- Urban Culture
- Original
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Good
- Editir pick
- Home
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- People Voice
- Home
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
หมอบุญ วนาสิน อดีตประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้ซึ่งเคยเป็นที่เคารพนับถือในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กลับตกเป็นข่าวอื้อฉาวในคดีฉ้อโกงประชาชน หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ สร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาล คดีนี้สะท้อนให้เห็น “จุดบอด” สำคัญในสังคมไทย นั่นคือ ความเชื่อที่ว่า “เรียนสูง ร่ำรวย = คนดี” ความเป็นมาของคดี◾ ต้นปี 2566: หมอบุญเริ่มชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนใน 5 โครงการ โดยอ้างผลตอบแทนสูงลิ่ว◾ ธันวาคม 2566 – ตุลาคม 2567: ผู้เสียหายกว่า 500 รายเข้าแจ้งความ มูลค่าความเสียหายกว่า 7,500 ล้านบาท◾ พฤศจิกายน 2567: ศาลอาญาออกหมายจับหมอบุญ พร้อมพวกรวม 9 ราย ในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน◾ ความเสียหาย: คาดว่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาท ความคืบหน้าทางคดี◾ หมอบุญหลบหนีคดีไปต่างประเทศ◾ อดีตภรรยาและลูกสาวนอนคุก ศาลนัดไต่สวน 28 พ.ย.67◾ ตำรวจออกหมายแดง ขอความร่วมมือตำรวจสากลติดตามจับกุม◾ DSI และตำรวจสอบสวนกลางเร่งรวบรวมหลักฐานและสอบปากคำผู้เสียหาย◾ THG ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของหมอบุญ และพิจารณาคุณสมบัติภรรยาและลูกสาวของหมอบุญที่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท บทเรียนจากคดีหมอบุญ◾ อย่าหลงเชื่อผลตอบแทนสูงเกินจริง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนสูงมักมาพร้อมความเสี่ยงสูง◾ ตรวจสอบข้อมูลก่อนลงทุน: ศึกษาข้อมูลโครงการ ผู้บริหาร และประวัติการดำเนินธุรกิจอย่างละเอียด◾ กระจายความเสี่ยง: อย่าลงทุนเงินทั้งหมดในโครงการเดียว◾ ระวังการชักชวนแบบปากต่อปาก: อย่าตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะคำบอกเล่าจากคนรู้จัก◾ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนการป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวง◾ ศึกษาความรู้ด้านการลงทุน: ทำความเข้าใจหลักการลงทุน ประเภทของการลงทุน และความเสี่ยงต่างๆ◾ ติดตามข่าวสาร: อัพเดทข่าวสารการลงทุน กลโกง และคดีฉ้อโกงต่างๆ◾ ลงทุนในแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ: เลือกใช้บริการจากบริษัทที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง เรียนสูง ร่ำรวย แต่โกง: จุดบอดสังคมไทยคดีหมอบุญ กระตุกให้สังคมไทยตั้งคำถามกับค่านิยมที่ฝังรากลึก ที่มักเชื่อมโยง “ความสำเร็จ” กับ “คุณงามความดี” โดยอัตโนมัติ…
หลังสถานการณ์แพร่ระบาดรุนแรงของปลาหมอคางดำช่วงกลางปีที่ผ่านมาทำให้เกิดการตื่นตัวจากทุกฝ่าย จนถึงขั้นรัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติแต่มาตรการต่าง ๆ ก็เงียบหายไป จนเกิดคำถาม “วาระแห่งชาติ ชาติไหน” ล่าสุดเกิดสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลจาก วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ มูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย บอกกับ The Publisher ว่า มีความน่ากังวลว่าจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสงขลาและภาคใต้หลายจังหวัดรวมทั้งนครศรีธรรมราชด้วย จะทำให้ปลาหมอคางดำซึ่งมันอยู่ในคลองอยู่ในตอนนี้กับพวก บ่อกุ้งก็จะไหลไปรวมน้ำในทะเลสาบเลยไปสู่ต้นน้ำด้วย คาดการณ์กันว่า การระบาดจะเพิ่มขึ้นหลังน้ำท่วม “การระบาดของปลาหมอคางดำไม่เคยหมดหรือลดน้อยลง เช่นที่จันทบุรีก็ไม่ลดลงนะครับ อย่างที่อ่าวกุ้งกระเบน ตอนนี้ก็ยังเจอปลาหมอคางดำ เต็มไปหมดเลยครับ หลังสถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลยครับ แล้วก็เราดูที่บางขุนเทียน นะครับ แถวราชดำเนินก็มีนะครับ ยังพกปลาหมอคางดำหนาแน่นเหมือนเดิมครับ ไม่ลดลงเลยครับ มาตรการของรัฐทำแบบอีเวนต์แล้วหายไปแล้วไอ้ตัวปลาที่มันเหลืออยู่จำนวนมากเนี่ยมันก็จะระบาด ภายในเดือนเดียวครับมันก็จะระบาดเท่าเดิมนะครับ จะทำจริงต้องทำต่อเนื่องเลยปูพรมทำยาวนานมากกว่านี้ โดยต้องตั้งงบฯ สูงกว่านี้อาจต้องใช้ถึง 500 ล้านบาทต่อปี เพื่อจัดการปัญหาอย่างจริงจังต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี” คุณวิฑูรย์ บอกด้วยว่า การปล่อยปลากระพงไปกินปลาหมอคางดำไม่ได้ผลเนื่องจากตัวเล็กเกินไปน ลงน้ำก็ถูกปลาหมอคางดำตัวใหญ่กินหมด อีกทั้งยังขาดการระดมความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้องค์กรชาวบ้านในพื้นที่เป็นแกนหลักในการจัดการ โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณและช่วยประเมินผล ซึ่งรัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณดดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง “นายกรัฐมนตรีควรเข้ามาดูแลปัญหา และสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันด้วยตัวเอง เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้สุดท้ายความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลสาบสงขลาถูกทำลาย อีกทั้งมีโอกาสที่ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา จนเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้” คุณวิฑูรย์ คาดการณ์ว่าจำนวนปลาหมอคางดำที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติขณะนี้ มีไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้าน ตัว ที่อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมากกว่า ที่เราพบเมื่อตอนปี 60 ขณะนั้นมีประเมินสำหรับมีสัก 20 ล้าน แต่ตอนนี้มันเพิ่มกลืนเป็น 10 เท่าแล้ว เพราะฉะนั้นการจัดการ ต้องทำจริงจังกว่าที่เคยจัดการจึงจะแก้ปัญหาได้ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนตุลาคม 2567 โดยรวมมีสัญญาณบวกจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง ภาคท่องเที่ยวคึกคักต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้การบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ส่งออกโตแรง มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมพุ่ง 14.6% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักรกล ขณะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างอินโดจีน สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และจีน ขยายตัวโดดเด่น นอกจากนี้การท่องเที่ยวถือว่าคึกคัก นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 2.68 ล้านคน โต 21.9% โดยนักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ยังคงเป็นกลุ่มหลัก และบริโภคฟื้นตัว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น รับอานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคท่องเที่ยว และราคาสินค้าเกษตรส่วนการลงทุนขยายตัว พบว่าการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น สะท้อนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องจักรที่ขยายตัว ขณะที่การก่อสร้างยังทรงตัว ขณะที่เงินเฟ้อต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.83% หนี้สาธารณะอยู่ที่ 63.3% ต่อ GDP และทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงสูง สำหรับจุดที่ต้องจับตาคือ การฟื้นตัวของการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ที่ยังอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนัก สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ตลอดจนผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และแม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2567 จะมีสัญญาณบวก แต่ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กำลังจะมีข่าวดี เมื่อ “หมูตุ๋น” หนุ่มฮิปโปแคระสุดหล่อ เตรียมสละโสดคว้า “หมูมะนาว” สาวสวยจากสวนสัตว์นครราชสีมา เข้าพิธีวิวาห์หวานชื่น นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เผยว่า “หมูมะนาว” ถูกเลือกให้เป็นคู่ของ “หมูตุ๋น” หลังจากทีมงานได้เดินทางไปสำรวจฮิปโปแคระเพศเมียจากสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วประเทศ โดย “หมูมะนาว” มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งรูปร่าง หน้าตา และสุขภาพแข็งแรง เหมาะสมที่จะเป็นแม่พันธุ์ของ “ฮิปโปจิ๋ว” รุ่นต่อไป “หมูตุ๋น” เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 เป็นลูกชายของ “โทนี่” และ “โจน่า” ฮิปโปแคระคู่ขวัญประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ส่วน “หมูมะนาว” เป็นสาวสายพันธุ์เยอรมัน ซึ่งแตกต่างจาก “หมูตุ๋น” ที่เป็นสายพันธุ์สิงคโปร์ ทางสวนสัตว์จึงเตรียมเนรมิตเรือนหอสุดหรู พร้อมตกแต่งบรรยากาศให้โรแมนติก เพื่อให้ทั้งคู่ปรับตัวเข้าหากันได้ง่าย และมี “ฮิปโปจิ๋ว” ตัวน้อยในเร็ววันฮิปโปแคระ: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กินพืช ตัวเล็กน่ารัก สูงไม่เกิน 1 เมตร หนักประมาณ 180-275 กิโลกรัม มีสีผิวเขียวเข้มหรือน้ำตาลเข้ม ชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว ขี้อาย แต่ดมกลิ่นเก่งมาก อาหารโปรดคือ ผัก ผลไม้ และดินโป่ง งานวิวาห์ของ “หมูตุ๋น” และ “หมูมะนาว” จะยิ่งใหญ่แค่ไหน? “ฮิปโปจิ๋ว” รุ่นต่อไป จะน่ารักขนาดไหน? จะเกิดซุปตาร์ดวงใหม่ประกายแสงแข่งกับ “หมูเด้ง” หรือไม่ ต้องติดตาม! และร่วมลุ้นไปกับภารกิจรักครั้งนี้ ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
วันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.67) การบินไทยจะจัดประชุมเจ้าหนี้ 29 พ.ย. เพื่อพิจารณาแก้ไขแผนฟื้นฟู โดยมีประเด็นสำคัญคือ การเพิ่มผู้บริหารแผนจากกระทรวงการคลัง 2 คนคือนายปัญญา ชูพานิช จากกระทรวงคมนาคม และ นายพลจักร นิ่มวัฒนา จากกระทรวงการคลัง ทำให้ผู้บริหารแผนเพิ่มเป็น 5 คน จากเดิมมีสามคน คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และนายพรชัย ฐีระเวช ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของรัฐบาลเพิ่มเป็นสามคนจากทั้งหมด 5 คน จนหลายฝ่ายเกิดอาการผวาว่า รัฐจะเข้าไปกุมเสียงข้างมากในการบริหารนำไปสู่การเมืองเข้าแทรกแซงการบินไทยจนอาจทำให้เกิดวิกฤตอีกรอบ The Publisher มัดรวมสรุปประเด็นจากมุมมองของหลายฝ่ายเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อให้ได้พิจารณากันทุกมิติ เพิ่มผู้บริหารแผนฯ ดีหรือร้าย? กระทรวงการคลัง เสนอเพิ่มผู้บริหารแผนจากภาครัฐอีก 2 คน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐ และสนับสนุนการฟื้นฟู แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า อาจทำให้การตัดสินใจล่าช้า และเปิดช่องให้การเมืองแทรกแซง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการทุจริต และการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต “ปิยสวัสดิ์” มอง 2 มุม “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์” ประธานผู้บริหารแผน ยอมรับว่า การเพิ่มผู้บริหารแผน อาจทำให้การทำงานช้าลง แต่ก็มองว่า การมีผู้แทนจากภาครัฐ อาจเป็นประโยชน์ในแง่การเชื่อมโยง และการเข้าถึงนโยบาย ขายหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท การบินไทย ประกาศขายหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท ให้ผู้ถือหุ้นเดิม พนักงาน และบุคคลในวงจำกัด มูลค่ารวม 4.4 หมื่นล้านบาท ระหว่างวันที่ 6-12 ธ.ค. นี้ คาดกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไตรมาส 2/68 “ปิยสวัสดิ์” คาดว่า การบินไทยจะปรับโครงสร้างทุนสำเร็จในปีนี้ และกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ภายในไตรมาส 2/68 เปิดแผนชิงส่วนแบ่งตลาด “ชาย เอี่ยมศิริ” ประธานผู้บริหารแผน เผยว่า การบินไทย ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 35%…
วงการบันเทิงไทยกำลังเผชิญหน้ากับคำถามสำคัญเกี่ยวกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมอีกครั้ง จากกรณี “แม่หยัว” ที่มีการวางยาสลบแมวเพื่อความสมจริงในการแสดง สู่ประเด็นร้อนล่าสุดของซีรีส์ “ทิชา” ที่เปิดเผยเบื้องหลังการถ่ายทำฉากป่วยไข้ โดยนักแสดงเด็ก “น้องมากิ” มีไข้สูงเกือบ 40 องศาจริง เหตุการณ์ทั้งสองนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงเส้นแบ่งระหว่าง “ความสมจริง” กับ “ความเหมาะสม” ความสมจริง…หรือความเสี่ยง? ทั้ง “แม่หยัว” และ “ทิชา” สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของวงการบันเทิงไทยที่ให้ความสำคัญกับ “ความสมจริง” จนอาจละเลยหลักจริยธรรม และความปลอดภัยของทั้งคนและสัตว์ แม่หยัว: แม้การใช้สัตว์จริงจะสร้างความสมจริง แต่ต้องคำนึงถึงสวัสดิภาพของสัตว์ หลีกเลี่ยงการทารุณกรรม หรือบังคับให้แสดงในลักษณะที่เสี่ยงอันตรายทิชา: การให้นักแสดงเด็กทำงานในสภาพป่วยไข้ แม้จะได้ภาพที่สมจริง แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และเข้าข่ายละเมิดสิทธิเด็กจริยธรรม…หัวใจสำคัญของความบันเทิง ผู้สร้างสรรค์ผลงานบันเทิงมีบทบาทสำคัญในการชี้นำสังคม การนำเสนอเนื้อหาที่รุนแรง หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้ชม โดยเฉพาะเยาวชน ดังนั้น จริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือเป็นสำคัญ บทเรียนจาก “แม่หยัว” – “ทิชา” ความสมจริงไม่ใช่ทุกสิ่ง: ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และหลักจริยธรรมควบคู่กันไปความปลอดภัยต้องมาก่อน: ทั้งสัตว์ และนักแสดง ต้องได้รับการดูแล และคุ้มครองรับผิดชอบต่อสังคม: เนื้อหาและการนำเสนอ ต้องไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสังคมการโพรโมต…ต้องระวัง การเผยแพร่เบื้องหลัง เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะอาจกลายเป็นดาบสองคม ดังเช่นกรณี “ทิชา” ที่การเปิดเผยว่านักแสดงเด็กป่วยไข้ กลับกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ วงการบันเทิงไทย…ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนให้เห็นถึง “จุดอ่อน” ในวงการบันเทิงไทย ที่ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อยกระดับมาตรฐาน และสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ โดยคำนึงถึงความสมจริง ความเหมาะสม และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสมดุล ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ระบุว่า “ผมทราบข่าว คุณสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ถูกตำรวจจับข้อหาฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป และไม่ได้ประกันตัว คุณสามารถ กับ ผมเกี่ยวข้องกันนิดหนึ่งตรงที่หลังจากผมออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ผมเคยนำลูกทีมไปสมัครที่พรรคพลังประชารัฐ ตอนนั้นคุณสามารถ เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเมื่อคุณสามารถ มีข่าวถูกพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ดิไอคอน กรุ๊ป เขาก็ลงไปพบผมที่ปักษ์ใต้ประโยคแรกที่ผมพูดกับเขา คือ การพูดคุยต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการพูดระหว่างทนายความกับลูกความ ซึ่งเราต้องรักษาจรรยาบรรณตามกฎหมาย ผมก็ให้คำแนะนำเขาไป และบอกว่าตามประสบการณ์ของผม สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณสามารถ คือ1.เขาจะถูกออกหมายจับ2.เขาจะถูกจับกุม3.เขาจะไม่ได้ประกันตัว เขาเถียงกับผมอย่างเอาจริงเอาจัง ผมบอกว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับคุณผมบอกว่า ตำรวจชุดนี้ ทำงานดีนะ โดยเฉพาะ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ไม่เคยด่างพร้อย ผมยังเคยเขียนชมการทำงานของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ในเฟสผมเลย เมื่อวานเห็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแถลงข่าว ก็เห็นท่านพูดดี พูดตามหลักกฎหมาย ผมบอกคุณสามารถว่า แต่ละฝ่ายต่างทำหน้าที่ของเขา คุณสามารถก็เตรียมข้อมูลไว้ชี้แจงให้ดี วิถีชีวิตคุณสามารถน่าจะไปแนวนี้ เขาขอถ่ายรูปกับผม แต่ผมไม่อนุญาต และเตือนว่าเวลานี้การใช้โทรศัพท์ของคุณสามารถอาจจะถูกดักฟังโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วสุดท้ายคุณสามารถก็ถูกจับ และไม่ได้ประกันตัว ผมบอกเขาว่าระบบมันเป็นอย่างนี้แหละ คุณอาจถูกขัง 84 วัน หลังจากนั้น คุณ “ควรจะ” ได้ประกันตัว ขณะถูกจับกุมเขาโทรศัพท์หาผม แต่ผมไม่ได้รับ ผมโทรกลับไปเขาก็ไม่รับ อาจเป็นเพราะโทรศัพท์เขาคงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปแล้ว ผมเป็นคนขี้สงสาร ฟังข่าวแม่ของคุณสามารถพยายามจะฆ่าตัวตายในห้องขัง อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมก็สงสาร” ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
ในช่วงนี้เราจะเห็นคนดังเดินพาเหรดเข้าคุกกันเป็นแถวจากกรณี “ฉ้อโกง” รวมถึงคนที่มีบทบาทในทางการเมืองแม้ไม่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่กลับปรากฏข้อมูลว่า อาจมีการอ้างอำนาจการเมืองไปแสวงหาประโยชน์ ก็เกิดคดีความไม่ต่างกัน เช่นกรณีล่าสุด นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน หลังพบเส้นเงินพันไปถึงบอสพอล และบอสปีเตอร์ ที่น่าสนใจคือการพบเงินในบัญชีมารดาของนายสามารถ มากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งมีที่มาหลากหลายด้วย ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่า การที่คนที่อาจไม่มีตำแหน่งใหญ่โตทางการเมือง แต่กลับมีการแสวงหาประโยชน์ได้จำนวนมากนั้น สาเหตุหลักเลยเป็นเพราะว่า กระบวนการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาลหรือในกระบวนการนิติบัญญัติคนที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบไม่โปร่งใส และที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐแทบจะทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมตั้งต้น ก็ใช้อำนาจ อย่างไม่โปร่งใส เป็นเรื่องที่พูดกัน และรับรู้โดยทั่วไปว่ามันมีการวิ่งเต้นเส้นสาย “คอร์รัปชั่นสามารถซื้อความยุติธรรมได้ เพราะฉะนั้น ความเคยชินเหล่านี้ทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า เงินสามารถ แก้ไขปัญหาของเขาได้ ถึงแม้ว่าจะทำผิดอะไรมาก็ตาม ส่วยและสินบนจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ยิ่งถ้าเป็นคนทำธุรกิจสีเทา กรณีคุณสามารถ มันไม่ใช่แค่ตัวคุณสามารถอย่างเดียว แต่มันยังเชื่อมโยงไปถึงคนที่สังคมเข้าใจว่าอยู่เบื้องหลังของเขา หรือเขาทำงานให้ คือบรรดาบิ๊กทั้งหลายแหล่ เพราะฉะนั้นด้วยเงาของปีศาจที่ทาบทับอย่างนี้ มันเลยทำให้เขาสามารถไปตบทรัพย์ใครก็ได้และได้เป็นจำนวนมาก เพราะคนยังคิดว่า เงินมันซื้อได้ และซื้อไปถึงคนตัวใหญ่ที่บงการอยู่ข้างหลังครับ” สำหรับกรณีดิไอคอน กระทบประชาชนทั่วไปจำนวนมาก มันสะท้อนว่า หน่วยงานรัฐ ไม่สามารถปกป้องให้สังคมสงบสุขได้ ไม่สามารถ ช่วยดูแล ความเป็นธรรมในสังคมได้ สาเหตุหลัก ๆ เป็นเพราะว่าหน่วยงานของรัฐที่มี หน้าที่มีอำนาจเกี่ยวข้องไม่ทำหน้าที่ ทำอย่างจำกัด หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการคอร์รัปชั่นเอง เราจะเห็นตั้งแต่แรกว่ามีการระบุว่า มีหน่วยงานไหนบ้างในหน่วยงานของรัฐที่มีการวิ่งเต้นเส้นสายกันได้ มีการเชื่อมโยงได้ จนมีคำว่าเทวดา ในหน่วยงานเหล่านั้น ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ในการปกป้อง เป็นการปกป้องสังคมในการปกป้องประชาชน ซึ่งกลายเป็นเรื่องชินชาของสังคมไทยว่า พอถึงเวลาแล้วคนผิดจะลอยนวล หน่วยงานของรัฐไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวถึงในช่วงแรก ๆ ไม่มีใครต้องรับผิดชอบเลย ทุกคนลอยตัวได้หมด แม้กระทั่ง ผู้บริหารระดับสูงระดับปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรีจะออกมาขอโทษประชาชนว่าพวกเขาไม่สามารถ ดูแล ผลประโยชน์หรือดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐใช้กลไกของรัฐให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ ”ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สังคมไทย ระบบราชการไทยไม่มีการปฏิรูปตัวเองอย่างเข้มข้น เราก็จะเจอปัญหาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ครับ เราจะปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีคำถามกันมากเลย…
สศช. เผย ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2567 พบสัญญาณอันตราย คนไทยผิดนัดชำระหนี้บ้านเพิ่มขึ้น หนี้เสียพุ่ง 23.2% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนปัญหาการเงินของครัวเรือนตึงตัว เสี่ยงกระทบเศรษฐกิจประเทศ ประเด็นสำคัญ หนี้เสียบ้านพุ่ง 23.2%: สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 3.98% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็น 4.34% ครัวเรือนเลือกผิดนัดชำระหนี้บ้าน: แม้จะเป็นสินทรัพย์จำเป็น แต่ครัวเรือนจำเป็นต้องเลือกผิดนัดชำระ เพื่อรักษาวงเงินสินเชื่ออื่นไว้ใช้จ่าย หนี้เสียบ้านวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท พุ่งสูง: สะท้อนว่าครัวเรือนรายได้น้อยยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น: แม้จะมีมาตรการควบคุม แต่หนี้ประเภทนี้ยังคงสูง เสี่ยงทำให้ครัวเรือนติดกับดักหนี้ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้เสีย เพื่อลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
คำนูณ สิทธิสมาน ออกโรงเตือนรัฐบาล กรณี MOU 2544 ว่าด้วยการสำรวจและจัดสรรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา แม้จะมีอายุ 23 ปี แต่เข้าข่ายต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 โดยระบุว่า MOU 2544 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา และเข้าข่าย “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศ อย่างกว้างขวาง” เนื่องจากอาจทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติบางส่วน คำนูณ ย้ำว่า รัฐบาลต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยนำ MOU 2544 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน เพื่อความโปร่งใสและป้องกันข้อครหาเรื่องการขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมเสนอทางออก 2 แนวทาง คือ นำ MOU 2544 ขอความเห็นชอบจากรัฐสภายื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหากรัฐบาลเพิกเฉย อาจถูกกล่าวหาว่าจงใจขัดรัฐธรรมนูญ เสี่ยงต่อการพ้นจากตำแหน่ง ติดตามอ่านบทความฉบับเต็มที่ https://www.facebook.com/kamnoon/?locale=th_TH