- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ออกมาโพสต์เตือนผ่านเฟซบุ๊ก “หมอหมู วีระศักดิ์” ว่า เด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม “สลัชชี่” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มเย็นที่มีลักษณะเป็นน้ำแข็งเกล็ดละเอียดผสมกับน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำไมต้องเลี่ยง “สลัชชี่” ? รศ.นพ.วีระศักดิ์ อธิบายว่าเครื่องดื่มสลัชชี่บางสูตรมีส่วนผสมของ กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งใช้เพื่อรักษาเนื้อสัมผัสของเครื่องดื่ม แต่ในเด็กเล็กอาจทำให้เกิดภาวะ กลีเซอรอลเป็นพิษ นำไปสู่อาการ เช่น หมดสติ ปวดศีรษะ และ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ข้อมูลจากงานวิจัยใน สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ พบว่า เด็กอายุเฉลี่ย 3.5 ปี จำนวน 21 คน ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใน 6 ปีที่ผ่านมา หลังจากบริโภคเครื่องดื่มสลัชชี่ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรอล แม้ว่าเด็กทั้งหมดจะฟื้นตัวได้เร็ว แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มประเภทนี้ FSA ออกคำแนะนำเรื่องการบริโภค สำนักงานมาตรฐานอาหารของสหราชอาณาจักร (FSA) ให้คำแนะนำว่า เด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ไม่ควรบริโภคเครื่องดื่มสลัชชี่ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรอล เด็กอายุ 5-10 ขวบ ควรจำกัดปริมาณการบริโภค นักวิจัยจาก University College Dublin ยังเรียกร้องให้มีการปรับปรุงคำแนะนำด้านสุขภาพให้ชัดเจนขึ้น และเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับปริมาณกลีเซอรอลในเครื่องดื่มประเภทนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง “สลัชชี่” กับ “สเลอปี้” สลัชชี่ : คำทั่วไปที่ใช้เรียกเครื่องดื่มเย็นที่มีลักษณะเป็นน้ำแข็งเกล็ดละเอียดผสมกับน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ สเลอปี้ (Slurpee) : ชื่อทางการค้าของเครื่องดื่มประเภทสลัชชี่ที่ผลิตโดย 7-Eleven ซึ่งมีสูตรเฉพาะที่ให้ความเนียนและรสชาติแตกต่าง ผู้ปกครองควรระวัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงให้เด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบบริโภคเครื่องดื่มสลัชชี่ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรอล และควรมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงของเครื่องดื่มชนิดนี้ ผู้ปกครองควรพิจารณาทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับเด็ก เช่น น้ำผลไม้สด หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีสารเติมแต่งที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่มา: เฟซบุ๊ก…
ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส นักธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน ออกมาเตือนประชาชนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากคำสั่งของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่สั่งระงับการจัดซื้อถ่านหินสำหรับ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าในราคาต่ำที่สุดในประเทศ การตัดสินใจดังกล่าวอาจทำให้ ค่าไฟเพิ่มขึ้นอีก 7-10 สตางค์ต่อหน่วย ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป เนื่องจาก กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ต้องหันไปใช้โรงไฟฟ้าก๊าซแทน ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า และต้องนำเข้าก๊าซ LNG เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 1,300 – 1,900 ล้านบาท โรงไฟฟ้าแม่เมาะ กับบทบาทในโครงสร้างพลังงานของไทย ปัจจุบันประเทศไทยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ต้นทุนเฉลี่ย 3 บาทกลางๆ ต่อหน่วย โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (โซลาร์, ลม, ขยะ) ที่มี Adder ต้นทุนอยู่ที่ 8-13 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ (แม่เมาะ) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดที่ 1.5 บาทต่อหน่วย เนื่องจาก โรงไฟฟ้าแม่เมาะมีกำลังการผลิต 2,400 เมกะวัตต์ และเป็นแหล่งพลังงานราคาถูก การระงับการจัดซื้อถ่านหินทำให้โรงไฟฟ้าต้องลดกำลังการผลิตลงเหลือ 1,285 เมกะวัตต์ เนื่องจากเชื้อเพลิงไม่เพียงพอ ต้นเหตุของปัญหา: คำสั่ง “เบรก” การจัดซื้อถ่านหิน ตรีรัตน์ ชี้ว่า คำสั่งระงับการจัดซื้อถ่านหินของ พีระพันธุ์ ทำให้ประชาชนต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่การประมูลจัดซื้อถ่านหินของ กฟผ. เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า “นายทุนใหญ่” ที่เสียผลประโยชน์จากการประมูลถ่านหินแพ้ไป ได้เข้ายื่นอุทธรณ์ ส่งผลให้ พีระพันธุ์สั่งเบรกโครงการนี้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความกังขาว่า รัฐมนตรีพลังงานมีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ ผลกระทบต่อประชาชน: ค่าไฟขึ้นแน่! การระงับการจัดซื้อถ่านหินส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่: กฟผ. ต้องใช้ ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหิน ซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้น ประเทศต้องนำเข้า LNG เพิ่มขึ้น รัฐต้องแบกภาระต้นทุนไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเดือนละ 1,300 – 1,900 ล้านบาท…
ลองจินตนาการว่าเรากำลังขับรถยนต์ที่มีความเร็วคงที่บนถนนที่มีความชันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่เพิ่มความเร็วหรือปรับเกียร์ รถของเราก็อาจจะช้าลงหรือหยุดนิ่งไปในที่สุด สถานการณ์นี้เปรียบเสมือนระบบสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไม่สามารถตามทันได้ ในปี 2568 ประเทศไทยยังคงมีการคาดการณ์ GDP เติบโตที่ประมาณ 2.8-3.0% โดยภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชนพยายามยื้อชีวิตเศรษฐกิจอยู่ แต่ลองคิดดู… ในขณะที่เศรษฐกิจอืดอาดแบบนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขกลับพุ่งขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ เริ่มต้นจากการที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพกำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว ทั้งยังต้องรับมือกับภาระจากประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาพแบบนี้จะทำยังไงดี? บางคนบอกว่าแค่เพิ่มงบประมาณก็พอ แต่คำถามคืองบประมาณที่เพิ่มขึ้นมันจะช่วยอะไรได้ ถ้าเรายังคงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับการรั่วไหลของเงินในระบบบัตรทอง โรงพยาบาลรัฐขาดทุนจนต้องขอรับบริจาคเพื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้แพทย์ต่อไป… ทำไปทำมาแทนที่จะใช้จ่ายในเรื่องของการพัฒนาสุขภาพ เรากลับต้องใช้เงินไปกับการพยุงระบบที่ไม่ยั่งยืนนี้ จากการคาดการณ์ล่าสุด ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น บัตรทองอาจจะต้องเผชิญกับการปรับลดสิทธิ์หรือการจำกัดจำนวนโรคที่รักษาฟรี หรืออาจจะต้องตัดสินใจว่า จะ “รักษาทุกคนจนล้มละลาย” หรือ “คัดกรองใครที่เหมาะสมจะรักษา” นั่นหมายถึงว่า “หลักประกันสุขภาพจะไม่ถ้วนหน้าอีกต่อไป” “งบสาธารณสุขปี 2568 เพิ่มเกือบ 9 % แต่ยังไม่พอ” จากข้อมูลของ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า งบประมาณของบัตรทองในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 8.37 % โดยเพิ่มค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายรายหัวเป็น 3,844.55 บาทต่อคน หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป เงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีก็อาจจะ ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว “ขาดดุลไม่พอ สุดท้ายบัตรทองอาจต้องลดสิทธิ์” หากไม่มีการแก้ไขปัญหา นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับระบบบัตรทอง รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล นำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะพุ่งสูง,โรงพยาบาลรัฐอาจไม่มีเงินจ่ายหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพราะงบประมาณที่ได้รับไม่พอ,รัฐบาลอาจต้องลดสิทธิบัตรทอง เช่น จำกัดโรคที่รักษาได้ฟรี หรือปรับให้ประชาชนต้องจ่ายร่วม คนรวยไม่เดือดร้อน แต่คนจนต้องแบกรับภาระมากขึ้น นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่รุนแรง ที่แย่ที่สุด อาจเกิดภาวะล่มสลายของระบบบัตรทอง เพราะงบประมาณไม่พอรองรับค่าใช้จ่ายมหาศาล และเราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยเดินไปถึงจุดนั้น “เราจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง?” ทางรอดยังมี แต่ต้องรีบลงมือก่อนที่สถานการณ์จะวิกฤตเกินเยียวยา บริหารจัดการงบประมาณสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับโครงสร้างการจัดการงบประมาณให้ลดการรั่วไหลและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ใช้เทคโนโลยีและ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลคนไข้และบริหารค่าใช้จ่าย เพิ่มแหล่งรายได้เพื่อสนับสนุนบัตรทอง เก็บภาษีเพิ่มจากสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีน้ำตาลสูง และปรับโครงสร้างจากรัฐรับผิดชอบทั้งหมด เป็นระบบให้ประชาชนจ่ายสมทบบางส่วน…
หากมีรางวัล “การลงทุนไม่ปังแต่ส่อพังในอนาคต” สำนักงานประกันสังคม (สปส.) คงเป็นตัวเต็งจากการทุ่มเงิน 6,900 ล้านบาท ซื้อตึก SKYY9 ผ่านกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (PE Trust) ในขณะที่ผู้ประกันตนหลายคนยังคงสงสัยว่าเงินที่พวกเขาส่งสมทบทุกเดือนกำลังส่งไปเลี้ยงใครกันแน่? จากเงินชราภาพสู่อสังหาฯ สุดพิศวง เรื่องนี้เริ่มต้นจากการเปิดโปงว่า สปส. ลงทุนเงินมหาศาลกับตึก SKYY9 ทั้ง ๆ ที่สำนักงานฯ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่กลับเลือกเป็นเจ้าของตึกแทนที่จะลงทุนผ่านกองทุนอสังหาฯ นอกตลาด ที่กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เหตุผลที่ยกมากล่อมผู้ประกันตน? “การลงทุนเพื่ออนาคต” ฟังดูดี แต่พอมองตัวเลขรายจ่ายแล้ว น้ำตาจะไหล เพราะแค่ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้ Trustee, Trust Manager และ Asset Manager ก็หลายสิบล้านต่อปี ยังไม่รวมภาระผูกพันอื่น ๆ ที่อาจทำให้การลงทุนนี้ไม่ได้คืนทุนง่าย ๆ งานนี้สปส.ใจป้ำสุด ๆ ในการใช้เงินกองทุนที่มาจากหยาดเหงื่อของแรงงาน “ใครเป็นเจ้าของตึกกันแน่?” ประเด็นที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งแซ่บก็คือ ตึก SKYY9 ถูกโยงว่ามีเจ้าของเดิมเป็นลูกชายนักการเมือง “ส.” ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าฝ่ายที่ถูกพาดพิงออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่มีการเอื้อประโยชน์ ทุกอย่างโปร่งใส มีการประเมินมูลค่าจากผู้ประเมินอิสระถึง 2 ราย ที่ตีราคาตึกอยู่ที่ 7,300 – 8,000 ล้านบาท ดังนั้นการซื้อที่ 6,900 ล้าน ถือว่า “คุ้มค่าและต่ำกว่าราคาประเมิน” แต่ช้าก่อน… ถ้าตึกนี้ดีจริง ทำไมนักลงทุนเอกชนไม่ซื้อไปตั้งแต่แรก? ถ้าตึกนี้คุ้มค่าต่อการลงทุน คิดหรือว่าจะตกมาถึงมือกองทุนประกันสังคม? “การลงทุนเพื่อผู้ประกันตน” หรือ “บ่อเงิน 130,000 ล้าน?” ที่น่ากลุ้มจนแทบจะต้องเอาเท้ามาก่ายหน้าผากคือ เรื่องไม่จบแค่ตึกเดียว เพราะตอนนี้มีข่าวว่า กองทุนประกันสังคมเตรียมเพิ่มวงเงินลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดจาก 10,000 ล้าน เป็น 130,000 ล้าน ลองจินตนาการดู…ถ้าตึก SKYY9 เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการทุ่มเงินไปกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีเงื่อนงำ เราจะต้องไม่ปล่อยให้กองทุนนี้อาจกำลังเดินเข้าสู่เกมที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เพราะสุดท้ายภาพทั้งหมดจะตกอยู่ที่ “ผู้ประกันตน” ที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งอะไรเลย…หรือเราควรลุกขึ้นมาเพื่อโต้แย้งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ต้องไม่ลืมว่า แม้กองทุนทั่วโลกก็ลงทุนในอสังหาฯ แต่เขามีกรอบหลักเกณฑ์บริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน ไม่ใช่สไตล์ “ซื้อก่อน…
สภายุโรป มีมติรับรองข้อมติด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับไทย หลังอภิปรายญัตติร่วมในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในไทย กรณีกฎหมายอาญามาตรา 112 และการเนรเทศผู้อพยพชาวอุยกูร์โดยมีมติประณามการส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังจีน และเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการบังคับส่งกลับไปยังประเทศที่ชีวิตของประชาชนตกอยู่ในอันตราย ด้วยคะแนน 482 เสียง ต่อ 57 เสียงและมีสมาชิก 68 รายที่งดออกเสียง พร้อมกันนี้สมาชิกรัฐสภายุโรปเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรป ใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือกดดันให้ประเทศไทยปฏิรูปกฎหมาย ม.112 ปล่อยนักโทษการเมือง ยุติการส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศ นอกจากนี้สมาชิกรัฐสภายุโรปยังขอให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เข้าถึงผู้แสวงหาที่พักพิงชาวอุยกูร์ที่ถูกกักกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อจำกัดและให้ข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับสถานะของพวกเขา และควรระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีน และย้ำว่าจีนต้องเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ ให้ความโปร่งใสเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกเขา อนุญาตให้ UNHCR เข้าถึง และปล่อยตัวผู้ถูกกักกัน ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์เฟซบุ๊กประณามสภายุโรป ที่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ไม่ว่าเรื่องอุยกูร์ หรือเรื่อง มาตรา 112 โดยบอกทั้งหมดเป็นเรื่องกิจการภายในของประเทศไทยไม่ใช่กงการอะไรของสภายุโรป พร้อมประณามคนไทยบางพวกที่ดีใจได้ปลื้ม กับการที่สภายุโรปเข้ามาวุ่นวายแทรกแซงประเทศไทย ถือเป็นพฤติกรรมทรยศชาติ หรือขายชาติ ที่ไม่อาจให้อภัยได้
เป็นความคืบหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ไต่สวนคดีกล่าวหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมจากกรณีถือครองที่ดินรัฐโดยมิชอบ จำนวน 2 รายคือ นายสงวน พงษ์มณี เมื่อครั้งเป็น สส.กรณีถือครองที่ดิน สปก.ในพื้นที่จังหวัดลำพูน และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา เมื่อครั้งเป็น สส. กรณีถือครองที่ดินจำนวน 3 แปลง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี โดยไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองได้ตามกฎหมาย โดย ป.ป.ช. อยู่ระหว่างแจ้งข้อกล่าวหา นายสงวน และ พ.ต.ท.ฐนภัทร เพื่อให้ใช้สิทธิชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตามขั้นตอน ก่อนจะสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนการไต่สวนต่อไปซึ่งยังถือว่าทั้ง 2 ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ลงมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ส่วน สส.ที่เหลืออีก 6 ราย ยังไม่มีข้อมูลความคืบหน้าการสอบสวนคดีการถือครองที่ดิน ส.ป.ก. ในขณะนี้ ซึ่งทั้งหมดถูกตรวจสอบการถือครองที่ดิน หลังเกิดกรณี ส.ป.ก. เข้าตรวจสอบที่ดินของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส. อดีตพรรคพลังประชารัฐ กระทั่งให้คืนที่ดิน และดำเนินคดี จน น.ส.ปารีณาพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยกับ The Publisher ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ยังคงดิ่งลงต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออก กองทุน Thai ESG Extra มาเพื่อรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF พร้อมให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนเดิม และ 300,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนใหม่ แต่เธอมองว่า มาตรการนี้ไม่ใช่ ‘ยาแก้ปวด’ ที่ช่วยรักษาปัญหาตลาดทุนได้จริง แต่เป็นเพียง ‘ยาแดง’ ที่แค่แต้มแล้วดูเหมือนดีขึ้น “แม้รัฐบาลจะพยายามผ่อนหนักเป็นเบา แต่คนที่ถือ LTF มาจนถึงตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็ขายไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ หากต้องแปลงไปเป็น Thai ESG Extra ก็น่าจะมีความกังวลว่ามันจะรอดหรือไม่ ทำให้เกิดภาวะแบบ ‘ดีใจชั่ววูบ’ พอหันไปมองพอร์ตตัวเองก็กล้า ๆ กลัว ๆ จนสุดท้ายตัดสินใจขายออกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในอนาคต” นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เพราะปัญหาธรรมาภิบาลยังไม่ถูกแก้ไข ศิริกัญญาระบุว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าลงทุนในกองทุน Thai ESG Extra คือ ปัญหาความโปร่งใสของบริษัทที่อยู่ในกองทุน “บริษัทเหล่านี้อาจมีเครื่องหมาย ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) แปะอยู่ แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ตัว ‘G’ หรือ Good Governance เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีมาตรการที่จริงจังในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัท” เธออธิบายว่า นักลงทุนรายย่อยที่เคยรู้สึกถูกเอาเปรียบจากบริษัทใหญ่ คงไม่อยากเข้าไปเสี่ยงอีกครั้ง เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังลังเลกับตลาดหุ้นไทย “กองทุน Thai ESG Extra ซ้ำรอยกองทุนวายุภักดิ์ ตอนแรกตลาดตอบรับดี แต่สุดท้ายก็พยุงมูลค่าตลาดไว้ไม่ได้ จนทรุดตัวลงเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน” “ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ตลาดหมี การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้!” ศิริกัญญามองว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ “ตลาดหมี” (Bear Market) มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่เธอกลับมองว่านี่คือ “จังหวะที่ดี” ในการผลักดันการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจัง “ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องรื้อกฎเกณฑ์ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การปราบปรามการปั่นหุ้น การใช้อินไซเดอร์เทรดดิ้ง การที่บริษัทขนาดใหญ่เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย เราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กับระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็ง…
ในขณะที่ภาครัฐออกมาประกาศนโยบาย “หวยเกษียณ” ที่ให้ประชาชนซื้อสลากดิจิทัล 50 บาท พร้อมความฝันที่จะได้เงินก้อนติดไม้ติดมือ รัฐบาลกำลังเดินบนเส้นด้ายที่บางเฉียบระหว่าง “ส่งเสริมการออม” หรือ “ฝึกประชาชนให้ติดการพนันตั้งแต่เด็ก?” 6.6 ล้านคนติดพนัน แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่? ประเทศไทยมี คนเสี่ยงติดพนันสูงถึง 6.66 ล้านคน! ตามข้อมูลของ ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน โดยเฉพาะ “พนันออนไลน์” และ “หวยรายวัน” กำลังครองใจคนไทย แทนที่จะกังวลว่า คนติดพนันจะหมดตัว เรากลับเห็นรัฐ เปิดพื้นที่ใหม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปลองเสี่ยงโชคแบบ “ถูกกฎหมาย” ! ลองคิดดูว่าเด็กอายุ 15 ปีที่ซื้อหวยออมเงินใบละ 50 บาท แล้วถูกแจ็กพอตขึ้นมา เขาจะเข้าใจว่าเขากำลังออมอยู่ หรือกำลังถูกฝึกให้เสี่ยงโชค? แล้วถ้าครั้งต่อไป เขาไม่ถูกล่ะ? จากหวยรัฐที่ปลอดภัย อาจกลายเป็น หวยใต้ดิน กาสิโนออนไลน์ และการพนันแบบอื่น ที่พร้อมจะเปิดรับพวกเขาทันที “สร้างนิสัยออม” หรือ “ฝึกให้ติดการพนัน?” แนวคิดการออมเงินเป็นเรื่องดี แต่การใช้หวยเป็นเครื่องมือออมเงิน เป็นตรรกะที่ผิดตั้งแต่ต้น! การออมที่แท้จริง ควรเป็นระบบที่ให้ผลตอบแทนแน่นอน และปราศจากความเสี่ยง เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุน Thai ESG Extra, หรือ การฝากเงินดอกเบี้ยสูง แต่หวยออมเงินของรัฐ คือการเดิมพันที่ผู้ซื้อต้องยอมรับความเสี่ยง ว่ามีโอกาสเสียเงินทั้งหมด ถ้าไม่ถูกรางวัล แบบนี้ต่างจากการพนันยังไง? หรือสุดท้ายแล้วแค่เปลี่ยนชื่อให้ฟังดูดีขึ้น? ถ้าอยากให้ประชาชนมีเงินเกษียณ รัฐต้องทำมากกว่าการขายฝัน ถ้าอยากให้คนออมเงิน ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือ ให้ภาษีเงินออมแบบพิเศษ จะไม่ดีกว่าหรือ? ขณะที่หลายประเทศเข้มงวดกับการควบคุมพนัน แต่ประเทศไทยกลับเปิดช่องให้เด็กอายุ 15 ปี เริ่มก้าวแรกของการพนันอย่างถูกกฎหมาย มันใช่เหรอ? …ควรหาทางออกที่การสร้างเศรษฐกิจ ไม่ใช่หวังดูดเงินประชาชนผ่านการพนันไม่ดีกว่าหรือ? ถ้ารัฐบาล คิดว่าประชาชนไม่มีเงินพอใช้หลังเกษียณจริงๆ แทนที่จะให้พวกเขาซื้อหวย ควรสร้างโครงการจ้างงานสำหรับผู้สูงอายุ หรือ เพิ่มสวัสดิการให้แรงงานแทนจะดีกว่ามั้ย? ประเทศไทยเดินหน้าสู่สังคมติดพนันอย่างเป็นทางการ? หากแนวทางแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป อีกไม่นาน ประเทศไทยอาจกลายเป็นสังคมที่การพนันถูกทำให้ดูเป็นเรื่องปกติ เยาวชนเติบโตมากับ “หวยที่อ้างว่าเป็นการออม” และมองการพนันว่า “ก็ไม่ต่างจากหวยรัฐบาล” สุดท้ายแล้ว ประเทศนี้จะเดินหน้าไปทางไหนกันแน่?…
“ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง คุณต้องกล้าเผชิญหน้ากับการตรวจสอบ” – อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดใจในรายการของ WATCHDOG กับ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดนายกฯ ในระบบรัฐสภาของไทย จึงไม่เห็นความสำคัญของการตรวจสอบจากสภาเท่าที่ควร “ผมแปลกใจมาก เราใช้ระบบรัฐสภามากว่า 50 ปี แต่ทำไมยังไม่เข้าใจว่า นายกฯ ต้องมาสภาทุกสัปดาห์เพื่อตอบกระทู้จากตัวแทนของประชาชน มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้คนมีอำนาจไม่ลุแก่อำนาจ เพื่อนชาวอังกฤษบอกกับผมว่า นายกฯ ต้องไปให้ตัวแทนประชาชน ‘จิกหัวด่า’ ทุกสัปดาห์ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในไทย กลายเป็นว่านายกฯ มาตอบกระทู้สด กลับกลายเป็นข่าวฮือฮา” อภิปรายฯ ครั้งแรกหลังเลือกตั้ง ฝ่ายค้านต้องพิสูจน์ ไม่ใช่แค่พูดลอย ๆ อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ชี้ว่า ฝ่ายค้านมีภาระหนักในการพิสูจน์ข้อกล่าวหา เพราะญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมักเริ่มต้นด้วยข้อกล่าวหารุนแรง เช่น “ไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “ขาดภาวะผู้นำ” แต่หากไม่มีข้อมูลและเหตุผลที่ชัดเจน ก็กลายเป็นแค่การกล่าวหาโดยไร้น้ำหนัก “ฝ่ายค้านต้องชี้ให้เห็นว่า นายกฯ บริหารผิดพลาดอย่างไร ล้มเหลวตรงไหน ถ้าจั่วหัวแรง ก็ต้องมีหลักฐานให้หนักแน่นกว่าเดิม ไม่ใช่พูดลอย ๆ เพราะจะทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านเอง” โดยเฉพาะประเด็นที่ฝ่ายค้านชูว่า นายกฯ อยู่ภายใต้บงการของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ชี้ว่า ฝ่ายค้านต้องมีหลักฐานว่าทักษิณมีบทบาทต่อการตัดสินใจของนายกฯ จริง “การพูดถึงทักษิณอภิปรายได้ แต่ไม่ใช่การอภิปรายทักษิณ ต้องอภิปรายว่านายกฯ ทำผิดอย่างไร ถ้าความผิดนั้นเกี่ยวข้องกับทักษิณ ก็ต้องบรรยายข้อเท็จจริง แต่ไม่ใช่ทำให้ทักษิณกลายเป็นเป้าหมายหลักของการอภิปราย” นายกฯ ต้องตอบเอง ไม่ใช่แค่ ‘อ่านโพย’ อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ย้ำว่า นายกฯ ควรอยู่ในที่ประชุมตลอดการอภิปราย เพราะหากใช้วิธี “อ่านโพย” หรือให้รัฐมนตรีคนอื่นตอบแทนโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน จะสะท้อนถึงการขาดความสามารถในการรับมือกับการตรวจสอบ “ถ้าคุณเป็นนายกฯ ที่ศึกษาและเอาใจใส่งานของรัฐบาลโดยรวม คุณต้องสามารถตอบข้อซักถามได้ ไม่ใช่แค่อ่านโพย หรือโยนให้คนอื่นพูดแทน” อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า บางประเด็นอาจให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นผู้ตอบได้ แต่ต้องอยู่บนหลักเกณฑ์ว่า นายกฯ ไม่สามารถรู้ลึกทุกเรื่อง…
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ประธานกรรมาธิการการปกครอง สภาฯเปิดเผยกับ The Publisher ถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบปางช้าง ENP มีผประโยชน์ทับซ้อนกับมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงใหม่ หรือไม่ รวมถึงการบริหารจัดการสวัสดิภาพสัตว์ การอพยพเคลื่อนย้ายที่ล่าช้ากรณีอุทกภัยจนทำให้ช้างล้มไปสองเชือก ซึ่งเดิมคาดว่าจะได้บทสรุปภายในเดือนกุมภาพันธ์ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานสรุปจากจังหวัดเชียงใหม่และกรมปศุสัตว์ ทั้งที่มีการกำหนดกรอบให้จบภายใน 15 วันตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 “ทางจังหวัดบอกว่าเหลือข้อมูลจากที่ให้สรรพากรเขตไปตรวจสอบเรื่องการเงินของบริษัทฯ กับมูลนิธิฯ ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผมออกหนังสือกมธ.ฯ ไปเร่งรัดให้จังหวัดรีบสรุปโดยเร็ว เพราะแจ้งกับกมธ.ว่าจะจบภายในมกราคม แต่ก็ยังไม่เสร็จซะที ส่วนกรมปศุสัตว์มีสองคณะ สืบหาข้อเท็จจริงเสร็จแล้วไปสู่คณะพิจารณาการกระทำผิด ยังไม่มีรายละเอียดว่าผิดเรื่องอะไรบ้าง” นายกรวีร์ กล่าวแบบเซ็ง ๆ อย่างไรก็ตามได้มีการส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมปศุสัตว์ให้เร่งรัด และรีบรายงานกลับมาที่กมธ.ฯ ด้วย เพราะล่าช้ามาหลายเดือนแล้ว ซึ่งเท่าที่ดูเดือนมีนาคมนี้ก็อาจจะสรุปไม่ได้ “ผมบอกให้เขารายงานภายใน 15 วันตั้งแต่มกราคม แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เลย คุณมีเบอร์ติดต่อทางจังหวัดมั้ย ช่วยผมไปเร่งก็ดีนะ (หัวเราะ) ลองโทรไปตามกับผู้ว่าฯ บอกกมธ.ตามเรื่องทุกเดือนเลย ทำไมท่านยังไม่ทำให้สักที น่าจะดี หรือลงข่าวว่า กมธ.รอรายงานมาสามเดือนแล้ว ยังไม่ทำสักทีก็ดีครับ ช่วยผมหน่อย “นายกรวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
