร์ ที่พัก และยกเลิกแผนการเดินทางมาเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีน
จิสด้าเผยข้อมูลดาวเทียมชี้ ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง! ปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล 40 จังหวัดวิกฤต เตือนประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช็คข้อมูลฝุ่นรายชั่วโมงผ่านแอปฯ “เช็คฝุ่น” ก่อนออกจากบ้าน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยวันนี้ พบค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีค่าฝุ่นอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ทุกพื้นที่จากการตรวจสอบข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” พบค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดที่เขตหนองแขม วัดได้ 104.3 ไมโครกรัม ขณะที่ภาพรวมของประเทศพบพื้นที่สีแดงมากถึง 40 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดการณ์ว่าสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในช่วง 3 ชั่วโมงข้างหน้า หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ยังคงมีค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีแดง ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและ AI วิเคราะห์ค่าฝุ่น PM2.5 แบบรายชั่วโมง ร่วมกับข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุนิยมวิทยา และแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อสถานการณ์ และขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่นอกอาคาร และติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 อย่างใกล้ชิด ผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android
ผมคนหนึ่งที่เปิดประเด็นเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชามติ สอบถามความเห็นของประชาชน เรื่องการจะสร้างบ่อนคาสิโนหรือไม่เป็นคนแรกๆ เพราะส่วนตัวเคยเป็น คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) การจัดเก็บรายได้ และภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมาย และมาตรการในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย การแพร่ระบาดของตู้เกมพนันไฟฟ้าและการพนันออนไลน์ สภาผู้แทนราษฎร มาก่อน ได้รับฟังข้อดีและข้อเสียของบ่อนคาสิโนของทั้ง2ฝ่าย และต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลน่ารับฟังทั้งสิ้น ทำให้ลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า ควรจะมีการสร้างบ่อนคาสิโนหรือไม่จึงขอเสนอให้รัฐบาลจัดทำประชามติ ถามความเห็นของประชาชนคนไทยทั้งประเทศดีกว่า เพื่อรองรับผลกระทบเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้คือ1. ไม่มีพรรคการเมืองใดชูนโยบายเปิดบ่อนคาสิโนในการหาเสียงประชาชนโดยตรง ทำให้ประชาชนไม่ได้พิจารณาเลือกนโยบายของพรรคการเมืองเลย2. ไม่ได้ระบุเรื่องการสร้างบ่อนคาสิโน ในคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มีเพียงนโยบายเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destination)เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้าสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลก3. การเปิดบ่อนคาสิโน เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต้องมีมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ4. การเปิดบ่อนคาสิโนมีผลกระทบทางสังคม และมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ต้องให้ประชาชนชั่งน้ำหนัก และเลือกระหว่างปัญหาสังคมกับรายได้ทางเศรษฐกิจ5. จะได้พิสูจน์คำกล่าวของนายทักษิณว่า เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีคาสิโน มีแต่เสียงส่วนน้อยที่คัดค้าน ทำตัวเป็นไอ้เข้ขวางคลอง จริงหรือไม่6. เพื่อยืนยันความคิดของนายทักษิณในสมัยพรรคไทยรักไทย ที่ต้องการสร้างบ่อนคาสิโนก่อนประเทศสิงคโปร์ ว่าถูกคัดค้านจากพวกมือถือสากปากถือศีล ถูกต้องหรือไม่7. ถ้านายทักษิณมั่นใจว่า นโยบายเปิดบ่อนคาสิโน จะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนแน่นอน ทำไมไม่กล้าทำประชามติ จะได้มีข้อยุติไม่ต้องถกเถียงกันต่อไปสำหรับการที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า การที่รัฐบาลเปิดบ่อนคาสิโนเป็นเรื่องที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงอยากให้เป็นไปตามกระบวนการทางประชาธิปไตย ไม่ฟังข้อเสนอให้ทำประชามติของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ถ้าหากต้องการให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยจริง ต้องยึดเสียงข้างมาก รัฐบาลต้องทำประชามติ ถามความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ถึงจะเป็นหลักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่มามัดมือชกกันแบบนี้
