Browsing: News

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จัดงานเสวนา “แผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)” ณ กระทรวงยุติธรรม โดยมี พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI เป็นประธาน การเสวนาครั้งนี้มีขึ้นเพื่อถอดบทเรียนจากกรณี STARK ซึ่งเป็นคดีฉ้อโกงในตลาดทุน สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท มีผู้เสียหายกว่า 4,700 ราย โดย DSI มุ่งหวังที่จะนำบทเรียนนี้ไปสู่การพัฒนามาตรการป้องกัน ปราบปราม และเยียวยาผู้เสียหายในคดีตลาดทุนในอนาคต พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี STARK โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี และผู้ทรงคุณวุฒิ คณะทำงานฯ ได้ศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำรายงาน โดยมีเนื้อหาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ ของกรณี STARK มาตรการป้องกัน ทั้งมาตรการที่มีอยู่เดิม และมาตรการที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การกำกับดูแลผู้เกี่ยวข้อง การจัดทำ red flag และการคุ้มครองผู้ให้เบาะแส (whistleblower) มาตรการปราบปราม มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการเยียวยา เช่น การติดตามทรัพย์สินคืนผู้เสียหาย และการจัดตั้งกองทุนเยียวยา งานเสวนาครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มผู้เสียหาย โดยมีการนำเสนอข้อมูล และรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุงรายงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไป ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

ทันทีที่กรมราชทัณฑ์ปล่อยตัว นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ต้องขังคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี หลังได้รับการพักโทษ โดยติดกำไลอีเอ็ม 3 ปี 5 เดือนจากต้องโทษจำคุก 48 ปี และได้รับพระราชทานอภัยโทษมาต่อเนื่อง โดยมีกำหนดพ้นโทษจริง 21 เมษายน 2571 ซึ่งเท่ากับจำคุกจริงเพียง 7 ปี สร้างความดีใจของเจ้าตัว ครอบครัวพี่น้องคนที่รัก รวมถึงผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงทางการเมือง แต่เรื่องนี้มีคำถามตัวโตๆ คาใจคนไทยอยู่เช่นกันว่า จบกันง่ายๆ แบบนี้ใช่ไหม กับผู้ต้องโทษคดีทุจริต แล้วความเสียหายของรัฐในคดีนี้ 2 หมื่นล้านบาท ที่ศาลสั่งให้จำเลยชดใช้นี่มีผู้กระทำความผิดชดใช้ทำอย่างไร คดีนี้ที่เรียกล้อกันว่าเป็นการระบายข้าวแบบจีทูเก๊ คือการทำสัญญาส่งออกข้าวไปขายยังต่างประเทศ กับบริษัทที่แอบอ้างว่าได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน หลีกเลี่ยงการประมูล ก่อนนำข้าวขายภายในประเทศ ไม่ได้ส่งออก ทำรัฐเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ทำลายระบบการค้าข้าวภายในประเทศ นอกจากนายบุญทรง ในฐานะ รมว.พาณิชย์ที่ต้องโทษจำคุกแล้ว ยังมีนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ในขณะนั้น นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี้ยง เครือข่ายบริษัทสยามอินดิก้า จำกัดและพวก ที่ถูกพิพากษาจำคุก พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย 16,912 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย เมื่อหัวขบวนนำถูกจำคุกมากที่สุดอย่างนายบุญทรงได้รับการพักโทษ หลังจำคุกจริง 7 ปีแล้วคดีของนายภูมิ ที่โทษจำคุก 36 ปี หรือเสี่ยเปี๋ยง 48 ปีและคนอื่นๆ จะได้รับการลดโทษ พักโทษ และพ้นจากคุกเร็วๆ นี้หรือไม่ ซึ่งดูจากรูปคดีแล้วไม่น่าจะแตกต่างกันเท่าไหร่ แล้วทั้งหมดได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐที่พวกตนกระทำไว้หรือยัง ต้องไปสู่กันอีกนานแค่ไหน หรือสุดท้ายไม่ต้องชดใช้ให้จบๆ กันไปแบบนี้ และต้องไม่ลืมว่าคดีของนายบุญทรง และนายภูมิ เป็นต้นทางนำไปสู่คำพิพากษาจำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากไม่ยับยั้งการระบายข้าวล็อตนี้ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่รู้ว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันหรือไม่ เพราะได้ยินพี่ชายของอดีตนายกฯ ท่านนี้และเป็นพ่อของนายกฯ ท่านปัจจุบันบอกว่า อาปู ยิ่งลักษณ์ ของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ จะกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบสวยๆ เดือนเมษายนปีหน้า…

Read More

ยังต้องติดตามใกล้ชิดกับชะตากรรมของ “การบินไทย“ หลังคลังผลักดันจนเพิ่มผู้บริหารแผนฯ 2 คน เข้าไปกุมเสียงข้างมากในผู้บริหารแผนฯ ได้สำเร็จ มีผลประโยชน์อะไรรออยู่ เหตุใดจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเป็นผู้บริหารแผนฯ ปัญหาเรื่องสถานะของกระทรวงการคลังยังคงเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิโหวตจริงหรือไม่ และมีผลกระทบแบบไหนที่กำลังรอการบินไทยอยู่ The Publisher ได้พูดคุยกับคุณศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้มาแต่ต้น เพื่อถอดรหัสความต้องการของกระทรวงการคลังและรัฐบาลในการเข้าไปมีอำนาจบริหารการบินไทยว่าทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ คุณศิริกัญญา ชวนให้ดูแผนบริหารของการบินไทยหลังเริ่มฟื้นฟูจนลืมตาอ้าปากได้ จากการอดทนอดกลั้น กลืนเลือด เสียสละของพนักงานการบินไทยว่า มีสิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อมีการแปลงหนี้เป็นทุน กระทรวงการคลังเตรียมจะซื้อหุ้นเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ราว 30 % เป็นกว่า 40 % ซึ่งจะทำให้มีอำนาจในการกำหนดบุคคลที่จะเข้าไปเป็นบอร์ดการบินไทย ชี้ขาดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างได้ และบังเอิญว่าการบินไทยก็มีแผนที่จะซื้อฝูงบินอีกราว 60 ลำ เป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท ประกอบกับสหรัฐเพิ่งประกาศให้ไทยบินตรงได้ ”เรื่องราวมันเหมือนแดจาวู ตัวละครเดิม ๆ กลับมา การบินตรงสหรัฐจะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังเคยทำแล้วไม่สำเร็จจากการซื้อเครื่องบิน A340 จนทำให้ขาดทุนไปหลายหมื่นล้านบาท ที่สหภาพแรงงานการบินไทยกังวลจนมองว่าอาจมีแร้งมารุมทึ้งการบินไทย ก็เป็นเรื่องเขาตั้งข้อสังเกตได้ เพราะเหตุการณ์เดิม ๆ ที่การเมืองแทรกแซงจนทำให้การบินไทยเสียหายกำลังกลับมาอีกครั้ง กระทรวงการคลัง รัฐบาลควรมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ว่า พยายามเข้าไปมีอำนาจบริหารในการบินไทยเพื่ออะไร“ คุณศิริกัญญา ชวนให้ติดตามการซื้อหุ้นในวันที่ 6-12 ธันวาคมนี้ หากพบว่ากระทรวงการคลังเพิ่มจำนวนการซื้อหุ้นตามที่มีการประกาศไว้จริง ก็จะต้องใช้เงินกว่าสองหมื่นล้าน ถามว่าเอาเงินมาจากไหน เพราะการจัดสรรงบประมาณปี 2568 จบไปแล้ว จะขายหุ้นจากกองทุนวายุภักดิ์มาซื้อหุ้นการบินไทยหรือไม่ และเมื่อเกิดภาพการเมืองเข้าไปมอีอำนาจบริหารในการบินไทยได้ แม้จะไม่ได้มีหุ้นเกิน 50 % จนทำให้การบินไทยกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ก็เพียงพอที่จะตัดสินใจทั้งเรื่องการวางตัวผู้บริหาร การจัดซื้อจัดจ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่น จนกระทบต่อการฟื้นตัวของการบินไทยหรือไม่ ”การแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองจะส่งผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง เพราะอาจมีผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ความสามารถเข้าไปอีกเหมือนในอดีต การบินไทยฟื้นตัวถ้าเปรียบเป็นเรือก็ใกล้ฝั่งแล้ว อีกนิดเดียวก็ทอดสมอ ถ้าต้องล่มปลายทางเพราะเหตุการณ์นี้รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้“ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยังหวังว่าศาลล้มละลายกลางจะตัดสินไม่รับรองผลการประชุมของเจ้าหนี้การบินไทยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาทั้ง 3 วาระ ซึ่งก็รวมเรื่องการเพิ่ม 2 ผู้บริหารแผนฯ จากภาครัฐด้วย เนื่องจากสถานะของกระทรวงการคลังในทางปฏิบัติถือว่าไม่ได้เป็นเจ้าหนี้แล้ว เนื่องจากมีการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนไปแล้ว 100 % เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่กลับมีหนังสือจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือ สบน.ไปถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ชะลอการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นไปหลังวันที่ 29…

Read More

คำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว. แนะนักการเมืองไทยศึกษาข้อมูล ก่อนกล่าวอ้างว่ากัมพูชาไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด ชี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์หลายกรณีที่ยืนยันว่า กัมพูชาเคยพยายามอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดจริง อาทิ บทความของ ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กัมพูชาเคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดโดยอาศัย “เส้นประ” ในแผนผังของหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ซึ่งเป็นเรื่องของการปักปันเขตแดนทางบก มาตีความเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเล นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์จริงอีกหลายกรณีที่ยืนยันว่า กัมพูชาเคยพยายามอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด เช่น ปี 2539: หนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา ตีพิมพ์บทความบิดเบือนว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา ก่อนปี 2544: เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชากล่าวอ้างว่า อย่างน้อยกึ่งหนึ่งของเกาะกูดเป็นของกัมพูชา ปี 2544-2548: ระหว่างการเจรจาภายใต้ MOU 2544 เจ้าหน้าที่กัมพูชายังคงแสดงความเห็นในลักษณะที่อ้างสิทธิเหนือเกาะกูด ปี 2567: เพจข่าวพนมเปญโพสต์ ลงข่าวโดยใช้คำบรรยายภาพว่า “เกาะกูดเป็นเกาะที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างอ้างสิทธิ” “4 กรณี 4 ช่วงระยะเวลา ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าจากอดีตถึงปัจจุบัน ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สื่อ และประชาชนกัมพูชาทั่วไป ยังคงเชื่อว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาไม่ทั้งหมดก็อย่างน้อยกึ่งหนึ่งนักการเมืองไทยอย่าทะลึ่งไปออกตัวแทนว่ากัมพูชาไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดก็แล้วกัน” คำนูณ ยังเรียกร้องให้นักการเมืองไทย ศึกษาข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้รอบด้านก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ติดตามอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เกาะกูด #พื้นที่ทับซ้อน #พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล #ไทยกัมพูชา #รัฐบาลแพทองธาร #MOU2544 ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

สภาพัฒน์ เปิดเผยผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 พบว่า ครัวเรือนไทยก่อหนี้นอกระบบสูงถึง 6.7 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่ (47.5%) ก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของครัวเรือนอย่างชัดเจน แม้จะรู้ว่าดอกเบี้ยสูงลิ่วถึง 20% ต่อเดือน หรือ 240% ต่อปี ก็ตาม ผลกระทบ ที่ตามมาคือ ลูกหนี้จำนวนมากต้อง ผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพื่อรักษาวงเงินบัตรเครดิตไว้ใช้จ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าครัวเรือนเหล่านี้ยังไม่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และกำลังจะกลายเป็น “หนี้เสีย” ในอนาคต รัฐบาล ได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เช่น การเปิดให้ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และการไกล่เกลี่ยหนี้ แต่ มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสิ่งที่จำเป็น คือ มาตรการระยะยาว ที่มุ่งเน้นการ “เสริมสร้างศักยภาพ” ให้กับลูกหนี้นอกระบบ เช่น◾ พัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้◾ ส่งเสริมการออม เพื่อลดรายจ่าย◾ ขยายโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อประกอบอาชีพ◾ ควบคุมการปล่อยกู้นอกระบบ อย่างเข้มงวด◾ ให้ความรู้ทางการเงินเพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงของหนี้นอกระบบเป้าหมายสำคัญ คือ การเปลี่ยนสถานะจาก “การเป็นหนี้” ไปสู่ “การมีศักยภาพชำระหนี้” และ “หมดหนี้” ในที่สุด เพื่อให้คนตัวเล็กสามารถหลุดพ้นจาก “วังวนหนี้นอกระบบ” และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่อยู่ในภาวะ “รอล้มละลาย” เหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้ และแน่นอนว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่การแจกแหลกเช่นเดียวกัน

Read More

เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ต หลังมีการเผยแพร่ภาพของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับการประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนอกจากความเหมาะสมเรื่องสถานที่ที่ถึงจะเป็นการนัดประชุมสัญจรล่วงหน้า แต่เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้หนักหนาสาหัส ชาวเน็ตบอกก็ควรพิจารณาเรื่องการประชุม เช่นย้ายสถานที่ หรือยกเลิกประชุมเพื่อลงพื้นที่ดูแลประชาชนให้ทันท่วงที แต่กลับปล่อยให้กำหนดการดำเนินต่อไป ทำให้ถูกมองว่าไม่ใส่ใจในปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีคนวิจารณ์เพิ่มขึ้นอีก เมื่อมีภาพที่ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร พาสามีและลูกๆ ไปร่วมบรรยากาศ ครม.สัญจร และชอปปิ้งในบูทที่จัดไว้ต้อนรับรัฐมนตรี และคณะอีกด้วย จนชาวเน็ตมองถึงเรื่องความเหมาะสมอีกครั้ง หลังจากที่ “อุ๊งอิ๊งค์” เคยพาลูกวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าก่อนหน้านี้.

Read More

หลังลงพื้นที่ไปช่วย นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดนายทักษิณ ชินวัตร ที่ประกาศ “สทร.หรือเสือกทุกเรื่อง” มีกำหนดการเดินทางไป จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 11 ธันวาคม โดยพรรคเพื่อไทยส่งนายกานต์ กัลป์ตินันท์ อดีตนายก อบจ.อุบลราชธานี ลงสมัครอีกสมัย แต่จะไม่มีการปราศรัยใหญ่เหมือนที่อุดรธานี โดยจะเดินทางไปพบปะและเยี่ยมเยียนแกนนำเขตเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของ จ.อุบลฯ ที่บ้านพักของนายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี เขต 1 พรรคเพื่อไทย เท่านั้น จากนั้นลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด ในวันที่ 23 ธันวาคม เพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ของพรรคเพื่อไทยหาเสียง และปิดท้ายช่วงปลายเดือนธันวาคม ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียงที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นคิวแน่น ๆ ทางการเมืองส่งท้ายปีของนายทักษิณทุ่มสุดตัวกับสนามเลือกตั้งนายกอบจ. ซึ่งกกต.กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ.ปีหน้า. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เพื่อไทย #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #สทร

Read More

พริษฐ์ วัชรสินธุ (ไอติม) โฆษกพรรคประชาชน โต้กลับ นิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา หลังถูกกล่าวหาเป็นต้นเหตุทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าช้า ยืนยันไม่ได้ขัดขวางกระบวนการใดๆ พร้อมแจงไทม์ไลน์ละเอียดยิบ ชี้ชัดความล่าช้าเกิดจากรัฐบาล จากกรณีที่คุณนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย” โดยกล่าวหาว่าเขา มีส่วนทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าช้า ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กชี้แจง 2 ประเด็นหลัก โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้รัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้า พร้อมระบุไทม์ไลน์การทำงานของรัฐบาลที่ทำให้เกิดความล่าช้า ดังนี้ ◾ ช่วง 3 เดือนแรก (ต.ค. – ธ.ค. 66) รัฐบาลตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติโดยไม่จำเป็น ทำให้เสียเวลาไป 3 เดือน◾ ช่วง 4 เดือนถัดมา (ม.ค. – เม.ย. 67) รัฐสภามีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งเป็นข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคก้าวไกล◾ พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ตั้งแต่ ก.พ. 67 แต่ ครม. กลับเพิ่งเสนอร่างของตัวเองในเดือน มิ.ย. 67 ทำให้เสียเวลาไปหลายเดือน “พริษฐ์” ยอมรับว่าความพยายามผลักดันประชามติ 2 ครั้งอาจไม่สำเร็จ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำให้กระบวนการล่าช้ากว่าเดิม หากเดินหน้าตามแผนเดิม (ประชามติ 3 ครั้ง) พ.ร.บ. ประชามติ อาจถูกชะลอไป 6 เดือน ทำให้ประชามติครั้งแรกเกิดขึ้นไม่ทันปลายปี 2568 หากผลักดันประชามติ 2 ครั้งสำเร็จ จะประหยัดเวลาได้ 1 ปี แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่ได้เสียเวลาเพิ่มเขาย้ำว่า การวิพากษ์วิจารณ์ควรอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และยืนยันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด ตามที่เคยเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาล

Read More

ตำรวจสืบสวนนครบาลรวบตัวนายวิรัช หรือตอง อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาลวงเด็กหญิงวัย 13 ปี ไปล่วงละเมิดทางเพศกว่า 7 วัน 7 คืน หลังก่อเหตุหลบหนีไปทำงานริมทะเลในจังหวัดระยอง อ้างไม่รู้ว่าเหยื่ออายุแค่ 13 แถมยังกล่าวหาว่าติดโรคหนองในจากเหยื่อ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากแม่ของเด็กหญิงวัย 13 ปี เข้าร้องเรียนว่าลูกสาวหายตัวไปนานกว่า 7 วัน ก่อนพบตัวถูกนายวิรัชล่อลวงไปข่มขืน โดยนายวิรัชรู้จักกับเด็กหญิงผ่านทางเฟซบุ๊ก ก่อนชักชวนไปเที่ยวแล้วพาไปก่อเหตุที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับเพื่อนอีก 1 คน จากนั้นนายวิรัชได้พาเด็กหญิงไปกักขังไว้ที่บ้านพักในจังหวัดชลบุรี และข่มขืนซ้ำอีกเป็นเวลา 7 วัน หลังเกิดเหตุนายวิรัชได้หลบหนีไป ตำรวจสืบสวนนครบาลจึงแกะรอยติดตามตัว จนพบว่านายวิรัชหลบหนีไปทำงานอยู่ริมทะเลในอำเภอเมืองระยอง จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวได้ในที่สุด จากการสอบสวนนายวิรัชให้การรับสารภาพ แต่ อ้างว่าไม่รู้ว่าเด็กหญิงอายุเพียง 13 ปี คิดว่าอายุ 17-18 ปี และอ้างว่าตนเองติดโรคหนองในจากเด็กหญิงด้วย อย่างไรก็ตามตำรวจจะได้ดำเนินคดีกับนายวิรัชตามกฎหมายต่อไปพล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจพ่อแม่ผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภัยร้ายในโลกโซเชียล และหากพบเบาะแสการล่วงละเมิดเด็ก สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่เพจ สืบนครบาล IDMB ตลอด 24 ชั่วโมง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายวิรัชพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

การเปิดตัวสลาก N3 หรือสลากตัวเลขสามหลัก สร้างความฮือฮาในสังคมไทย ด้วยข้ออ้างของรัฐบาลว่า จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาหวยใต้ดิน อย่างไรก็ตาม ผลการจำหน่ายงวดแรกๆ กลับไม่เป็นไปตามคาด ยอดขายสลาก N3 งวดที่สองลดลงอย่างน่าใจหาย แม้กระทั่งสลากดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังก็ขายไม่หมดเป็นครั้งแรก สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังนโยบายนี้ จุดอ่อนที่อาจทำให้ N3 ไม่ใช่คำตอบ คือแรงจูงใจไม่เพียงพอ ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้ว่ารางวัลของสลาก N3 อาจไม่จูงใจ และยังขาดกลไกที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ เช่น การจ่ายเงินแบบงวดชนงวด ซึ่งหวยใต้ดินมีข้อได้เปรียบในจุดนี้ นอกจากนี้เศรษฐกิจซบเซาโดยเฉพาะผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน ทำให้หวย ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ได้รับผลกระทบไปด้วย ยิ่งได้จำหน่ายไปยิ่งชัดเจนว่าไม่สามารถแก้ปัญหาหวยใต้ดินได้ ซึ่ง ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน เคยเตือนไว้ตั้งแต่มีแนวคิดจะออกสลาก N3 แล้วว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาหวยใต้ดินได้ เพราะเจ้ามือหวยใต้ดินมีวิธีปรับตัว เช่น การขายหวยรัฐและหวยใต้ดินควบคู่กันไป หรือการออกแบบหวยใต้ดินรูปแบบใหม่ที่อ้างอิงผลสลาก N3 ขณะที่สลาก N3 มีจุดอ่อนของระบบจ่ายรางวัล แบบแปรผัน ทำให้ผู้เล่นไม่ทราบจำนวนเงินรางวัลที่แน่นอน ซึ่งต่างจากหวยใต้ดินที่กำหนดเงินรางวัลไว้ชัดเจน มีส่วนลดให้ด้วย ทำให้ N3 ขาดเสน่ห์ดึงดูดใจผู้เล่น และสุดท้ายกำลังจะจบลงที่การยกเลิกจำหน่ายสลาก N3 แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่พูดถึงเลยคือ ผลกระทบที่อาจตามมาในทางสังคม ที่เคยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า การออกสลาก N3 อาจเป็นการเพิ่มช่องทางการพนัน ทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการพนันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการพนันได้ง่าย อาจนำมาซึ่งปัญหาสังคม เช่น หนี้สิน ความรุนแรงในครอบครัว และอาชญากรรม มีการทำวิจัยดูข้อมูลเชิงลึกหรือไม่ว่าผลจากการออกสลาก N3 ที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่คาดหวังไว้ แต่ทิ้งบาดแผลอะไรไว้ให้กับสังคมด้วยหรือไม่ ที่สำคัญมีใครต้องรับผิดชอบกับนโยบายที่คิดไม่ครบกำลังจะจบที่การยกเลิก เพราะแก้หวยใต้ดินไม่ได้ด้วยหรือไม่ รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรในการปราบปรามหวยใต้ดิน ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากกินแบ่งรัฐบาลให้มีความน่าสนใจ โดยต้องไม่ลืมที่จะจำกัดการเข้าถึง ควบคุมการเข้าถึงการพนัน ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ที่ต้องทำควบคูไปกับการส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับโทษภัยของการพนัน และส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เพื่อลดผลกระทบทางสังคมจากการพนัน ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More