- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศกล่าวถึงคำอ้างของศูนย์วิจัยการแพทย์รังสีวิทยาของรัสเซีย ที่ว่ารัสเซียได้พัฒนาวัคซีน mRNA ที่ออกแบบเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ไม่ใช่สำหรับป้องกัน และยังเป็นวัคซีนแบบเฉพาะบุคคลอีกด้วย ถือเป็นการพัฒนาแห่งศตวรรษ ขณะที่สถาบันวิจัยระบาดวิทยาและจุลชีววิทยาของรัสเซีย อ้างว่าวัคซีนชนิดนี้ว่ามีการทดลองทางคลินิก หรือวิจัยในมนุษย์แล้ว และแสดงให้เห็นว่าสามารถระงับการเติบโตของเนื้องอก และช่วยหยุดการแพร่กระจายได้ ด้วยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้จดจำ และโจมตีเซลล์มะเร็งอย่างตรงจุด ชะลอการเติบโตของเนื้องอก ป้องกันการเกิดซ้ำ หรือแม้กระทั่งกำจัดมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ โดยการเพิ่มการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย ทั้งนี้ทางการรัสเซียยังจะกระจายให้ประชาชนรัสเซียที่ป่วยเป็นมะเร็งโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายภายในปี 2568 ถึงจะมีต้นทุน 3 แสนรูเบิลหรือประมาณ 1 แสนบาทต่อวัคซีน 1 โดสก็ตาม โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีปูติน เผยว่ารัสเซียพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งได้เป็นผลสำเร็จแล้ว และอาจใช้กับผู้ป่วยเร็วๆนี้ ขณะที่หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ก็เร่งพัฒนาวัคซีนนี้เช่นกัน โดยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความเห็นเรื่องนี้กับ The Publisher ว่า วัคซีนเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษามะเร็ง สำหรับในประเทศไทยมีเพียงวัคซีนป้องกันเท่านั้น แต่ทีมแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กำลังพัฒนาวิจัยวัคซีนรักษามะเร็งปากมดลูก ซึ่งอยู่ในขั้นการทดลองเท่านั้น
การตรวจสอบปมชั้น 14 คุกทิพย์ งวดเข้ามาทุกขณะ หลัง ป.ป.ช.มีมติตั้งกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่เป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง 12 เจ้าหน้าที่รัฐ จากกรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลตำรวจ มีชื่อเสียงเรียงนามชัด ไล่ตั้งแต่รับตัวเข้าเรือนจำไปจนถึงส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจและอยู่ยาวถึง 181 วันว่ามีใครเข้าด้วยช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียวหรือไม่ ไม่เพียงแค่นั้นแพทยสภาก็เดินเครื่องเต็มสูบ ตั้งอนุกรรมการฯ สอบคำร้องเรื่องจริยธรรมแพทย์-พยาบาลที่เกี่ยวข้อง ซุ่มตรวจสอบข้อมูลกันนานกว่า 6 เดือนจนได้ข้อสรุป “มีมูล” นำไปสู่การส่งหนังสือถึงโรงพยาบาลตำรวจให้ต้องแจงข้อมูลแบบละเอียดยิบ ไม่พลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว ใครทำอะไรไว้อย่างไรกำลังจะถูกขุดออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะ The Publisher ได้รับข้อมูลว่า เมื่อเรื่องจวนตัวก็มีคนออกอาการ และมีคนบางกลุ่มคิดหาทางหนีทีไล่ ต้องการโยนบาปไปให้กับแพทย์ที่ไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัยว่า นายทักษิณอยู่ในอาการวิกฤตสลับปกติ จำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิต โดยนายแพทย์คนดังกล่าวถูกเรียกตัวมาผ่าหัวไหล่ 4 รู ให้นายทักษิณ จนเกิดเป็นภาพตอนที่เข็นตัวทักษิณเข้าผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมปีที่แล้ว สำหรับการผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ มีการเปิดเผยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ว่า…โรคนี้อาจเกิดจากบาดแผลออกกำลังกายรุนแรง เครียด หรือหกล้มการแก้ไขได้ 3 แบบ คือ 1) กินยารักษาตามอาการ 2) กายภาพบำบัดหรือฝังเข็มตามแพทย์แผนจีน 3) ผ่าตัด เจาะ 4 รู ส่องกล้องทางหัวไหล่ เพื่อแก้ไขอาการ ไม่ใช่โรคร้ายแรงอันตรายถึงแก่ชีวิต เป็นโรคปกติ ของนักกีฬาหรือผู้สูงอายุ ซึ่งคนไข้ต้องมีอาการสมบูรณ์พอควรไม่มีโรคแทรกซ้อนหรือภาวะเสี่ยงจึงผ่าตัดได้ หลังผ่าตัดจะใช้เวลาพักฟื้นไม่กี่วันโดยใส่ผ้าคล้องแขนไว้ สามารถรักษาตัวที่รพ.ราชทัณฑ์ได้ ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวในรพ.ตำรวจนานถึง 181 วัน ซึ่งหากเราย้อนไปดูคำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ระบุ อาการเจ็บป่วยของ “ทักษิณ” ไว้ว่ามีโรคประจำตัว 4 โรค ประกอบด้วยโรคกล้ามเนื้อขาดเลือด ซึ่งต้องรับประทานยาอยู่ตลอดเวลา ปอดอักเสบ เนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19 จึงทำให้เกิดพังผืดในปอด มีความผิดปกติของออกซิเจน ความดันโลหิตสูง ซึ่งมีความดันผิดปกติ ต้องรับประทานยาตลอดเวลา และกระดูกสันหลังเสื่อม เกิดจากภาวะเสื่อมตามอายุ เมื่อไปเช็กประวัติ พ.ต.อ. ชนะ จงโชคดี นายแพทย์…
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่าศาลในมณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ยืนยันคำสั่งลงโทษประหารชีวิต อวี๋หัวอิง หญิงชาวจีน ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานค้ามนุษย์และลักพาตัวเด็ก 17 ราย ระหว่างการพิจารณาคดีครั้งที่สองในวันพฤหัสบดี (19 ธ.ค.67)ที่ผ่านมา ในข้อหาลักพาตัวเด็กจากกุ้ยโจว ฉงชิ่ง และอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) พร้อมกับพรรคพวก ก่อนนำไปขายเพื่อหากำไรในเมืองหานตันของมณฑลเหอเป่ย ระหว่างปี 1993-2003 โดยศาลประชาชนชั้นกลางกุ้ยหยางตัดสินโทษประหารชีวิตอวี๋ เมื่อเดือนกันยายน 2023 ซึ่งอวี๋ได้ยื่นอุทธรณ์ทันที ต่อมาศาลประชาชนชั้นสูงมณฑลกุ้ยโจว พิจารณาคดีครั้งที่สองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 และสั่งให้พิจารณาคดีใหม่เดือนมกราคม 2024 หลังจากตำรวจพบว่าอวี๋มีส่วนพัวพันกับคดีค้ามนุษย์เด็กอีกหลายคดี จากที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีลักพาตัว 11 รายเพิ่มเป็น 17 ราย อวี๋จึงถูกตัดสินโทษประหารชีวิตอีกครั้ง และได้ยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง ในที่สุดศาลประชาชนชั้นสูงมณฑลกุ้ยโจว ปฏิเสธการยื่นอุทธรณ์ของเธอและยืนโทษประหารชีวิต โดยคำตัดสินดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังศาลประชาชนสูงสุดของจีนเพื่อพิจารณาและรออนุมัติ พร้อมกันนี้ อวี๋ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต และทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึด แฟ้มภาพซินหัว : อวี๋หัวอิง ระหว่างการพิจารณาคดี วันที่ 19 ธ.ค. 2567
การจัดลำดับความสำคัญในงานของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ที่ออกจากแปลกๆ ในสายตาของหลายฝ่ายอย่างที่เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้กับกรณีเหตุอุทกภัยใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ตรงกับที่ท่านนายกฯฯ พาครอบครัวไปประชุม ครม.สัญจร จังหวัดเชียงใหม่ หรือเคสน้ำท่วมภาคใต้ตอนบน นายกฯ ก็เลือกพาพ่อและครอบครัวไปประชุมพรรคเพื่อไทย ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธุ์ก่อน ล่าสุดวันนี้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เลือกลงพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม เพื่อตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำชี และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ที่ประตูน้ำห้วยน้ำเค็ม (D5) อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม และเปิดงานออนซอนกลองยาวชาววาปี ของดีพื้นบ้าน สืบสานตำนานเมืองวาปีปทุม 142 ปี ก็ถูกนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์นำมาพูดถึงและแนะให้จัดลำดับความสำคัญของปัญหา ที่จำเป็นต้องไปแก้ไขเร่งด่วน โดยยกตัวอย่างปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ตอนนี้เบาบางลงก็จริง แต่นายกฯ ผลัดวันประกันพรุ่ง บ่ายเบี่ยงลงพื้นที่ อ้างจะลงไปเพื่อฟื้นฟู เยียวยาภายหลัง ทำให้มีคำถามว่าเหตุที่ไม่ลงพื้นที่ ชายแดนใต้ เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย หรือกลัวคนในพื้นที่อารมณ์ค้างกับวีรกรรมของนายทักษิณ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี จึงลังเลที่จะลงพื้นที่ รวมถึงกรณีลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นายเทพไทมองว่าก็เป็นพื้นที่บ้านเกิดสามี และมั่นใจพื้นที่นี้ให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี เพราะผู้บริหารเทศบาลนครศรีธรรมราช เคยอยู่พรรคไทยรักไทยมาก่อน ถือเป็นคนกันเอง ครอบครัวเดียวกัน เสื้อแดงเหมือนกัน จึงให้การต้อนรับไปด้วยความเรียบร้อย นายเทพไทแนะให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ จัดลำดับความสำคัญของปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ถูกต้อง อย่าให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกทอดทิ้งและรัฐบาลเลือกปฏิบัติ พร้อมขอใช้สิทธิในฐานะคนใต้ ทวงถามถึงความรับผิดชอบของรัฐบาล ต่อการลงพื้นที่แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้แทนคนในพื้นที่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ทบทวนแผนการก่อสร้างโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ชี้มีข้อบกพร่องหลายประการ หวั่นทำลายระบบตลาดที่อยู่อาศัยและเอื้อประโยชน์ให้คนแสร้งจน โดยระบุในจดหมายว่า ที่ดินการรถไฟฯ บริเวณ กม.11 ที่จะนำมาใช้ในโครงการ มีมูลค่าสูงถึง 14,400 ล้านบาท ควรนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่า เช่น สร้างโรงพยาบาล หรือสถานที่ราชการ การนำมาสร้างบ้านราคาถูกจะทำให้ต้นทุนสูงเกินราคาขาย และการให้เช่า 99 ปี ก็เสมือนการให้เปล่า นอกจากนี้ ข้อมูลของ AREA ยังชี้ว่า ปัจจุบันมีบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เหลือขายอยู่จำนวนมากทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การสร้าง “บ้านเพื่อคนไทย” เพิ่มอีก 100,000 หน่วย จึงอาจไม่จำเป็น และการพุ่งเป้าไปที่คนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษาก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะคนกลุ่มนี้มักยังไม่คิดซื้อบ้าน และสะดวกเช่ามากกว่า ดร.โสภณ ยังชี้ว่า เม็ดเงินลงทุน 70,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ของโครงการนี้ น้อยเกินไปที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และมองว่ารัฐบาลควรส่งเสริมภาคเอกชนที่สร้างที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยได้ดีอยู่แล้ว มากกว่าจะลงมาแข่งขันเอง ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและรัฐได้รับภาษีมากกว่า และเป็นการทำลายระบบตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน อีกประเด็นที่น่ากังวล คือ กระบวนการคัดเลือกผู้ซื้อ ที่ดูเพียงว่าไม่เคยมีบ้านมาก่อน อาจเปิดช่องให้คนแสร้งจนมาจองซื้อ ควรพิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด และเงื่อนไขให้ขายต่อได้หลัง 5 ปี อาจเป็นการส่งเสริมให้ทำกำไร ควรให้ผู้มีรายได้น้อยอยู่จนกว่าจะมีฐานะดีขึ้น และคัดเลือกคนจนอื่นมาอยู่แทน ท้ายจดหมาย ดร.โสภณ ยืนยันว่า AREA มีข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ครบถ้วนและยาวนานที่สุดในประเทศไทย และยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่รัฐบาลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพื่อให้โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ
กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ เมื่อมีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งได้มาแชร์ภาพลงในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” เป็นภาพแซลมอนราคา 200 บาท และยำปูม้า ราคา 120 บาท พร้อมระบุข้อความ “คือแบบแซลมอน 200 ยำปูม้า120 สภาพ” สิ่งที่ชาวเน็ตได้เห็นคือภาพของแซลมอนน้อยชิ้น มาพร้อมกับเศษปูม้า โดยรวมแล้วทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่สมราคา” โดยเจ้าของโพสต์ได้บรรยายเรื่องราวประกอบภาพเอาไว้ด้วยว่า “#สรุปแล้วร้านแจ้งว่าร้านขายแบบนี้อยู่แล้วแซลมอนร้านบอกว่า จริง ๆ ต้องได้มากกว่าในรูป 1 ชิ้นแต่ทำตกหล่นไปชิ้นนึง ส่วนปูม้าร้านขายแบบนี้อยู่แล้วค่ะถ้านับเป็นชิ้นคือได้ห้าถึงหกชิ้น รวมก้ามปู ก็คือตัวหนึ่งนั่นแหละ น้อยมาก ๆ จะขอคืนให้50 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับเป็นเงิน 150 บาท แต่ไม่ได้รับไว้นะคะ ถ้าขายราคานี้จริง ๆ ก็อุดหนุนครั้งเดียวพอค่ะ” แน่นอนว่าสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายถึงปริมาณอาหารที่มันสวนทางกับราคาจนน่าตกใจ รวมถึงถามหาพิกัดร้าน เพื่อที่จะได้ไม่เผลอไปอุดหนุนให้เจ็บปวดใจ.ขอบคุณภาพ : จากกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภค ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
การเสียชีวิตของแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว ยังเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก เนื่องจากมีข้อสงสัยและปริศนามากมาย กระทั่งล่าสุดมีการจุดประเด็นท้าทายพนักงานสอบสวนชุดทำคดีอีกครั้งว่า “เป็นการฆาตกรรมอำพราง” ไม่ใช่ “ปัสสาวะท้ายเรือตกน้ำเสียชีวิต” จากทั้ง สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และความพยายามรื้อคดีใหม่จากนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม The Publisher ชวนทุกคนย้อนดูคดีแตงโม สรุปเหตุการณ์ 24 กุมภาพันธ์ 2565: แตงโม นิดา พลัดตกเรือสปีดโบ๊ทกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงใกล้เคียงสะพานพระราม 7 ขณะล่องเรือกับเพื่อนอีก 5 คน 26 กุมภาพันธ์ 2565: พบร่างแตงโม นิดา บริเวณใกล้เคียงท่าเรือพิบูลสงคราม 1 มีนาคม – เมษายน 2565: มีการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน โดยมีประเด็นที่เป็นที่สนใจของสังคมมากมาย เช่น บาดแผลบนร่างกายของแตงโม ข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนบนเรือ และผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ 21 มิถุนายน 2565: พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในข้อหาต่างๆกัน 21 กันยายน 2565 : แม่แตงโมขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี ไกล่เกลี่ยชดเชยเป็นเงินราว 9.2 ล้านบาท รวมการจ่ายเงินเดือนให้แม่แตงโม 3 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นเวลา 20 ปี ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ “ค่าชีวิตแตงโมมีเท่านี้หรือ? ” พฤษภาคม 2566: ศาลจังหวัดนนทบุรี มีคำพิพากษา ปอ ตนุภัทร: มีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และให้การช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ จำคุก 2 ปี 9 เดือน ปรับ 64,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี โรเบิร์ต ไพบูลย์: มีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่หยุดเรือและให้ความช่วยเหลือ และขับเรือโดยไม่มีใบอนุญาต จำคุก 1 ปี…
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ยื่นหนังสือถึง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เพื่อขอให้รื้อคดีการเสียชีวิตของแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ โดยอ้างว่ามีหลักฐานใหม่คือภาพบาดแผลที่ต้นขาด้านขวาของแตงโม ซึ่งนายอัจฉริยะ อ้างว่าศาลพิพากษาแล้วว่าเป็นแผลที่ถูกกรีด ไม่ใช่แผลจากใบพัดเรือ และเชื่อว่าบาดแผลอื่น ๆ บนร่างกายของแตงโม อาจถูกสร้างขึ้นภายหลัง ซึ่งได้ยื่นหลักฐานให้อัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และจะยื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการการกฎหมาย เพื่อขอให้ตรวจสอบการทำงานของตำรวจและอัยการ ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ นี่เป็นความพยายามครั้งล่าสุดของนายอัจฉริยะ ในการรื้อคดีการเสียชีวิตของแตงโม จึงต้องติดตามว่าหลักฐานใหม่ที่นายอัจฉริยะ นำเสนอจะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้คดีถูกพิจารณาใหม่หรือไม่ และการร้องเรียนของนายอัจฉริยะ เกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ จะนำไปสู่การสอบสวนเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ คดีการเสียชีวิตของแตงโม ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง การออกมาเคลื่อนไหวของนายอัจฉริยะในครั้งนี้ ยิ่งทำให้คดีนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ก็แสดงความเห็นในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ว่า บาดแผลที่ต้นขาของแตงโมไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ โดยอ้างอิงความเห็นจากพันเอก นายแพทย์ ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า โดยเชื่อว่าการเสียชีวิตของแตงโมเป็นการฆาตกรรมอำพราง พร้อมข้อสงสัย อาทิ ลักษณะบาดแผลที่ไม่ได้ถูกใบพัด เรื่องเจ็ทสกี 4 ลำ ที่ขี่นำเรือลำที่เกิดเหตุ ออกจากร้านอาหารบ้านตานิด สามโคก ปทุมธานี ,เรื่องที่ “แตงโม” ปัสสาวะในห้องน้ำร้านอาหารแล้วก่อนลงเรือ,เรื่องที่น่าสงสัยเกี่ยวกับจีพีเอส ของเรือที่ไม่ตรงตามสำนวนการสืบสวน สอบสวน ของตำรวจภูธรภาค 1,เรื่องเส้นทางการเดินเรือ การแล่นหักมุม การจอด รวมถึงเรื่องสัญญาณโซนาร์ของเรือลำที่เกิดเหตุ ถูกรบกวนจากฟองอากาศใต้น้ำ เพราะมีเรืออีก 1 ลำ ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยมีข้อมูลมาก่อน
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่รับคำร้องคดีชั้น 14 โดยให้เหตุผล 3 ประการ คือการใช้สิทธิเสรีภาพตามมาตรา 49 ต้องมีเหตุแห่งการล้มล้างการปกครองประกอบ ไม่สามารถใช้มาตรา 49 เป็นช่องทางฟ้องร้องทั่วไปในทุกกรณีที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ต้องมีข้อเท็จจริงเพียงพอให้เห็นว่าการกระทำนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าคำร้องไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 49 จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว นอกจากนี้คำร้องต้องมีพยานหลักฐานที่ตรวจสอบได้ประกอบคำร้อง ไม่สามารถใช้แค่ข้อมูลจากสื่อ หรือความรู้สึกส่วนตัว โดยควรมีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ช., คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ, แพทยสภา ฯลฯ ขณะที่สื่อมวลชนควรทำหน้าที่ตรวจสอบ ส่งเสริมความถูกต้อง ไม่ควรนำเสนอข่าวเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และควรติดตามการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จากเหตุผลทั้งหมดจึงเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชอบแล้ว เนื่องจากคำร้องขาดพยานหลักฐานที่ชัดเจน และไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 49 พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรม
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าบางกะม่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติกลุ่มป่าแก่งกระจาน เนื่องจากมีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งชนิดพันธุ์พืชและสัตว์หายาก โดยครั้งนี้เจ้าหน้าที่สำรวจพบ “กระโถนพระฤาษี” พรรณพืชหายากใกล้สูญพันธ์ของประเทศไทย จากการค้นคว้าและศึกษาข้อมูล พบว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนมกราคม จะเป็นช่วงที่ดอกบานมากที่สุด โดยมีแมลงวันเป็นตัวกระจายเกสร หลังจากดอกบานแล้วจะค่อย ๆ แห้งตายและส่งกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายศพ ทำให้ดึงดูดแมลงวันและแมลงชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการผสมเกสร ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบแล้งของชุมชนบ้านบางกะม่า ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรของชุมชนที่มีค่า มีการอนุรักษ์นกเงือกที่ช่วยกันดูแลรักษาให้คงอยู่ร่วมกันกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจันผืนป่ามรดกโลกทางธรรมชาติกลุ่มป่าแก่งกระจาน ทั้งนี้ ผลการศึกษาที่ให้แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีพืชชนิดพันธุ์หายากใกล้สูญพันธุ์ “กระโถนพระฤาษี” ไว้ว่าบริเวณที่พบพืชชนิดนี้สมควรได้รับการป้องกัน ควรมีกฎหมายห้ามเก็บและค้า นอกจากนี้ยังสมควรที่จะช่วยกันกระจายเกสรและเมล็ดไปยังแหล่งอาศัยในพื้นที่สภาพธรรมชาติ เนื่องจากพืชชนิดนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการนำมาเพาะเลี้ยง เนื่องจากเป็นพืชที่มีนิเวศวิทยาที่ซับซ้อน