- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
“รถเบรกแตก รถพลิกคว่ำ รถไฟไหม้” คำเหล่านี้แทบจะกลายเป็นประโยคที่เราคุ้นชิน เมื่อพูดถึงข่าวอุบัติเหตุหมู่บนถนนเมืองไทย เราเห็นโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงร่ำไห้ของครอบครัวผู้สูญเสียยังดังสะท้อนอยู่ในสังคม แต่ผ่านไปไม่นาน เสียงร่ำไห้ก็กลับมาดังระงมอีกครั้ง แล้วสังคมไทย “ถอดบทเรียน” มานานแค่ไหนกันแล้ว? หรือแท้จริงแล้ว เรากำลัง “ถอดแต่ไม่เคยใส่กลับ” ? 18 ศพที่เขาศาลปู่โทน : ลมหายใจสุดท้ายบนทางลาดชัน วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 รถบัสนำคณะดูงานจากบึงกาฬ มุ่งหน้าสู่ระยอง แต่ปลายทางของพวกเขากลับจบลงที่เชิงเขาศาลปู่โทน จ.ปราจีนบุรี รถบัสพลิกคว่ำลงข้างทาง มี 18 ชีวิตต้องจบลงตรงนั้น และบาดเจ็บอีก 31 ราย สาเหตุเบื้องต้น? “เบรกขัดข้อง” …คำตอบที่เหมือนจะเป็นคำแก้ตัวแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย ถนนลาดชัน ระบบเบรกไม่ได้มาตรฐาน รถรับน้ำหนักเกิน คนขับไม่มีประสบการณ์ ไม่ชินทาง เราได้ยินมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่ทำไม…มันยังคงเกิดขึ้น? ย้อนรอยโศกนาฏกรรม “รถไฟไหม้” เด็กนักเรียนดับ 23 ศพ หากใครยังจำได้ 1 ตุลาคม 2567 รถบัสทัศนศึกษาของเด็กนักเรียนจากอุทัยธานีไฟไหม้ เด็ก 23 คน ถูกเผาทั้งเป็น ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนหนี สาเหตุ? เพลาหลังหัก ประกายไฟลามไปติดถังแก๊ส NGV ที่ติดตั้งเกินมาตรฐาน “รถบัสเก่าที่ดัดแปลง โครงสร้างไม่ปลอดภัย คนขับไม่มีการอบรมเพียงพอ” เป็นข้อสรุปที่เราได้ยินหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่วันนี้…ก็ยังมีรถบัสเก่าๆ วิ่งอยู่บนถนนไทยอยู่ดี! เมื่อทางลงเขากลายเป็น “ทางลงนรก” เขาศาลปู่โทน หรือที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้เส้นทางสาย 304 เป็น “จุดตาย” มาหลายครั้งหลายครา เพราะทางลาดชัน คดเคี้ยว อันตรายสูง รถบรรทุกและรถโดยสารหนักต้องใช้เบรกตลอดเวลา ทำให้เกิดความร้อนสูงจนเบรกแตกง่าย หลายปีที่ผ่านมา อุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดขึ้นที่จุดนี้ ทั้งรถทัวร์ รถบรรทุก รถกระบะที่เสียหลักพุ่งลงเหว คำถามคือ ทำไมยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน? “ถอดบทเรียน” จนเปลือยล่อนจ้อน แต่…ได้อะไร? หลังจากทุกอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ…
ภาพกุญแจห้อยอยุ่ในตู้วางหน้าตึกรามบ้านช่องกลางกรุง กุญแจคอนโดติดเสาไฟอย่างเจ๋งครึ่ม คือหลักฐานชัด ๆ ว่า การปล่อยเช่าคอนโดรายวันกำลังระบาดหนัก แม้จะผิดกฎหมายเต็ม ๆ แต่ก็ยังทำกันอย่างไม่เกรงกลัว มีการอำนวยความสะดวกให้แขกที่เข้าพักชั่วคราว แบบไม่ต้องพบหน้าเจ้าของห้อง เห็นแบบนี้แล้วคิดว่าเป็นโรงแรมหรือคอนโดกันแน่? กฎหมายที่ใช้จัดการกับปัญหานี้ มีชัดเจน แต่คำถามคือ มีการบังคับใช้จริงจังแค่ไหน? คอนโดให้เช่ารายวัน = ทำธุรกิจโรงแรมเถื่อน กฎหมายชัดเจนว่า “คอนโดมิเนียม” ไม่สามารถปล่อยเช่ารายวันได้ เพราะถือเป็นการทำธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปัญหาคือ มีคนแอบทำกันโจ๋งครึ่ม ซึ่งมีความผิด ทำธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต (โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับรายวันอีก 10,000 บาท จนกว่าจะเลิกกระทำผิด) แต่ก็ยังมีคนแอบทำ ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ลงประกาศให้เช่าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แล้วหลบเลี่ยงการตรวจสอบ พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. 2522 กฎหมายนี้ กำหนดให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ในคอนโดได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในโครงการ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ บางกลุ่มใช้ “นอมินีคนไทย” ถือครองแทน เพื่อเลี่ยงข้อจำกัด แล้วแอบปล่อยเช่ารายวันผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ และ คอนโดบางแห่งถูกซื้อไปเพื่อทำธุรกิจโรงแรมแฝง ซึ่งผิดทั้ง พ.ร.บ. โรงแรม และ พ.ร.บ. อาคารชุด ล่อซื้อง่ายมาก แค่ 3 ขั้นตอนก็จับได้แล้ว กฎหมายมีอยู่แล้ว แต่การบังคับใช้ยังไม่เข้มงวด ถ้าจะล่อซื้อจริง ๆ ทำได้ง่ายมาก เริ่มจาก จองห้องพักผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โอนเงิน ไปยังบัญชีของเจ้าของห้อง และ รับหลักฐานการจองที่แสดงชื่อ เบอร์ห้อง และบัญชีรับเงิน เท่านี้หลักฐานครบ ทั้งชื่อเจ้าของ บัญชีรับเงินและพฤติกรรมที่เข้าข่ายทำธุรกิจโรงแรมเถื่อน การนำกุญแจไปวางไว้ในที่สาธารณะก็มีความผิดด้วย เพราะเป็นการรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ผิดตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง คอนโดปล่อยเช่ารายวัน : ปัญหาที่กระทบทุกฝ่าย ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยในคอนโด• คนในคอนโดรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะมีคนแปลกหน้ามาเข้าพักบ่อย ๆ• ส่วนกลางถูกใช้งานหนัก เช่น…
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที หลังพบว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้านำเข้า เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด กนง. ชี้โครงสร้างอุตสาหกรรมมีปัญหา นาย สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจาก อุตสาหกรรมการผลิตที่ซบเซา จากการแข่งขันของสินค้านำเข้า ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความเปราะบางของ SMEs ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคบริการและการท่องเที่ยวจะขยายตัว แต่ ภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง กลับถูกกดดันหนัก ทำให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ลดดอกเบี้ย หวังลดภาวะตึงตัวทางการเงิน คณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่เห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงิน โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่กรรมการ 1 เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ย ให้เหตุผลว่า ควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% เพื่อรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินสำหรับรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จับตาสินเชื่อ SMEs – หนี้ครัวเรือน ยังกดดันเศรษฐกิจ กนง. ประเมินว่า แม้การขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวมจะทรงตัว แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สินเชื่อ SMEs ที่ยังคงหดตัว จากปัญหาด้านการแข่งขันและต้นทุนสูง และ หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง แม้รายได้เริ่มฟื้นตัวแต่ยังไม่เต็มที่ ทั้งนี้ กนง. จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายการเงินยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินได้อย่างเหมาะสม ค่าเงินบาทยังผันผวน กนง. จับตานโยบายเศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวผันผวน จาก ความไม่แน่นอนของนโยบายจากประเทศเศรษฐกิจหลัก ทำให้ กนง. เห็นควรติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด กนง. ย้ำว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้อยู่ภายใต้กรอบนโยบายการเงินที่ยังคงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
“ยืนงงในดงทุจริต” เมื่อกระบวนการยุติธรรมเปิดช่องให้โกงแล้วรอด ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 26 โครงการ มูลค่ากว่า 81 ล้านบาท ศาลสั่งจำคุก 50 ปี…แต่ให้รอลงอาญา! นี่คือความจริงของระบบยุติธรรมไทยที่ทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามว่า แบบนี้จะไม่เป็นการเปิดช่องให้คนโกงกล้าทุจริตกันมากขึ้นหรือ? คดีทุจริตใหญ่ แต่โทษเบาหวิว ย้อนกลับไปดูเส้นทางของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ วัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และสุรินทร์ พบว่า ถูก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด คดีร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติกว่า 81 ล้านบาท จากการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้าง 26 โครงการ ระหว่างปี 2554-2557 ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของตนเอง จนถูก ไล่ออกจากราชการ ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุก 130 ปี 78 เดือน และปรับ 2,652,000 บาท ได้รับการลดโทษจากการรับสารภาพ คงเหลือ จำคุก 50 ปี ปรับ 1,326,000 บาท แต่ศาลกลับให้รอลงอาญา 5 ปี และให้คุมประพฤติ แทนที่จะติดคุก! คุกมีไว้ขังคนจน? คนโกงได้รอลงอาญา? คดีนี้ทำให้เกิดคำถามว่ามีช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ สาเหตุที่ศาลให้รอลงอาญามักเป็นเพราะจำเลย รับสารภาพ และอ้างว่าให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้ได้รับ “ความเมตตา” จากศาล แต่ถ้าคิดในทางกลับกัน คนโกงเพียงแค่ รับสารภาพและคืนเงินบางส่วน ก็สามารถหลุดพ้นจากโทษจำคุกได้ จะทำให้เกิดการเข็ดหลาบหรือ? ถ้าเราลองเปรียบเทียบกับคดีอื่น ๆ เช่น • คดีขโมยของในร้านสะดวกซื้อ บางคนถูกจำคุกทันที • คดีหมิ่นประมาทบางกรณี มีโทษหนักกว่าคดีโกงเงินภาษีประชาชน การที่ นักการเมืองหรือข้าราชการโกงแล้วไม่ต้องติดคุกจริง จะยิ่งเป็นการส่งสัญญาณผิด ๆ ให้กับระบบราชการว่า “โกงไปเถอะ ถ้าถูกจับได้ก็ค่อยรับสารภาพ แล้วก็รอดอยู่ดีหรือไม่?” ใครได้-ใครเสีย? • “คนโกง” ได้ประโยชน์เต็ม ๆ…
กรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับ ฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปี 2567 ยังคงเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองและกฎหมาย เมื่อ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้พิจารณาคดีนี้เพิ่มเติมและเตรียมนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม 2568 โดยจะมีการเชิญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ถกเถียงกันหนักคือ ใครมีอำนาจสอบสวนคดีนี้? ระหว่าง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือ กกต. ซึ่งนำไปสู่ข้อขัดแย้งด้านอำนาจหน้าที่ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของคดี DSI เดินหน้าสอบ แต่ติดปมกฎหมาย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุม กคพ. นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้พิจารณาว่าคดีนี้ควรถูกจัดเป็น คดีพิเศษ หรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับ มาตรา 49 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 โดย มาตรา 49 ระบุว่า หากพบว่ามีการกระทำผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง กกต. มีอำนาจเรียกสำนวนการสอบสวนจากหน่วยงานรัฐหรือพนักงานสอบสวนมาดำเนินการเอง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญว่า DSI ควรเข้าไปดำเนินการเอง หรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กกต. เสียงแตก! กฤษฎีกาฟันธง DSI ไม่มีอำนาจ แต่ผู้ทรงคุณวุฒิบางรายมองต่าง แหล่งข่าวจากที่ประชุมเปิดเผยว่า นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า DSI ไม่มีอำนาจในการทำคดีนี้ เพราะเป็นอำนาจของ กกต. ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และหาก DSI ลงมือสอบสวน อาจเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ทรงคุณวุฒิบางรายมองว่า DSI ยังคงสามารถดำเนินคดีอาญาได้ หากเป็นกรณีเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งโดยตรง ทำให้ที่ประชุมมีข้อถกเถียงว่า DSI ควรจะเข้าไปดำเนินการแค่ในส่วนของคดีอาญาทั่วไป หรือควรปล่อยให้ กกต. รับผิดชอบทั้งหมด ทำไมต้องรอ กกต.…
“นี่คือความเละเทะที่ กกต. ปล่อยปละละเลย!” อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ เปิดใจผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher โดยมี “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” เป็นผู้ดำเนินรายการ ตอกย้ำว่า ขบวนการฮั้วเลือก สว. ครั้งนี้เต็มไปด้วยพิรุธ ตั้งแต่ระดับอำเภอ มีการจ้างโหวตกันตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท สมัครมาเพื่อเป็นฐานเสียงให้คนที่ถูกล็อกไว้แล้ว “หมอนวดแผนโบราณไปสมัครกลุ่มแพทย์ เด็กปั๊มไปอยู่ในกลุ่มพลังงาน ถ้ายึดหลักคิดนี้ ยามก็สมัครกลุ่มมั่นคงได้” สมชาย กล่าวเชิงประชด พร้อมยกตัวอย่างว่าผู้สมัครจำนวนมากถูกจัดฉาก เซ็นรับรองกันเอง ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติจริงจัง คนรับจ้างสานเข่งปลาทูยังสมัครเข้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรม “ปลัดอำเภอบางคนถึงกับโทรหาผม บอกว่าทนไม่ไหว เห็นขบวนการแบ่งกลุ่มกันตามใจชอบ ถึงขั้นจะเอาคนจรจัดมาสมัคร จนต้องขู่กลับไปว่าทำแบบนี้ติดคุกนะ!” เปิดแผนโกง—ท้า กกต. เปิดหีบบัตร! สมชายเผยว่า ขบวนการฮั้วเกิดขึ้นทั่วประเทศในกว่า 40 จังหวัด ยกตัวอย่างที่ ตรัง มีคนจากอำเภอเดียวได้รับเลือกเป็น สว. ถึง 40 คน “มันโกงตั้งแต่อำเภอ!” สมชายย้ำ พร้อมชี้ว่า หีบบัตรเลือกตั้งของ กกต. คือหลักฐานสำคัญที่ต้องเปิดพิสูจน์ “ผมท้าให้ กกต. เปิดหีบบัตร ถ้าเปิดออกมา จะเห็นชัดว่ามีบัตรสามชุดที่เรียงตัวเลขเป๊ะเหมือนกันราวกับใช้โพย” เขาแจกแจงรายละเอียดต่อว่า บัตรเลือกตั้งถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1. บัตรโพย เรียงหมายเลขเหมือนกันทุกใบ 2. บัตรโหวตเตอร์กลุ่มแรก เรียงแบบเดียวกัน แต่หมายเลขไม่ตรงทั้งหมด และ 3. บัตรโหวตเตอร์กลุ่มสอง โหวตแบบล็อกไว้แล้ว สมชาย ตั้งคำถามแรงว่า “ทำไม กกต. ไม่กล้าเปิดหีบบัตร? กลัวความจริงหรือกลัวหลักฐาน?” DSI มีอำนาจดำเนินคดี ไม่ใช่แค่ กกต. สมชาย ย้ำว่า “คดีเลือกตั้งเป็นหน้าที่ กกต. แต่คดีอาญาเป็นหน้าที่ DSI” เพราะ DSI และ…
ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้โพสต์ข้อความสะท้อนปัญหาผู้สูงอายุยากจนในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นคนทั่วประเทศที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง เนื่องจากลูกหลานไม่สามารถดูแลได้ เพราะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ชีวิตที่ต้องสู้เพียงลำพัง – เงินสวัสดิการไม่พอใช้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่เพียงแค่ขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ แต่ยังต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ได้แก่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-800 บาท/เดือน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 300 บาท/เดือน และ เบี้ยคนพิการ (หากพิการ) 800 บาท/เดือน รวมแล้วผู้สูงอายุเหล่านี้มีรายรับเพียง 900-1,100 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ทั้งค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ายารักษาโรคที่ต้องซื้อเอง ในหลายพื้นที่ ผู้สูงอายุที่ไม่มีญาติต้องพึ่งรถรับส่งขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเพื่อนบ้านเพื่อไปหาหมอ ส่วนเรื่องอาหาร ถ้าวันไหนได้กินครบ 3 มื้อถือว่าโชคดี เพราะต้องอาศัยความเมตตาจากเพื่อนบ้านและ อบต.ที่ช่วยจัดหาเป็นครั้งคราว โครงการ “ครอบครัวอุปถัมภ์” – ทางรอดที่ยังไม่เพียงพอ กระทรวง พม. ได้พยายามแก้ปัญหาด้วยโครงการ “ครอบครัวอุปถัมภ์” โดยขอให้ครอบครัวในชุมชนช่วยดูแลผู้สูงอายุที่ขาดที่พึ่ง พร้อมสนับสนุนเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อเดือน ผ่านกรมกิจการผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินสนับสนุนนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินจำนวนนี้ช่วยให้มีข้าวกินทุกวัน และสามารถจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่าบ้านได้ ถือเป็นความช่วยเหลือที่ทำให้พอมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณให้โครงการนี้ได้เพียง 1,000 ครอบครัวต่อปี เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุยากจนที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกหลายหมื่นคน เตรียมระดมทุนช่วยเหลือ – วิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไข หากงบประมาณภาครัฐยังไม่สามารถขยายการช่วยเหลือได้เพียงพอ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ระบุว่า อาจต้องมีการระดมทุนผ่านการ ทอดผ้าป่าเพื่อสมทบทุนโครงการครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อให้ผู้สูงอายุยากจนได้รับการดูแลที่เหมาะสม ไม่ต้องเผชิญความหิวโหย หรือไร้ที่อยู่อาศัย ปัญหาผู้สูงอายุยากจนที่ต้องอยู่ตามลำพังเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งจากภาครัฐและสังคม เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีศักดิ์ศรีและความมั่นคง
นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เสียงข้างน้อย ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิจารณ์กระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. ชุดปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความกังขาของประชาชน โดยมีข้อร้องเรียนจำนวนมากส่งไปยัง กกต. แต่กลับถูกเพิกเฉย ขณะที่ DSI เพิ่งเข้ามาดำเนินการสอบสวนคดีนี้หลังผ่านไปกว่า 7 เดือน ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า กกต. เพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น “แฉขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. – คุมเสียงข้างมากในสภา” นันทนา ซึ่งเข้าร่วมการเลือก ส.ว. ครั้งนี้ และปัจจุบันเป็น หนึ่งในเสียงข้างน้อยของวุฒิสภา ระบุว่า เคยออกมาเปิดเผยถึง “ความผิดปกติ” ของกระบวนการเลือกตั้ง ตั้งแต่รอบประเทศ โดยระบุว่ามีการ จัดกลุ่มฮั้วกันมาเป็นก้อน อย่างเป็นระบบ และเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ พรรคการเมืองบางพรรค พร้อมชี้ว่า กลุ่ม ส.ว. ที่ได้มาจากกระบวนการนี้ กำลังถืออำนาจเหนือองค์กรอิสระ และมีบทบาทชี้ขาดในหลายประเด็นสำคัญของประเทศ การสอบสวนของดีเอสไอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ก็ต่อเมื่อ ต้องกวาดล้างทั้งขบวนการแฮกระบบทั้งหมด ตั้งแต่ผู้บงการ จนถึงผู้ร่วมปฏิบัติการทั้งหมด ไม่ต้องละเว้น ไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะเป็นอันตรายต่อระบบนิติรัฐของไทย “รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ – ต้องแก้ด่วน!” นันทนา อ้างอิงถึง มาตรา 113 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด และการออกแบบให้ ส.ว. มาจาก 20 กลุ่มอาชีพก็เพื่อสะท้อนความหลากหลายของสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการ “hack ระบบ” โดยกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมือง ใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย “จ่ายเงิน” เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือก ส.ว. และรวบอำนาจทั้งหมดในสภา “นี่คือผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่เปิดช่องให้คนกลุ่มหนึ่งยึดสถาบันนิติบัญญัติไปแบบเบ็ดเสร็จ” นันทนาระบุ พร้อมชี้ว่า พรรคที่ได้ประโยชน์จากกติกานี้ จะพยายามยื้อการแก้รัฐธรรมนูญทุกวิถีทาง เพราะไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่เพื่อปกป้องอำนาจของพรรคตนเอง นันทนานันทวโรภาส #DSIสอบฮั้วสว #กกตสอบเลือกสว #แก้รัฐธรรมนูญที่มาของสว #ฮั้วเลือกสว
ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์ถึงสิทธิ์ทำฟันของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับวงเงินเพียง 900 บาทต่อปี พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดสิทธิการรักษาทางทันตกรรมของผู้ประกันตนจึงต่ำกว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทั้งที่ทั้งสองกองทุนควรจะคุ้มครองสิทธิการรักษาพยาบาลในระดับที่ใกล้เคียงกัน สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไอซ์ รักชนก อธิบายว่า ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 54 ระบุให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับ “ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค” ซึ่งหมายความว่า โรคในช่องปากก็ควรได้รับการรักษาภายใต้สิทธิ์นี้ แต่ในความเป็นจริง กลับถูกจำกัดวงเงินเพียง 900 บาทโดยไม่มีรายการค่ารักษาที่ชัดเจนเหมือนกับบัตรทอง ขณะที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีการกำหนดรายการค่ารักษาทางทันตกรรมที่สามารถเบิกได้ พร้อมบัญชีราคากลาง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม ในทางตรงกันข้าม สิทธิ์ประกันสังคมเพียงแค่ระบุว่า “ทำฟันได้ 900 บาท” โดยไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม ส่งผลให้ผู้ประกันตนจำนวนมากต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเอง การเพิกเฉยของบอร์ดแพทย์ และผลประโยชน์ของโรงพยาบาล ไอซ์ รักชนก ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยมีมติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า การจำกัดวงเงินค่าทำฟันของประกันสังคมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสนอให้มีการปรับเพิ่มให้เทียบเท่ากับบัตรทอง แต่จนถึงปัจจุบัน บอร์ดแพทย์ของสำนักงานประกันสังคมยังคงเพิกเฉย เธอชี้ว่า คนที่มีอำนาจกำหนดสิทธิ์ของผู้ประกันตนคือ “บอร์ดแพทย์” ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีทั้งหมด 100% บอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งในสมัยของ นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งกำลังจะหมดวาระลงในสิ้นเดือนนี้ เหตุผลที่บอร์ดแพทย์ไม่ขยายสิทธิ์ทำฟันมีอยู่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ การเพิ่มสิทธิ์ทำฟันเป็นจำนวนเงินที่สูงขึ้น อาจทำให้กองทุนประกันสังคมต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงหลักพันล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงมาก แต่กลับถูกเพิกเฉย เงินจำนวนนี้ไม่ได้เป็นภาระของกองทุนประกันสังคมทั้งหมด เพราะค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายให้โรงพยาบาลเป็นระบบเหมาจ่ายรายหัวอยู่แล้ว การเพิ่มสิทธิ์ทำฟันอาจกระทบกำไรของโรงพยาบาลเอกชน งานวิจัยของสำนักงานประกันสังคมชี้ว่า หากปรับเพิ่มเพดานค่ารักษาทางทันตกรรมโดยไม่มีการกำหนดราคากลาง คลินิกเอกชนอาจปรับขึ้นราคาไปตามเพดาน ทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง นอกจากนี้ เธอยังเผยอีกว่า ปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งถึงกับซื้อโรงพยาบาลขนาดเล็กเพิ่ม เพื่อรับเฉพาะประกันสังคม เนื่องจากมีกำไรมากกว่าการรับผู้ป่วยจากกองทุนบัตรทอง แนวทางแก้ไข: ปฏิรูปสิทธิ์ผู้ประกันตน ไอซ์ รักชนก เสนอแนวทางแก้ไขในสองระดับ ได้แก่ การแก้ไขระยะสั้น – บอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระ ควรออกประกาศปลดล็อคการรักษาโรคในช่องปากโดยกำหนดเพดานราคาที่เหมาะสม…
วันนี้ (24 ก.พ.68) กลุ่มชาวนาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเดินทางมาชุมนุมหน้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อเรียกร้องมาตรการช่วยเหลือด้านราคาข้าว นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่พบปะ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของเกษตรกรและกำลังเร่งหาทางช่วยเหลือเต็มที่ นายพิชัยเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ราคาข้าว และได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ โดยมาตรการช่วยเหลือที่กำลังพิจารณาจะช่วยให้ชาวนา ได้รับเงินเพิ่มขึ้นตันละ 1,000 บาท และหากเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของตนเองจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเป็น ตันละ 1,500 บาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เตรียมนำข้อเสนอนี้เข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ “ครั้งแรกของการช่วยเหลือข้าวนาปรัง” นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือข้าวนาปรังอย่างเป็นรูปธรรม โดยข้าวที่มีความชื้น 15% จะได้ราคาต่อตันที่ 8,500 บาท และเมื่อเอาไปฝากจะได้รับค่าฝากอีก 1,000 บาท รวมเป็น 9,500 บาทต่อตัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์เตรียมเปิดจุดรับซื้อเพิ่มขึ้น พร้อมให้ราคานำตลาดอีก 300 บาท เพื่อลดภาระของเกษตรกร ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีแผน ชดเชยดอกเบี้ย เพื่อจูงใจให้โรงสีและภาคเอกชนรับซื้อข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาข้าวแห้งขยับขึ้น แตะ 9,500 บาทต่อตัน ตามที่ชาวนาเรียกร้อง มาตรการช่วยชาวนารอเคาะในที่ประชุม นบข. สำหรับเกษตรกรที่เกี่ยวข้าวไปแล้วและกังวลว่าจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ นายพิชัยระบุว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาวิธีตรวจสอบเพื่อขออนุมัติงบประมาณจากกระทรวงการคลัง โดยย้ำว่า มาตรการช่วยเหลือต้องรอบคอบ โปร่งใส และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) จะจัดประชุม โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดเตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือราคาข้าวนาปรังปี 2568 เข้าพิจารณา #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ม็อบชาวนา #ราคาข้าว #รัฐบาลเร่งช่วยชาวนา #ข้าวนาปรัง #นบข. #กระทรวงพาณิชย์