Browsing: News

กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงว่า ตามที่ศาลปกครองกลางได้มีคําพิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ให้อธิบดีกรมที่ดิน มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษา โดยให้การรถไฟฯ (ผู้ฟ้องคดี) ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนฯ ทําการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของการรถไฟฯ เอกสารฯ ระบุต่อว่า อธิบดีกรมที่ดิน ได้มีคําสั่งที่ 1195-2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นการปฏิบัติตาม คําพิพากษาศาลปกครองกลาง และได้รายงานสรุปผลการรังวัดนําชี้แนวเขตของคณะทํางานร่วมระหว่าง สํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรังวัดตรวจสอบตําแหน่งขอบเขต โดยรอบและจัดทําแผนที่ทางกายภาพเพื่อประกอบการพิจารณาแผนที่ ซึ่งได้จากการรังวัดของคณะทํางานร่วม ระหว่างสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และการรถไฟฯ เป็นการรังวัดตามการนําชี้ของผู้แทนการรถไฟฯ โดยไม่มีเอกสารหลักฐานทางกฎหมายอ้างสิทธิใดๆ ที่ระบุได้ว่าเป็นแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสร้างทางรถไฟฯ พ.ศ.2462 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินฯ เพื่อสร้างทางรถไฟ พ.ศ.2464 เพื่อประกอบการนําชี้ ในขณะทําการรังวัดได้มีราษฎรในพื้นที่และส่วนราชการคัดค้านไม่ยอมรับการนำชี้ของผู้แทนการรถไฟฯ เนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานที่การรถไฟฯ อ้างสิทธิตามกฎหมายเมื่อคณะทํางานร่วมฯ ดําเนินการจัดทําแผนที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีการส่งข้อมูลการรังวัดพร้อมหลักฐานการคัดค้านของราษฎร และส่วนราชการต่างๆ ที่คัดค้านให้คณะกรรมการสอบสวนฯ ตาม ม.61 ใช้ประกอบในการพิจารณา และได้รายงานกรมที่ดินทราบ กรมที่ดิน ขอยืนยันว่า ในการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความใน มาตรา 61 ได้ดําเนินการครบถ้วนถูกต้องตามคําพิพากษาศาลปกครอง และทําการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของการรถไฟฯตามกฎหมาย และคําพิพากษาศาลปกครองกลางทุกขั้นตอนแล้ว โดยอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 มีดังนี้ 1.ดําเนินการสอบสวนพยานหลักฐานให้ได้ความว่า ได้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทําประโยชน์ไปโดยคลาดเคลือนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร 2.มีอำนาจเรียกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน์หรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณากรณีไม่อาจเรียกเอกสารให้บันทึกเหตุผลไว้ กรณีได้รับเอกสารให้ออกใบรับ (ท.ด.53) ไว้เป็นหลักฐาน 3.แจ้งผู้มีส่วนได้เสียทราบเพื่อให้โอกาสคัดค้านการเพิกถอนหรือแก้ไข 4.รายงานผลการสอบสวนต่ออธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในกําหนด ระยะเวลา 5.ขอขยายระยะเวลาการสอบสวน กรณีคณะกรรมการสอบสวนฯไม่สามารถดําเนินการ สอบสวนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา โดยจะสั่งให้ขยายระยะเวลาการสอบสวนได้ตามความจําเป็น และ 6.ขอเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบสวนฯ กรณีมีเหตุจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกรรมการสอบสวน

Read More

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นหนังสือถึง กกต. ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณีแต่งตั้งรัฐมนตรีที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ โดยนายเรืองไกร อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา ที่รายงานว่านายมาริษ ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด แม้จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคหนึ่ง นายเรืองไกร เห็นว่า น.ส.แพทองธาร ในฐานะผู้แต่งตั้งนายมาริษ ควรรู้ถึงคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จึงอาจเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงขอให้ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ทั้งสองยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หรือไม่

Read More

เป็นการเปิดเผยของ “อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ” ประธานชมรมสันติประชาธรรม ให้ข้อมูลว่า มีผู้เสียหายร้องเรียนพฤติกรรม นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ อดีตประธานกรรมการและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด ชักชวนให้ลงทุน Wellness Center มูลค่านับหมื่นล้านบาท โดยจะมีทุนจากต่างประเทศและระดมทุนในประเทศ ทำให้หลงเชื่อระดมเงินทั้งของตัวเองและครอบครัวไปร่วมลงทุนด้วน โดยมีผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกับตนมากกว่า 30 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะกลางขึ้นบน ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ และมีความทุกข์ใจมาก ซึ่งตนได้รับข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะข้อมูลยังไม่แน่นพอ “ตอนนี้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว เพราะมีปัญหาการจ่ายเช็กเด้งด้วย โดยต้องให้ตำรวจสืบต่อว่าเป็นการหลอกลงทุนหรือไม่ โครงการนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงข้อหาคงไม่ใช่แค่พ.ร.บ.เช็ก เพราะถ้าตั้งใจหลอกลวงตั้งแต่ต้น โดยที่โครงการไม่มีอยู่จริง ก็อาจเป็นฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เพราะมีผู้เสียหายจำนวนมาก” The Publisher ค้นข้อมูลโครงการ Wellness Center พบว่า นพ.บุญ เคยให้สัมภาษณ์ในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการลงทุนโครงการดังกล่าวกว่า 5,000 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการ La Torre Medical Wellness Center พระราม 3 บนเนื้อที่ 5 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามบางกระเจ้า ซึ่งเป็นที่ดินเช่าของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ระยะเวลา 60 ปี เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพองค์รวมในรูปแบบ Luxury Service ระดับ 6 ดาว ประกอบด้วย ส่วนอาคารที่พักอาศัย 56 ชั้น 376 ยูนิต, Medical Wellness Center, Fitness, ร้านอาหารดัง, ภัตตาคารบนชั้นรูฟท็อป และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้งเสร็จในปี 2568 ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอของ “ข่าวหุ้น” เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ว่า ”หมอบุญ“ ก่อหนี้ท่วม 7,000 ล้านบาท เหตุขนเงินลงทุน “จิณณ์…

Read More

เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้มีการส่งหนังสือเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ขอให้ระงับการเห็นชอบและเสนอชื่อ “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนายกิตติรัตน์กับฝ่ายการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ธปท. โดยเฉพาะในเรื่องการแทรกแซงจากการเมืองที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรม ในหนังสือฉบับดังกล่าว คปท. ระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกได้มีมติเลือกนายกิตติรัตน์จากการเสนอชื่อของกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงประวัติการทำงานทางการเมืองของนายกิตติรัตน์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อนหน้านี้ คปท. ได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการรักษาความเป็นกลางขององค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศ และยืนยันไม่ต้องการให้ผู้มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของธนาคารแห่งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติในอนาคต

Read More

เป็นที่จับตาอย่างมากกับการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย.67)ว่าจะทำคลอดแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปีออกมาอย่างไร หนึ่งในนั้นมีเรื่องการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร บิดาของนายกฯ แพทองธาร ได้ปราศรัยไว้บนเวทีหาเสียงที่จังหวัดอุดรธานี The Publisher ได้สอบถามความเห็นไปยัง ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ให้มุมมองไว้น่าสนใจว่า ก่อนจะทำเฟสสอง ต้องทบทวนว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะจากสถิติสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มเติมแล้ว อีกทั้งการวางเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้สูงอายุนอกเหนือจากกลุ่มเปราะบางที่เคยได้รับไปแล้วคือกลุ่มใด จะมีความซ้ำซ้อนเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้รับอยู่แล้วหรือไม่ ถ้าเรามองว่าสถานการณ์การคลังมีจำกัด ก็ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คือเน้นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางจริง ๆ เช่น ไปผนวกกับการแก้ปัญหาหนี้ให้ยั่งยืน เป็นปัจจัยที่เร่งด่วนมากกว่า เราเห็นสถานการณ์อสังหาฯ รถยนต์ หนี้ส่วนบุคคล มีปัญหา ถ้ารัฐจะจัดการ ก็ต้องใช้งบประมาณหรือเสียรายได้จากภาษีไป แทนที่จะเอามาแจก ก็พุ่งเป้าที่การแก้หนี้จะดีกว่า ส่วนกรณีที่จะลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ลงครึ่งหนึ่ง จาก 0.46 % เหลือ 0.23 % เพื่อนำมาช่วยแก้หนี้ให้ประชาชนนั้น ก็ต้องดูว่าการแก้ปัญหาจะเลือกกลุ่มอย่างไร โดยควรดูกลุ่มที่ไปรอด แนวคิดที่จะให้ช่วยหนี้เดิม เปิดโอกาสก่อหนี้ใหม่ ก็ยังมีความกังวลว่า จะเกิดปัญหาในระยะยาวในอนาคต เพราะถ้าแก้ด้วยรูปแบบไม่ดีก็จะไม่ยั่งยืน จากงานวิจัยของสถาบันป๋วยฯ เราเคยพยายามทำทั้งลดต้น ลดดอก ยืดระยะเวลา รีไฟแนนซ์ แต่หนี้ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรก็แก้ไม่ได้ อยากให้เอาบทเรียนไปสื่อความด้วยว่า ถ้าไปแก้แบบเดิม แบบลูบหน้าปะจมูก คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อีกทั้งการลดเงินนำส่งเข้า FIDF ยังมีผลกระทบที่ทำให้การชำระเงินช้าลงดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ถ้านำเงินไปแล้วแก้ได้ไม่ยั่งยืนจริง ก็จะกลายเป็นปัญหาได้ ดร.นณริฏ ยังกล่าวถึงการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสามของสภาพัฒน์ฯ ที่ะระบุว่าขยายตัว 3% คาดว่าปีนี้จะโต 2.6 % ว่า เป็นตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจตามศักยภาพของไทย แสดงให้เห็นว่าน้ำหนักที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแทบจะไม่เหลือแล้ว หรือถ้ามีควรทำเป็นโครงการเล็ก ๆ ระดับแค่หมื่นล้านบาทเท่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลวางเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจตามศักยภาพเฉลี่ยที่ 3% แต่ถ้าไปไกลเกินกว่านั้น เศรษฐกิจจะวิ่งเร็วเกินไป เสี่ยงที่จะไม่เกิดมรรคผลอะไร แต่จะเกิดเป็นเงินเฟ้อแทน การประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ควรออกมาตรการแจกเงินแล้ว หันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องหนี้เป็นหลักจะดีกว่า

Read More

“รังสิมันต์ โรม” เปิดใจกับ The Publisher ปม เชิญนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงกับทางกรรมาธิการ หลังสังคมจับตาว่าอดีตนายกฯ มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น ทั้งยังมองว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยบกพร่อง ไร้ความน่าเชื่อถือ ที่ปล่อยให้กระแส “ชั้น14” และ “นักโทษเทวดา” เป็นที่คาใจของคนในสังคม The Publisher : เราจะมีการเชิญคุณทักษิณไปชี้แจงกับทางกรรมาธิการ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ คุณโรม : กรรมาธิการจะมีการนัดประชุมต่อจากคราวที่แล้วนะครับ ที่หลายคนคงได้เห็นกันไป ว่าเรามีการเชิญหลายท่าน อย่างที่หลายๆท่านทราบนะครับว่า ข้อมูลหลายส่วนยังไม่ครบถ้วน เป็นข้อมูลในเรื่องของการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้คุณทักษิณอยู่ในชั้น 14 ต่อไปได้เพื่อพักรักษาตัว ซึ่งเข้าใจว่าเป็นห้อง Vip ห้องที่อาจจะเรียกว่ามีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะไม่ได้ชอบด้วยกฎหมาย ข้อมูลและข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังคงมีอยู่ กรรมาธิการเราเองก็ต้องแสวงหาข้อมูลนะครับ รอบด้าน ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะได้ใช้โอกาสนี้ในเวทีของกรรมาธิการในการตอบคำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ผมเชื่อว่าคงจะคาใจพี่น้องประชาชนอยู่จำนวนมาก จริงๆแล้วเมื่อสักครู่แอบได้ยินว่าท่านทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรม บอกว่าเราต้องการทำให้เรื่องนี้เกิดความเสียหายแก่รัฐบาล จริงๆเรื่องนี้ความเสียหายกับรัฐบาลจะเกิดหรือไม่เนี่ย อยู่ที่การตอบคำถามของรัฐบาล ที่จะมีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะมีต่อกรรมาธิการในฐานะที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ซึ่งผมคิดว่าถ้าเกิดรัฐบาลสามารถตอบคำถามด้านนี้ได้ชัดเจน จริงๆความเสียหายมันก็คงไม่เกิด เป็นเกราะคุ้มกันในการป้องกันตัวรัฐบาลเอง แต่ถ้าเกิดรัฐบาลตอบคำถามเรื่องนี้ผิดพลาด ซึ่งผิดพลาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าตอบคำถามไม่ดีเท่านั้น แต่ต้องบอกว่า ข้อเท็จจริงในสาระที่มันเกิดขึ้นในกรณีชั้น 14 เนี่ย หากว่าสุดท้ายมันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือมีข้อพิรุธต่างๆ ไม่ว่ารัฐบาลจะให้ความร่วมหรือกับกรรมาธิการหรือไม่ สุดท้ายบรรดาคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ บรรดาคำถามที่ที่ถามไปแล้ว ได้รับคำตอบอีกอย่างหรือไม่ตอบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้รัฐบาลได้รับผลเสียเอง ทางที่ดีที่สุดคือรัฐบาลได้ทำได้ตัวเองถูกต้อง รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ข้อมูลหลายอย่างสามารถที่จะส่งมอบให้กับกรรมาธิการได้ ข้อมูลหลายอย่างสามารถที่จะตอบได้อย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลและต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำ ผมยืนยันว่าเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของเรา ที่เราสามารถทำได้ ซึ่งถ้าเราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เช่น สังคมเชื่อว่ามีบางคนมี Privilege หรือมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ถ้ามันมีกระบวนการปฏิบัติแบบนี้ The Publisher : คือจริงๆแล้วรัฐบาลจะเสียหายหรือไม่ แต่ตอนนี้ที่เสียหายไปแล้วคือกระบวนการยุติธรรมมีการบังคับโทษ ที่มันเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ คุณโรม : อันนี้เราต้องยอมรับความจริง ในเรื่องนี้ว่า คนเชื่อไปแล้ว ว่ากรณีของคุณทักษิณเนี่ย พูดง่ายๆคือไม่ต้องติดคุกสักวันนึง แล้วชั้น 14 ก็คือห้อง Vip และอาการเจ็บป่วยของคุณทักษิณเนี่ยมีการแกล้งป่วย ซึ่งการที่คนเชื่อแบบนี้…

Read More

“เชาว์” ฟันธง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัตินั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ แนะฟ้องศาลฯ เอาผิด คกก.คัดเลือก จงใจเลือกคนมีลักษณะต้องห้าม เหตุพ้นตำแหน่งทางการเมืองไม่ถึงหนึ่งปี เชื่อมีคนติดคุก ชี้ “ที่ปรึกษาของนายกฯ” แม้ไม่ใช่ ขรก.การเมือง แต่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ Facebook ‘Chao MeeKhuad’ เรื่อง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ มีเนื้อหาระบุว่า ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน จึงมีมติเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และเตือนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้นายกิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ท่านเตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำได้เลย ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม “เป็นหรือเคยเป็นผู้ดดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ที่กำหนดไว้เช่นนี้ ต้องการให้ บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็น ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย หรือ เกี่ยวข้อง กับการเมือง แต่นายกิตติรัตน์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2535 มีทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกดนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี นายเชาว์ ระบุด้วยว่า เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกิตติรัตน์ แม้โดยนิตินัยจะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง โดยเลี่ยงใช้คำว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่โดยพฤตินัย ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 ระบุให้ นายกิตติรัตน์ ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ…

Read More

หลังมีรายงานว่าการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.67) มีการเคาะชื่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และตั้งนางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ กับนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไปแล้ว เริ่มมีกระแสเคลื่อนไหวในทางกฎหมายว่า นายกิตติรัตน์ มีคุณสมบัติต้องห้าม มิอาจดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้ เนื่องจากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและยังพ้นตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปี กรณีเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ (เศรษฐา ทวีสิน) และอาจจะมีการไปฟ้องร้องเอาผิดกับคณะกรรมการคัดเลือกที่เลือกนายกิตติรัตน์เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติว่า จงใจเลือกคนที่มีคุณสมบัติต้องห้ามด้วย เรามาดูกันหน่อยใครเป็นใครบ้างในคณะกรรมการคัดเลือกทั้ง 7คน ซึ่งประกอบด้วย ◾ สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานฯ◾ บุณยฤทธิ์ กัลยานมิตร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์◾ วิฑูรย์ สิมะโชคดี อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม◾ วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ◾ อัชพร จารุจินดา อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา◾ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา อดีตเลขาฯ กลต.◾ สุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาฯ คปภ.

Read More

ในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน เมื่อวาน (11 พ.ย.67) มีรายงานว่าเคาะชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่มีกระแสต้านจากหลายฝ่ายเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และตั้งนางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ และนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หลังชื่อ “กิตติรัตน์” น่าจะได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ The Publisher ชวนดูข้อกังวลของสังคมว่ามีความห่วงใยในเรื่องใดบ้าง ◾ เป็นสะพานให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงแบงก์ชาติ◾ ผลักดันแก้กฎหมายลดความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ◾ ล้วงทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนสร้างรายได้-ทำโครงการประชานิยม◾ ผลักดันแก้พ.ร.บ.หนี้สาธารณะหรือพ.ร.ก.กองทุน FIDF โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู FIDF ไปอยู่กับแบงก์ชาติ ลดหนี้สาธารณะเพิ่มพื้นที่การคลังในการสร้างหนี้ของรัฐบาล◾ ตอบสนองนโยบายรัฐ ไม่คำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว◾ ทำลายความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติ◾ ทำให้หน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของชาติอ่อนแอ หลังจากนี้ต้องติดตามว่าข้อกังวลเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ บทบาทของ “กิตติรัตน์” ในฐานะประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะทำให้สังคมเกิดความยอมรับได้หรือไม่

Read More

นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ดำเนินรายการสนธิทอล์ก สวนกลับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายจุ๊กกรู ที่โพสต์ในลักษณะเหมือนมีข้อมูลที่จะเปิดโปง โดยระบุว่าจะพูดถึงนายเดชาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้พูดอย่าหยุด แต่เชื่อสถานการณ์ของนายเดชาจะพูดเปลี่ยนไป ปีหน้าจะเป็นปีที่นายเดชาได้รู้ฤทธิ์ของตนว่ามีอะไรบ้าง พร้อมทบทวนความจำว่านายเดชาได้ออกมาให้ข้อมูลกฎหมายสนับสนุนทนายตั้มว่าคดีฉ้อโกงหมดอายุไปแล้ว ทั้งที่ไม่ควรเป็นข้อมูลที่หลุดจากปากทนายความจนดูผู้รู้ทักท้วง ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองยอมรับว่าพูดผิด ตนไปจี้จุดที่คุณสะเทือนใจมากว่า จะสนับสนุนทนายตั้มก็อย่าขี่ม้าเลียบค่ายเปิดตัวเลยแต่ก็ไม่ทำ นายสนธิ กล่าวด้วยว่า หลังจากสั่งสอนนายเดชามีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดศีลห้าหลายประการ คงทำให้นายเดชาโกรธ พร้อมยืนยันว่าตนตัดสินคนได้จากหลักฐานในฐานะสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่มามากกว่า 50 ปี นายเดชาบอกกูไม่กลัวมึง ในโลกนี้ไม่มีใครกลัวใครหรอก โดยเฉพาะคนอย่างตน ถ้านายเดชาอ่านหนังสือพอ ฉลาดพอ ต้องรู้ชีวิตตนไม่มีอะไรต้องกลัว แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ใช่ไหมว่าตนโดนฟ้องคดีหมิ่นประมาทเกือบ 160 คดี ไม่ยี่หระพร้อมขึ้นสู้ตลอด จำไว้อย่างตนไม่เคยกราบใครให้ยกโทษให้ในศาลฯ เมื่อรู้ว่าจะแพ้ นายเดชาเคยทำแบบนี้หรือเปล่า “เมื่อไม่มีใครกลัวใคร ขอทำนายล่วงหน้า 2568 ช่วงใดช่วงหนึ่งของปี คุณเดชาจะกลัวผมมาก กลัวผมจนกระทั่ง ขอดักคอไว้ก่อน คุณอาจจะอายถ้ายังมีความละอายอยู่บ้าง ผมไม่รับการกราบกราบขอโทษเด็ดขาด เตือนคุณแล้วว่ากับทนายตั้ม ถ้าอยากมีเรื่องอย่าถอยไปให้สุดซอย เหมือนกันคุณกล่าวหาว่าผมต่าง ๆ สองสามวันที่ผ่านมาคุณเอ็นจอยมาก บนเรื่องราวที่เป็นเท็จ โกหกพกลม มีหลักฐานพิสูจน์ได้หมด ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผม คนละเรื่องกับชูวิทย์ เพราะชูวิทย์เป็นน้องผม ผมไม่ได้ให้อภัยแต่ลืมไปหมดแล้ว กอดแน่นเพราะเขาเป็นน้องผม ผมไม่มีทางกอดคุณ ปี 2568 จะรู้ว่าใครกันแน่ เพราะคุณมีชื่อว่าถ้าหลังชนกำแพงไปไหนไม่ได้ จะคลานเข้ามาขอโทษ ขอโพย ขออภัย ผมเตือนวันนี้ ประตูบ้านพระอาทิตย์ไม่ต้อนรับคุณ มีคนให้ข้อมูลคุณมีคดีกับอาจารย์อ๊อดแพ้สามศาล คุณไม่น่าจะเรียกว่าทนายขี้เมาแต่น่าจะเรียกว่าทนายขี้แพ้” นายสนธิกล่าวในตอนหนึ่ง

Read More