- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
รัฐบาลแต่ละประเทศเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและสินค้าเกษตรราคาผันผวน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ “แนวทางแก้ปัญหา” สหรัฐฯ รมว.เกษตร แนะประชาชนเลี้ยงไก่ แก้ปัญหาราคาไข่แพง หลังไข้หวัดนกระะบาด ฆ่าไก่ไปแล้ว 158 ล้านตัว และภาวะเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ส่วนประเทศไทย รมว.พาณิชย์ แนะเกษตรกรปลูกกล้วยแทนข้าว เพราะราคาข้าวตกต่ำ คำถามคือ นี่คือ “นโยบายที่ช่วยให้ประชาชนอยู่รอด” หรือ “แค่โยนปัญหาทิ้งให้ประชาชนแก้กันเอง?” “เลี้ยงไก่แก้ไข่แพง” vs “ปลูกกล้วยแทนข้าว” – ใครคิดมาดีกว่ากัน? กรณีของสหรัฐฯ ไข่ไก่แพงขึ้นจากปัญหาไข้หวัดนกและเงินเฟ้อ ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย การที่รมว.เกษตรแนะนำให้ เลี้ยงไก่ในบ้านเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นวิธีที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้ ถือเป็นนโยบายสนับสนุนให้ประชาชน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทันที กรณีของไทย ราคาข้าวตกต่ำ เพราะกลไกตลาด แทนที่จะหาวิธีช่วยพยุงราคาข้าว กลับแนะนำให้เปลี่ยนไปปลูกกล้วยแทน การปลูกกล้วย ต้องใช้เวลา และอาจเจอปัญหาตลาดใหม่ที่ไม่มีการรับประกัน “เลี้ยงไก่แก้ไข่แพง” อย่างน้อยประชาชนยังได้กินไข่ แต่ “ปลูกกล้วยแทนข้าว” แต่ยังไม่มีใครรับรองว่ากล้วยจะขายได้ดี นี่คือความแตกต่างระหว่าง “รัฐที่แนะประชาชนปรับตัว” กับ “รัฐที่บอกให้ประชาชนเปลี่ยนอาชีพไปเลย!” “กันงบฯ ไว้แจกเงินหมื่น…แต่ไม่มีงบฯ ช่วยชาวนา?” รัฐบาลแพทองธาร “ไม่มีงบฯ อุดหนุนข้าว” เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่มีประกันรายได้ มีแต่เงินช่วยเหลือเป็นครั้งคราวตามแต่ปัญหาและข้อเรียกร้อง แต่สามารถกันเงินไว้ แจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทถึง 500,000 ล้านบาท รัฐบาลควรมีนโยบายช่วยให้ชาวนาอยู่รอด ไม่ใช่ให้เปลี่ยนอาชีพเพราะรัฐจัดการตลาดข้าวไม่ได้! ทิ้งข้าวไปปลูกกล้วย?” ฟังดูดี แต่ปลูกแล้วขายให้ใคร? มีคำถามว่าราคาข้าวตกต่ำ” เกิดจากอะไร? ไทยขาดกลยุทธ์การส่งออกหรือไม่? รัฐบาลปล่อยให้พ่อค้ากดราคาข้าวหรือเปล่า? แนวทางแก้ปัญหาอยู่ตรงไหน? “ปลูกกล้วยแล้วขายให้ใคร?” ถ้าทุกคนเลิกปลูกข้าวแล้วไปปลูกกล้วย ตลาดกล้วยจะล้นไหม? ราคากล้วยจะตกต่ำเหมือนราคาข้าวหรือไม่? รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการขายกล้วยจริงจังหรือแค่พูดลอย ๆ? ชาวนาไม่ได้อยากเป็นเกษตรกรที่ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อย ๆ ตามราคาตลาดที่รัฐบาลบริหารล้มเหลว พวกเขาอยากมี “เสถียรภาพ” และ “ความมั่นคง” ในอาชีพตัวเอง ไม่ใช่ถูกบอกให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นตามใจนักการเมือง! วันนี้ให้ทิ้งนาข้าว ปลูกกล้วยพรุ่งนี้อาจให้ทิ้งสวนกล้วย ไปปลูกมันสำปะหลัง?จะง่ายกว่ามั้ย ถ้า “ทิ้งรัฐบาล” แม่มเลย!
จากจำนำข้าว…สู่กาสิโนแผน “ยิ่งลักษณ์” กลับไทยล่มหมอวรงค์ ชี้ “อุ๊งอิ๊งค์-ทักษิณ” เสี่ยงลี้ภัยต่างแดน
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี เปิดใจกับ The Publisher ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงกรณี ศาลปกครองสูงสุด เตรียมสรุปคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากโครงการ จำนำข้าว ภายในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่า “ศาลปกครองสูงสุด อาจพลิกคำตัดสินของศาลปกครองกลางให้ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาทขนาดคดีอาญา ยิ่งลักษณ์ยังต้องจำคุก 5 ปี เรื่องการชดใช้ค่าเสียหายก็ต้องมีความรับผิดชอบเหมือนกัน ผมสันนิษฐานว่าศาลปกครองสูงสุดน่าจะพลิกคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ให้ยิ่งลักษณ์ต้องจ่าย 3.5 หมื่นล้าน” นพ.วรงค์กล่าว เพราะต้องจ่าย 3.5 หมื่นล้าน? สงกรานต์นี้จึงไม่มี “ยิ่งลักษณ์” เมื่อถูกถามว่า ทักษิณเคยระบุถึงแผนการกลับไทยของยิ่งลักษณ์ในช่วงสงกรานต์ปีนี้ แต่สุดท้ายเลื่อนไม่มีกำหนด ที่เป็นเช่นนี้เพราะรู้ข่าววงในว่าต้องจ่ายค่าสินไหมหรือไม่ นพ.วรงค์ ระบุว่าอาจเป็นหนึ่งในปัจจัย แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย “นอกจากคดีจำนำข้าว ทักษิณก็ใช้อำนาจมากเกินไป จนประชาชนเริ่มไม่ทนกับรัฐบาลลูกสาวที่ไม่มีผลงาน การกลับไทยของยิ่งลักษณ์ไม่ง่าย เพราะไม่ใช่แค่เรื่องคดี แต่รวมถึงกระแสไม่พอใจในรัฐบาล ที่อาจทำให้เธอกลับไทยยาก” เมื่อถามย้ำว่า “กลับไทยยากหรือไม่มีโอกาสกลับไทยแล้ว?” นพ.วรงค์ถึงกับหัวเราะก่อนตอบว่า “ผมคิดว่าไม่น่าจะได้กลับ สถานการณ์ยิ่งยากขึ้น เพราะรัฐบาลนี้เริ่มเดินเกมที่ประชาชนรับไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องกาสิโน และพนันออนไลน์” ทักษิณ สทร.ทุกเรื่อง ยิ่งลักษณ์ก็เลยซวย? เมื่อถูกถามว่า “พฤติกรรมของทักษิณส่งผลต่อการกลับบ้านของยิ่งลักษณ์หรือไม่?” นพ.วรงค์ตอบว่า “แน่นอน! มันผสมผสานกัน ทั้งเรื่องคดีจำนำข้าว และพฤติกรรมของพี่ชายที่ ‘สทร.’ หรือ ‘เสือกทุกเรื่อง’ ตามที่เขาตั้งฉายาให้ตัวเอง เขาสทร.ในเรื่องที่ไม่เป็นคุณกับประชาชน ใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม อ้างเบื้องสูง แทรกแซงดีเอสไอให้ทำคดีเลือก ส.ว. จนคนตั้งข้อสังเกตกำลังสร้างรัฐตำรวจอีกแล้วใช่หรือไม่?” นพ.วรงค์ยังชี้ว่า “นายกฯ เป็นเพียงหุ่นเชิด ส่วนคนที่มีอำนาจตัวจริงก็ไม่ยอมติดคุก และนี่คือเหตุผลที่ยิ่งลักษณ์คงไม่ได้กลับไทย” เดินหน้ากาสิโน-พนันออนไลน์ จุดไฟม็อบ! นพ.วรงค์เผยว่า ขณะนี้ภาคประชาชนกำลังรวมตัวต่อต้านแผนของรัฐบาลในการทำให้กาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย โดยสามารถ รวบรวมรายชื่อประชาชนได้มากกว่า 1.6 แสนคนยื่นคัดค้านต่อรัฐบาลได้ภายในเวลาอันสั้น “กระแสต้านเรื่องนี้รุนแรงมาก เพราะมันมีแต่ประโยชน์นายทุนและนักการเมือง พวกเขาไม่เคยหาเสียงกับประชาชน ไม่เคยบอกไว้ในนโยบายพรรค แล้วจะมีสิทธิ์อะไรผลักดันเรื่องนี้?” นพ.วรงค์ย้ำว่า “ถ้ารัฐบาลยังดื้อดึง ไม่ฟังเสียงประชาชน เราจะยกระดับการชุมนุม” “รัฐบาลท้าทายประชาชนมากไป!”…
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเปิดการประชุมชี้แจงแผนการดำเนินโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลของสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง ระยะ 5 ปี (กิจกรรม Kick-off Meeting) กับที่สังคมสงสัยว่า กกต.ทำเรื่องคำร้องเลือก สว.อยู่หรือเปล่า โดยประธาน กกต.ระบุว่าคำร้อง สว.มีกว่า 500 เรื่องเป็นคำร้องที่เกี่ยวกับมาตรา 77 (1) กว่า 200 เรื่อง ทำเสร็จไปแล้วประมาณกว่า 100 เรื่อง ที่อยู่ระหว่างเข้มข้นประมาณ 150 และการสืบสวนไต่สวนต้องใช้เวลา เพราะเป็นกระบวนการเกี่ยวข้องทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ คนเกี่ยวข้องจำนวนมากและต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกร้อง ให้มีโอกาสทราบ รับรู้ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา “ที่ตรวจสอบล่าสุดมี 122 เรื่องที่มีความเข้มข้น หมายถึงผ่านคณะสืบสวนไต่สวนมาแล้ว” นายอิทธิพรกล่าว ทั้งนี้ตามขั้นตอนการพิจารณาของ กกต. นายอิทธิพลระบุ 1. คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน 20 วัน + 15 วัน + ได้อีก 15 วัน ถ้าไม่ทันขอต่อเวลากับเลขาธิการ กกต.อนุมัติ 2.สืบสวนไต่สวนจังหวัดเสร็จแล้ว 3.ผอ.สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด 4.เสนอเข้าส่วนกลาง 5.คณะอนุกรรมการฯ และ กกต.พิจารณา ประธาน กกต.บอกด้วยว่า คำร้องดังกล่าวยื่นเมื่อ 18 ก.ค. 2567 ถึงวันนี้เหลืออีก 3 เดือนกว่า ๆ ถึงจะครบปี พอครบปีเป็นกำหนดเวลาที่ กกต.กำหนดไว้เองว่าจะทำให้เสร็จภายใน 1 ปี ถ้าไม่เสร็จก็ขยายได้ถ้ามีเหตุผล ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจเช็คการทำงานได้ที่ระบบา รวมทั้งคำร้องสอบการเลือกตั้ง สส.ปี 2566 และคำวินิจฉัยต่าง ๆ ด้วย
ลพบุรี – เกษตรกรผู้ปลูกหัวไชเท้าใน นิคมสร้างตนเองลพบุรี พลิกชีวิตจากรายได้หลักหมื่นสู่หลักแสนต่อเดือน หลังได้รับคำแนะนำด้านเทคนิคการปลูกแบบใหม่ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดโดย ศ.ดร. กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) “ปลูกแบบใหม่ รายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว!” ผู้ใหญ่มนัส จากเดิมปลูกไชเท้า 50 ไร่ มีรายได้ 80,000 บาทต่อเดือน แต่หลังจากปรับเปลี่ยนวิธีปลูกตามแนวทางของนิคมสร้างตนเองลพบุรี รายได้พุ่งขึ้นเป็น 270,000 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นถึง 180,000 บาท นางสาวสายฝน เจ้าของไร่ไชเท้า 22 ไร่ เคยมีรายได้ 67,500 บาทต่อเดือน เมื่อปรับวิธีการปลูกใหม่ รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 140,000 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้น 72,500 บาท ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกหัวไชเท้าในนิคมสร้างตนเองลพบุรีได้ขยายเป็น 352 ไร่ ลองคำนวณดูว่าเกษตรกรกลุ่มนี้จะมีรายได้รวมกันมากแค่ไหน? “ความรู้ + การพาทำ = เกษตรกรรวยได้จริง!” เกษตรกรไทยสามารถออกจากวงจรความยากจนได้ และตัวอย่างของ นิคมสร้างตนเองลพบุรี คือ บทพิสูจน์ ว่าเป็นไปได้ หากมีปัจจัยสำคัญ 2 อย่าง “ความรู้ขั้นสูง” ที่เกษตรกรไม่สามารถหาได้เอง และ “การพาทำ” ของผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยกำกับติดตามและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ศ.ดร. กนก อธิบายว่า “เมื่อเกษตรกรได้สัมผัสกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากวิธีการใหม่ พวกเขาจะปฏิบัติตามอย่างมีวินัย เพราะมันคือโอกาสที่พวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน” “ปัญหาคือ ไม่มีใครลงไปช่วยเกษตรกรจริง ๆ” สิ่งที่ขวางกั้นเกษตรกรจากรายได้สูงเช่นนี้ ไม่ใช่ความสามารถของพวกเขาเอง แต่คือ “ไม่มีใครลงไปพาทำจริง ๆ” แม้แต่หน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ลงไปทำงานเชิงรุกแบบเดียวกับ ข้าราชการของนิคมสร้างตนเองลพบุรี “กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พิสูจน์แล้วว่าการทำให้เกษตรกรไทยรวย ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่มันต้องใช้ ‘องค์ความรู้ที่สอดคล้องกับพื้นที่ + การพาทำของผู้รู้จริง’” – ศ.ดร. กนก วงษ์ตระหง่าน “เกษตรกรรวยได้ ถ้ามีคนรู้จริงและมีใจช่วยจริง!” “ความสำเร็จของเกษตรกรที่นิคมลพบุรีไม่ใช่เรื่องฟลุค แต่มาจาก…
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher ซึ่งดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยเน้นไปที่กรณีที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ (คกพ.) มีมติรับเพียงคดี ฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ และให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการ แต่ไม่รับคดี ฮั้ว ส.ว. และ อั้งยี่ ซ่องโจร ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการสืบสวนครั้งนี้จะสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงหรือไม่ “รับแค่คดีฟอกเงิน แล้วคดีฮั้ว ส.ว. หายไปไหน?” นายเทพไท ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม DSI ไม่ทำให้ครบวงจร? การรับเรื่องเพียงบางส่วนอาจทำให้ประชาชนสงสัยว่า DSI สามารถสาวไปถึงการฮั้ว ส.ว. ได้จริงหรือไม่ เพราะ เป้าหมายสำคัญของประชาชน คือการล้มกระดาน ส.ว. ที่ถูกมองว่ามีการบล็อกโหวตและฮั้วผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อโยนเรื่องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการแทน ก็เกิดคำถามใหม่ว่า กกต. จะสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ เนื่องจากคดีนี้ ซับซ้อนและละเอียดอ่อน “ถ้าหาก กกต. ทำได้ ก็น่าจะทำไปนานแล้ว” นายเทพไทกล่าว พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นเกมต่อรอง ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาทางการเมือง ระหว่าง นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล กับ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม DSI รับแค่คดีฟอกเงิน เพื่อรักษาหน้าทางการเมือง แต่ไม่แตะต้องเรื่องการเลือก ส.ว. “เรื่องนี้ ตกลงกันไว้แล้วหรือไม่?” นายเทพไทชี้ให้เห็นว่า คดีฟอกเงิน อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการต่อรองทางการเมือง โดยมองว่า หากไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ การเจรจาทางการเมืองอาจไม่มีเงื่อนไขต่อรอง ดังนั้นการเลือกให้ DSI รับแค่คดีฟอกเงิน อาจเป็นกลยุทธ์ “ผูกขา” ส.ว.…
ถ้าเห็นตัวเลขเรียงกันเป็นชุดแบบนี้ คนทั่วไปอาจคิดว่า “โพยหวย” เลขเด็ดจากเซียนดัง แต่เปล่าเลย… นี่คือ “โพยฮั้ว ส.ว.” หลักฐานที่ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้สมัครเลือกตั้งวุฒิสภา ออกมาเปิดโปงกลางรายการ “คุยข้ามช็อต” เผยแพร่ทาง PPTV พร้อมชี้ว่า นี่คือขบวนการทุจริตที่กำหนดผลล่วงหน้าก่อนเลือกตั้งเพียงแค่ 1 วัน แต่แทนที่ กกต. จะเร่งตรวจสอบและยับยั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นคำพูดสุดช็อกจากเลขาธิการ กกต. ว่า “ปล่อยเค้าทำไปเถอะ!” …นี่มันอะไร? ลายแทงตัวเลขที่ไม่ได้พาไปรวย แต่นำไปสู่ความฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย คำถามคือ ทำไม กกต.จึงไม่จัดการปัญหาก่อนการเลือกสว.?มันสื่อถึงข้อตกลงลับอะไรระหว่างผู้มีอำนาจกับเครือข่ายผู้สมัครหรือไม่ และผู้บริหารสำนักงาน กกต. มีส่วนสมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่? แล้ว กกต. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? จาก “หวยล็อก” สู่ “ส.ว. ล็อก” – กลไกที่บิดเบือนประชาธิปไตย ถ้านี่เป็น โพยหวย อย่างน้อยเราก็รู้ว่า “ใครมีดวงก็ถูกรางวัล” แต่ถ้าเป็น “โพยฮั้ว ส.ว.” มันหมายความว่า “ใครมีเส้นสายก็ได้อำนาจ” สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ระบบการเลือกตั้ง ส.ว. ที่ถูกออกแบบมาให้ดู “เป็นกลาง” และ “ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง” อาจเป็นแค่ฉากหน้าสวย ๆ แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยการจัดสรรผลประโยชน์ แทนที่ ส.ว. จะเป็นตัวแทนของประชาชน กลับกลายเป็นว่า มีคนกำหนดผลโหวตล่วงหน้า แบบที่ประชาชนไม่อาจมีส่วนร่วม โพยฮั้ว ส.ว. = ระบบที่ออกแบบมาเพื่อใคร? ส.ว. ชุดนี้ ไม่ได้มาจากประชาชน แต่ใช้กระบวนการเลือกกันเองในกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งถูกวิจารณ์มาตลอดว่ามี “ช่องโหว่ให้เกิดการฮั้ว” และนี่คือ หลักฐานชิ้นสำคัญที่อาจพิสูจน์ว่า กระบวนการนี้มีการวางแผนล่วงหน้าจริง! ถ้าการเลือกตั้ง ส.ว. ถูกกำหนดผลไว้แล้วตั้งแต่ต้น – นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่คือการแต่งตั้งอำพราง สังคมต้องไม่เงียบ – ประชาชนต้องตั้งคำถาม! โพยฮั้ว ส.ว. ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะ…
การแต่งกายของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 31 กลายเป็นประเด็นร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ดรามา “รองเท้าไข่มุก” ในการพบกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ไปจนถึงภาพล่าสุดที่เธอสวม เสื้อคลุมตัวยาวลายตาราง ในขณะที่ผู้ร่วมงานคนอื่นแต่งกายอย่างเป็นทางการ คำถามสำคัญคือ นี่เป็นเพียงเรื่องบุลลี หรือเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่เธอควรใส่ใจ? “รองเท้าไข่มุก” จุดเริ่มต้นของคำถามเรื่องความเหมาะสม ก่อนหน้านี้ แพทองธารถูกวิจารณ์หนักเรื่องการใส่รองเท้าส้นเตี้ยประดับไข่มุก ขณะพบ สี จิ้นผิง ระหว่างการเยือนจีนเมื่อเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพบปะระดับผู้นำที่มีความสำคัญทางการเมือง เหตุการณ์นี้ทำให้คนตั้งคำถามว่า ทำไมนายกฯ ไทยถึงเลือกใส่รองเท้าที่ดูเป็นแฟชั่นมากกว่าทางการ? ในขณะที่นายกฯ หรือประมุขของรัฐชาติอื่นมักเลือกใส่รองเท้าที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและอำนาจ เรื่องนี้ลุกลามไปไกลจน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบว่ารองเท้าคู่นี้ และทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น iPad ได้ถูกแจ้งในบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แพทองธารตอบโต้กระแสนี้ว่า เธอไม่แคร์ที่ถูกบุลลีเรื่องการแต่งตัว โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเธอจะใส่อะไรก็ได้ที่สบายและเป็นตัวเอง คำถามคือ นี่เป็นแค่เรื่องบุลลี หรือเป็นเรื่องของความเหมาะสมในฐานะนายกฯ? “เสื้อคลุมตาราง” – สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น? ล่าสุด เธอปรากฏตัวใน เสื้อคลุมตัวยาวลายตารางสีฟ้า-ขาว ดูสบาย ๆ ในขณะที่ผู้ร่วมงานแต่งกายด้วยชุดสูททางการ ระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หากนี่เป็นแค่เรื่องสไตล์ส่วนตัว ก็คงไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือ เธอไม่ใช่ประชาชนทั่วไปหรือเป็นแค่คนรุ่นใหม่ Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเอง แต่เธอคือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่ความรับผิดชอบต่อภาพลักษณ์ประเทศต้องมาก่อนความชอบส่วนตัว หากเปรียบเทียบกับนายกฯ หญิงของประเทศอื่น ๆ เช่น อังเกลา แมร์เคิล (เยอรมนี) ที่มักแต่งกายด้วยสูทสีพื้น เพื่อสะท้อนความน่าเชื่อถือ จาซินดา อาร์เดิร์น (นิวซีแลนด์) ที่ให้ความสำคัญกับการแต่งกายให้เหมาะกับโอกาส หรือแม้แต่ คามาลา แฮร์ริส (รองปธน.สหรัฐฯ) ที่เลือกเสื้อผ้าที่แสดงถึงอำนาจและความมั่นคง ผู้นำหญิงเหล่านั้นล้วนเข้าใจว่าการแต่งกาย ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความเคารพ และการให้เกียรติคู่เจรจา การแต่งกายของนายกฯ เป็นมากกว่าเรื่องส่วนตัว…
ก่อนหน้านี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกมาบอกว่าน้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงสงกรานต์ปีนี้ แต่ล่าสุดแผนดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคคือ คดีความที่ยังคงอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจทำให้เธอต้องรับโทษจำคุก และชดใช้สินไหมมหาศาล คดีสำคัญนั้นคือ คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งขณะนี้อยู่ใน ชั้นพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยอาจทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้เงิน 35,000 ล้านบาท ย้อนคดีจำนำข้าว: จากคำตัดสินจำคุก 5 ปี สู่การลี้ภัยตลอดชีวิต โครงการรับจำนำข้าว เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกร แต่ต่อมาพบว่าเกิดการทุจริตจำนวนมาก โดยเฉพาะการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรุปว่า ทำให้รัฐเสียหายมหาศาล ในปี 2560 ศาลฎีกาฯ ตัดสินให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่ยับยั้งโครงการที่สร้างความเสียหาย และมีโทษจำคุก 5 ปีโดยไม่รอลงอาญา แต่เธอ หลบหนีออกนอกประเทศก่อนวันตัดสิน และยังคงอยู่ในสถานะผู้หนีคดีจนถึงปัจจุบัน นอกจากโทษอาญา เธอยังต้องเผชิญกับคำสั่งทางแพ่งให้ชดใช้สินไหม 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เธอ ไม่สามารถเดินทางกลับไทยได้โดยง่าย คดีชดใช้สินไหม 3.5 หมื่นล้าน: ผ่านไป 10 ปี ยังไม่มีข้อยุติ คดีสินไหมเริ่มตั้งแต่ปี 2558 แต่ยังไม่ได้บังคับใช้ ปี 2558 กระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหาย 35,000 ล้านบาท ปี 2564 ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่ง เพิกถอนคำสั่งชดใช้ โดยให้เหตุผลว่าเป็น “นโยบายของรัฐ” ที่ไม่ใช่ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงคนเดียว รัฐบาล ยื่นอุทธรณ์ ทำให้คดีเข้าสู่ ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีคำตัดสินที่สิ้นสุด คดีจะจบลงภายในปีนี้จริงหรือ? ล่าสุด นายประวิตร บุญเทียม รองประธานศาลปกครองสูงสุด ให้ข้อมูลว่า คดีสินไหมจำนำข้าวมีความคืบหน้ามาก โดยอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดมาตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าศาลปกครองสูงสุดอาจมีคำตัดสิน ภายในปีนี้…
ยังคงมีการแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องกับคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุก 2 ปี “ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต” โดยไม่รอลงอาญา จากกรณีทรูไอดีฟ้องปมอนุกรรมการฯ ทำหนังสือเตือนผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ 127 ราย ถึงพฤติกรรมของทรูไอดีที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ล่าสุดมีความเห็นจากนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ออกมาแสดงความกังวลว่าคดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะแม้ว่าการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจเปลี่ยนแปลงผลคดีในทางที่เป็นคุณต่อ “พิรงรอง” ไม่ว่าจะเป็นการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมจากคดีนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ “ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น” เมื่อกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือปิดปาก (SLAPP) นายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา คือ 1. ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ คดีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น นายสมเกียรติแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt) โดยตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษ ทั้งที่การดำเนินการของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นไปในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งก็คือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้อง ศาลฯ ต้องทำให้เชื่อว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง นายสมเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only…
เด็กไทยกำลังตกเป็นเหยื่อบุหรี่ไฟฟ้า โดยที่ผู้ใหญ่ยังเถียงกันอยู่ว่าควรแบนหรือไม่? แพทย์และนักวิชาการด้านสุขภาพกำลังส่งเสียงเตือนดังลั่น เพราะตอนนี้ EVALI (โรคปอดอักเสบจากบุหรี่ไฟฟ้า) กำลังแพร่ระบาดในไทย เด็กวัยเพียง 10 ขวบ ก็เริ่มเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว และบางรายต้องเข้าห้องไอซียูเพราะปอดเสียหายหนัก! ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมโรคและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เผยว่า มีผู้ป่วยที่เข้าข่าย EVALI ทั่วประเทศอย่างน้อย 11 ราย ในช่วงต้นปี 2568 โดยพบการแพร่ระบาดใน บุรีรัมย์ สุโขทัย และเลย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุเฉลี่ย 13-15 ปี และทุกคนซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากร้านในพื้นที่อย่างง่ายดาย EVALI: บุหรี่ไฟฟ้าทำปอดพังในไม่กี่สัปดาห์! รศ.พญ.หฤทัย กมลาภรณ์ หัวหน้าหน่วยโรคระบบหายใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า EVALI ไม่ใช่แค่โรคไอเรื้อรังธรรมดา แต่มันทำให้ปอดอักเสบขั้นรุนแรง จนอาจถึงตาย! “แค่สูบไม่กี่ครั้ง ก็เสี่ยงตายได้!” เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเต็มไปด้วยสารพิษที่ทำลายปอดโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น นิโคติน ฟอร์มาลดีไฮด์ โลหะหนัก และที่อันตรายที่สุดคือ Vitamin E Acetate ซึ่งเป็นสารเติมแต่งที่พบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้ปอดอักเสบเฉียบพลันและแลกเปลี่ยนออกซิเจนไม่ได้ เคสตัวอย่างจากต่างประเทศ หญิงอายุ 35 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าผสม THC แค่ 2 สัปดาห์ ปอดขวาพังเกือบหมด เสียชีวิตใน 5 วัน! หญิงอายุ 51 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้ากลิ่นมินต์ 2 เดือนต่อมา หายใจไม่ออก ปอดเต็มไปด้วยฝ้าขาว หมดทางรักษา! ผู้ป่วยชายอายุ 19 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าแค่ 4 วัน ไอหนัก เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ต้องเข้า ICU และใช้เครื่องช่วยหายใจ 3 เดือนเต็ม! นี่ไม่ใช่ “เรื่องเล็ก” แต่มันคือ “เรื่องชีวิต” เด็กไทยติดบุหรี่ไฟฟ้าเร็วขึ้น อาการหนักขึ้น และตายเร็วขึ้น! “อย่าคิดว่ามันเป็นของเล่น” พญ.ธญรช ทิพยวงษ์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์…
