- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
ในเพจเฟซบุ๊กของนายไพศาล พืชมงคล เผยแพร่ภาพและบทสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างเดินทางเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของ กวางโจเดลี่ โดยมีประธานกรรมการให้การต้อนรับ และสัมภาษณ์พิเศษอดีตนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ ในประเด็นความสัมพันธ์ไทยจีนครบรอบ 50 ปี และการฉลองใหญ่ในปี 2568 นี้ ตอนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ จากทางการไทย ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเป็นการขัดหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และได้รับการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์บอกขั้นตอนการส่งตัวกลับประเทศต้นสังกัด เสร็จสิ้นไปแล้ว จากนี้ไปถ้าประเทศจีนเผยแพร่ข่าวสารชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ ก็จะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แก่ผู้สนใจในประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ นายไพศาล ในฐานะเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ยังบอกด้วยว่ากำลังอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อนำคณะของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จากเครือผู้จัดการเดินทางไปมณฑลซินเกียง เพื่อเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่รัฐบาลไทยส่งกลับ และนำเสนอข่าวสภาพความเป็นอยู่ในซินเกียงเปิดเผยให้โลกรู้ โดยคาดว่าจะเป็นช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ อย่างซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องขออนุมัติต่อรัฐบาลจีน ทั้งนี้ทางสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน จะส่งกรรมการวัฒนธรรมร่วมคณะไปด้วย 2 คน เพื่อช่วยประสานงานและสนับสนุนการเดินทาง
วันนี้ (4 มีนาคม 2568) รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน (ปชน.) เตรียมเดินทางไป สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับ สิทธิและเงินของผู้ประกันตน ที่กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม ประกันสังคมควรเป็นหลักประกันของประชาชน ไม่ใช่ “กองทุนปริศนา” ที่มีแต่รัฐใช้ แต่แรงงานไม่ได้ประโยชน์เต็มที่! เพราะเงินประกันสังคม ไม่ใช่เงินของรัฐบาล ไม่ใช่ของผู้บริหาร สปส. และไม่ใช่แหล่งเงินให้ใครมาสูบเพื่อหาประโยชน์! สปส.ต้องตอบอะไรบ้าง? เงินประกันสังคม หายไปไหน? ใช้ทำอะไร?• กองทุนประกันสังคมมีเงินสะสมจำนวนมาก แต่ทำไม ผลตอบแทนต่อผู้ประกันตนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น? และกำลังเป็นกองทุนฯ ที่เสี่ยงล้มละลาย บริหารถูกทางหรือไม่?• เงินถูกนำไปลงทุนในอะไรบ้าง? ผลตอบแทนมีเท่าไหร่? ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้?• มีการนำเงินไปสนับสนุนนโยบายของรัฐที่ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ประกันตนหรือไม่? ผู้ประกันตนควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลกองทุนมากกว่านี้• ทำไมการลงทุนของ ประกันสังคมไม่มีความโปร่งใส?• ทำไมผู้ประกันตนไม่มีสิทธิ์มีเสียง ในการกำหนดทิศทางการใช้เงินของตัวเอง?• สปส. พร้อมเปิดให้ประชาชนตรวจสอบ ข้อมูลการลงทุน และงบการเงินทั้งหมด หรือไม่? “สิทธิประโยชน์” ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย?• แรงงานจ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับยังถูกตั้งคำถาม• ค่ารักษาพยาบาลภายใต้ประกันสังคม ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด ต้องรอคิวยาว ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้ ต้องจ่ายเพิ่มเอง กลายเป็นพลเมืองชั้นสามในระบบสุขภาพ• ทำไมผู้ประกันตนยังไม่ได้รับสวัสดิการที่ดีกว่านี้? สปส. ต้องตอบให้ชัด! เงินประกันสังคมเป็นของประชาชน ไม่ใช่เครื่องมือของรัฐ! ขอย้ำว่าเงินของแรงงาน ต้องเป็นของแรงงาน ไม่ใช่ของรัฐบาล…กองทุนประกันสังคม ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่กองทุนลับที่แรงงานไม่มีสิทธิ์รับรู้! และที่สำคัญ… คำตอบของ สปส. ไม่ใช่แค่การชี้แจงต่อ รักชนก ศรีนอก และ ษัษรัมย์ ธรรมบุษดี แต่เป็นการให้คำตอบต่อประชาชนทั้งประเทศ ว่าเงินที่หักจากพวกเขาทุกเดือน ถูกใช้ไปเพื่อใคร และใครได้ประโยชน์!
เมื่อวานนี้ (3 มีนาคม 2568) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ออกโรงชี้แจง หลังถูก กลุ่ม ส.ว.สำรอง กลุ่ม 10 กล่าวหาว่า เอื้อให้ผู้สมัครนำ “โพยฮั้ว” เข้าไปในสถานที่เลือกตั้ง ส.ว. ในขณะที่ สังคมตั้งคำถามต่อกระบวนการเลือก ส.ว. ว่ามีความโปร่งใสจริงหรือไม่ นายแสวงเลือกใช้แนวทาง “แจงละเอียดยิบ” โดยยก 4 ข้อโต้แย้ง ยืนยัน ไม่มีการเอื้อให้เกิดการทุจริต และการอนุญาตให้นำเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครเข้าไป เป็นไปตามระเบียบและคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ข้อกล่าวหาที่ กกต. ต้องตอบ – โพยฮั้วเลือก ส.ว. จริงหรือ? ปมดรามาร้อนแรงในสนามเลือกตั้ง ส.ว. เกิดขึ้นหลังจาก นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล ตัวแทน กลุ่ม ส.ว.สำรอง กลุ่ม 10 ออกมา ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. อาจมีการฮั้วกัน โดยกล่าวหาว่า กกต. อนุญาตให้ผู้สมัครนำ “โพย” เข้าไปในสถานที่เลือก ส.ว. ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เกิดการล็อบบี้คะแนนเสียง ข้อกล่าวหานี้ สะท้อนความกังวลของสังคม ที่จับตาดูว่าการเลือกตั้ง ส.ว. ครั้งนี้ จะโปร่งใสจริง หรือเป็นเพียงกระบวนการที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ “คนกลุ่มเดิม” คุมอำนาจต่อไป แต่ กกต. ไม่รอช้า! แสวง บุญมี โต้กลับทันทีด้วย 4 ข้อหลัก โดยยืนยันว่าข้อกล่าวหานี้ “ไม่เป็นความจริง” กกต. แจง 4 ข้อโต้ – ไม่มีการเอื้อให้ฮั้วเลือก ส.ว. 1 กฎหมายให้สิทธิ์ผู้สมัครนำเอกสารแนะนำตัวเข้าไปได้ โดยกฎหมายกำหนดให้มีเอกสารแนะนำตัวของผู้สมัคร (แบบ ส.ว. 3) เพื่อให้ผู้มีสิทธิ์เลือกได้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ อีกทั้งระเบียบ กกต. และคำพิพากษาของศาลปกครอง ยืนยันว่าการนำเอกสารนี้เข้าไปในสถานที่เลือกตั้งเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่โพยฮั้ว 2 เอกสารแนะนำตัว…
อายุ 37 ปีเท่ากัน ขึ้นเป็นนายกฯ ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว…แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ “ปัญญาและความเป็นตัวของตัวเอง” จุดที่เหมือนกันของผู้นำหญิงทั้งคู่คืออายุ ที่ขึ้นสู่การเป็นนายกฯ ในวัย 37 ปีเหมือนกัน Jacinda Ardern ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ในปี 2017 ส่วน แพทองธาร เป็นนายกฯ ในปี 2024 และที่บังเอิญเหมือนกันอีกอย่างคือ “มีลูกอ่อน” ขณะดำรงตำแหน่ง จุดต่างที่เป็นตัววัด “ของจริง” กับ “เงาของพ่อ” Jacinda Ardern ไม่ได้มีใครคอยชักใย หรือได้อำนาจมาเพราะสายเลือด แต่ได้มาด้วยความสามารถล้วน ๆ ไต่เต้าจากการเริ่มต้นเป็นนักการเมืองธรรมดาในพรรคแรงงาน (Labour Party) ไม่มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง พิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถ จนได้รับการยอมรับจากประชาชน เพราะแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน “เธอเป็นตัวจริง ไม่ใช่ ตัวแทนของใคร” แตกต่างจาก แพทองธาร ที่ได้มาเพราะนามสกุล เกิดมาในตระกูลชินวัตร ถูกผลักดันให้เป็นนายกฯ ตามรอยพ่อ อาเขย และอาสาว ไม่เคยมีประสบการณ์การเมือง ไม่เคยพิสูจน์ความสามารถให้ประชาชนเห็น เป็นผู้หญิงที่เติบโตในเงาของพ่อ และเมื่อวันหนึ่งพรรคของพ่อได้จัดตั้งรัฐบาล เธอก็ถูกผลักดันเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองในสนามการเมืองอย่างแท้จริง ทำให้ถูกมองว่าเป็น “เงาของพ่อ” มากกว่าผู้นำที่แท้จริง ผู้นำที่ตัดสินใจเอง VS หุ่นเชิดของพ่อ จุดที่แตกต่างที่สุดของทั้งสองคนนี้ คือ ความเป็นอิสระทางการเมือง Jacinda Ardern เป็นนายกฯ ที่ตัดสินใจเอง เดินเกมเอง นำพาประเทศตามแนวทางที่เธอวางไว้ ไม่ต้องมีใครกำกับบท หรือรอให้ใครมากำหนดทิศทาง เป็นผู้นำพรรคและเป็นนายกฯ โดยไม่มีใครคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ทุกความเคลื่อนไหวของ แพทองธาร เต็มไปด้วยเงาของ “พ่อ” ทุกนโยบายสำคัญต้องผ่านการพิจารณาจาก “พ่อ” ที่ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล ทุกการตัดสินใจสำคัญถูกมองว่ามี “พ่อ” คอยบงการ บริหารประเทศด้วยสมอง VS เป็นแค่ตัวแทนของ “พ่อ” ในช่วงเวลาที่เธอเป็นนายกฯ Jacinda Ardern เผชิญหน้ากับวิกฤติระดับโลกอย่าง COVID-19 และบริหารจัดการนิวซีแลนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เธอนำพาประเทศผ่านช่วงเวลายากลำบากด้วยนโยบายที่แข็งแกร่งและเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้นำที่เปิดกว้างกับประชาชน ใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารโดยตรง ไม่เล่นเกมการเมืองแบบเก่า…
“อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเวทีที่ดี ที่ประชาชนจะเข้าใจข้อมูลที่แท้จริง และจะได้เข้าใจดิฉันด้วยค่ะ ดิฉันเป็นนายกฯ Gen Y บางทีเราไม่เคยมีนายกฯ Gen Y จะได้เข้าใจซึ่งกันและกัน” เป็นความมั่นหน้าของนายกฯ ในการขยายประเด็นที่คิดว่าเป็นจุดขาย นายกฯ Gen Y ฟังดูเหมือนจะดี แต่อาจกลายเป็น “นายกฯ Gen Why Not?” เป็นผู้นำที่ไม่ได้มีคำตอบอะไรในการแก้ปัญหาประเทศเลย แต่ยังทำหน้าที่ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงได้เป็นนายกฯ? ตั้งแต่เข้าสู่เส้นทางการเมืองจนรับตำแหน่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกโปรโมตว่า เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ เข้าใจโลก เข้าใจประชาชน เข้าใจปัญหาของยุคสมัย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป คำว่า” Gen Y “กำลังกลายเป็น” นายกฯ WHY? “ทำไมถึงได้เป็นนายกฯ? แต่คำตอบที่ได้อาจเป็น” Why not? ก็บารมีพ่อไง ทำไมถึงจะไม่ได้?” นี่ยังไม่รวมคำถามอื่น ๆ ที่ว่า ทำไมไม่มีความสามารถโดดเด่นแต่ได้บริหารประเทศ? ทำไมปัญหาเดิม ๆ ของประเทศยังไร้ทางออก? และที่สำคัญ ทำไม” พ่อ “ต้องเป็นคนกำหนดทิศทางทุกอย่าง? สุดท้ายแล้ว…ประชาชนไร้ทางเลือก ทำได้เพียงยอมรับว่า” Why Not? เขาเล่นกันแบบนี้” เจน Y หรือแค่หุ่นเชิดของ” พ่อ “เบบี้บูม! ถ้าแพทองธาร เป็นนายกฯ Gen Y อย่างปากว่า ก็ควรเป็นผู้นำที่มีแนวคิดก้าวหน้า กล้าปฏิรูปประเทศ กล้าตัดสินใจเพื่อประชาชน แต่เมื่อไล่ดูวิธีการบริหาร กลับพบว่า “นายกฯ Gen Y” คนนี้ มีบทบาทเพียงหน้าฉากจากการเชิดของผู้เป็นพ่อที่อยู่หลังม่านเท่านั้น แทบทุกการตัดสินใจสำคัญมีชื่อ “พ่อ” ปรากฏเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรัฐมนตรี นโยบายเศรษฐกิจ หรือแม้แต่แนวทางบริหารประเทศ ทุกอย่างเหมือนต้องรอให้ “พ่อ” พูดก่อน แล้วจึงเดินตาม ถ้าเป็นแบบนี้ จะเรียกว่านี่คือนายกฯ ของประชาชนได้หรือ? นี่ไม่ใช่ผู้นำของคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็น เพราะภาพปรากฏชัดเป็นเพียง” เครื่องมือของพ่อที่รอการชักใย “เท่านั้น WHY?…
“พิชิต” เตือนไม่อยากพัง เลิกดัน “กาสิโน” บรรยากาศการเมืองเดือนมีนาคมร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ประกาศนำมวลชนปักหลักชุมนุมที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2568 เป็นต้นไปโดยไม่มีกำหนดวันยุติการชุมนุม เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านนโยบาย” กาสิโน “และ” พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย “ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในสังคม รวมถึงการติดตามปมชั้น 14 ป่วยทิพย์ ที่แพทยสภาจะสรุปข้อร้องเรียนจรรยาบรรณแพทย์ที่เกี่ยวข้องด้วย เขาให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร ยืนยันว่า การชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีแนวคิดบุกทำเนียบรัฐบาล ไม่มีการรุกล้ำพื้นผิวจราจร จึงไม่เชื่อว่าจะมีการร้องต่อศาลฯ ให้มีคำสั่งยุติการชุมนุมเหมือนในอดีต เพราะไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขการชุมนุม คปท.เตือน ดื้อดันกาสิโน เร่งจุดไฟม็อบ นายพิชิต ส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลว่าหากไม่ฟังเสียงประชาชน ดึงดันจะเดินหน้า กาสิโน พนันออนไลน์ถูกกฎหมายต่อ จะยิ่งเร่งปฏิกิริยาความไม่พอใจของประชาชน จนอายุรัฐบาลสั้นลง ไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้ เพราะภาคประชาชนติดตามใกล้ชิด พร้อมยกระดับเงื่อนไขการชุมนุม” เรื่องกาสิโน และพนันออนไลน์ เป็นหัวเชื้อสำคัญที่จะทำให้การเมืองร้อนระอุ และอย่าลืมว่ายังมีเรื่องป่วยทิพย์ชั้น 14 ที่กำลังจะได้ข้อสรุป รวมถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เดือนมีนาคมนี้จะเป็นเดือนเช็กบิล ที่อุณหภูมิการเมืองจะร้อนไม่แพ้อากาศ” เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงกระแสต่อต้านจากภาคประชาชนว่า กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในแต่ละวันมีผู้ร่วมลงชื่อคัดค้านนับหมื่นคน” อย่าปรามาสหรือประมาทพลังของประชาชน รัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยคิดว่า จะไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ ไม่มีการชุมนุมของประชาชน ก็เกิดการชุมนุมใหญ่ของ กปปส. และสุดท้ายถ้ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจวันเดียว เหมือนเป็นการปิดการรับรู้ของประชาชน จะยิ่งทำให้ประชาชนอึดอัด แค่แสดงออกในโซเชียลจะไม่พอแล้ว แต่จะมีการแสดงออกบนท้องถนนแทน” “ฟังประชาชนให้มากกว่าเสียงพ่อ!” แกนนำ คปท. กล่าวด้วยว่า จากการประเมินการมีส่วนร่วมของเครือข่ายทั่วประเทศ พบว่าทุกพื้นที่มีความพร้อมถ้าหากมีการระดมมวลชนครั้งใหญ่ และตอนนี้ไม่ใช่แค่พลังของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีพลังของผู้นำศาสนาทั้งคณะสงฆ์ และผู้นำมุสลิม ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นเดียวกัน เครือข่ายคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องกาสิโน และพนันออนไลน์ถูกกฎหมายจะยิ่งขยายตัวออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ” ผมฝากถึงคุณอุ๊งอิ๊งค์อย่าฟังแต่พ่อ ให้ฟังเสียงประชาชนให้มาก ที่ผ่านมาเธอบอกให้พี่น้องประชาชนฟังรัฐบาลเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า ไม่ได้มีแค่กาสิโน มีโรงแรม มีที่แสดงคอนเสิร์ต แต่คุณอุ๊งอิ๊งค์กลับไม่เคยฟังเสียงพี่น้องประชาชนเลย เพราะถ้าฟังเสียงประชาชนจะรู้ว่า เขาไม่ได้คัดค้านโรงแรม การแสดงคอนเสิร์ตแต่ค้านกาสิโนซึ่งเป็นหัวใจหลักที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ไม่ว่าจะเป็น…
การเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะไร้เสถียรภาพที่เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชน แต่เป็นผลพวงที่ถูกครหาว่ามี “ดีลพิเศษ” จนเกิดการข้ามขั้ว ตามมาด้วยการบริหารเพื่อประโยชน์พวกพ้อง ส่งผลร้ายแรงต่อหลักนิติรัฐและความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย นี่คือบทสรุปที่ได้จากการสัมภาษณ์นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสส. ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” เขาชี้ให้เห็นว่า พรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ล้วนมีแผล เต็มไปด้วยการต่อรอง และเจตจำนงในเรื่องผลประโยชน์ ส่วนประชาชนถูกปล่อยให้เผชิญปัญหาไปตาม “ยถากรรม” “ผมคิดว่าเป็นเรื่องอัปยศที่นายกฯ ไม่ได้ถูกเลือกจากคนที่มีวุฒิภาวะ แต่เป็นผลจากบารมีพ่อ บริหารประเทศมาระยะหนึ่งแล้วก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่านายกฯ ไม่มีความสามารถจะเป็นนายกฯ ได้ เลยทำให้สถานการณ์ประเทศทรุดอยู่ในเวลานี้ ทุกคนในรัฐบาลเข้ามาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่ได้เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เราได้นักการเมืองที่ไม่มีหัวใจประชาชนมาบริหารประเทศ แม้พรรคเพื่อไทยจะมีสโลแกนว่า พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน แต่ก็เป็นเพียงแค่คำขวัญเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงบริหารงานแบบปล่อยประชาชนไปตามยถากรรม” นายสาทิตย์ ยังชี้ด้วยว่า ดีลลับระหว่างขั้วอำนาจการเมืองกำลังฉุดให้ประเทศวิกฤตหนักกว่าที่เคยเป็น ทั้งการละเลยปัญหาเศรษฐกิจ การแทรกแซงองค์กรอิสระ รัฐบาล “ชนักติดหลัง” ปชช. “วังเวง” “ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นชัดว่าแต่ละฝ่ายที่เป็นรัฐบาลต่างคนต่างมีแผล ทั้งเขากระโดง ชั้น 14ไปจนถึงฮั้วสว. หลักนิติรัฐ นิติธรรมถูกทำลายไปตั้งแต่เรื่องชั้น 14 คุกทิพย์แล้ว แม้แต่เรื่องฮั้วสว.ด้วย ก็กลายเป็นการแลกเปลี่ยนเพราะต่างฝ่ายต่างมีแผล แต่ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้รับการแก้ไข อาการประเทศวิกฤตมากในความเห็นผม แย่สุดคือองค์กรอิสระ เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ถูกแทรกแซงครอบงำโดยฝ่ายการเมือง ไม่สามารถเป็นหลักให้บ้านเมืองได้ เช่น กกต.มี ไม่มีเท่ากัน ยุบไปเลยก็ได้ กกต.ประเทศนี้ รวมถึง ป.ป.ช.ที่กำลังมีประเด็นถูกครหา ทุกอย่างดูวิกฤตในความมีหลักมีเกณฑ์ของประเทศที่หายไปหมด” นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข เช่น การรุกเข้ามาของจีน ในเมืองท่องเที่ยวจะมีบริษัทเถื่อนเข้ามารับงานแบบครบวงจร แต่รัฐบาลไม่เคยแม้แต่จะพูดถึง และยิ่งไม่เห็นแนวทางในการแก้ปัญหา นี่คือตัวอย่างที่ชาวบ้านต้องปล่อยไปตามยถากรรม เพราะการเมืองเป็นหลักไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อนสภาพเช่นนี้จะเกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน แต่ตอนนี้ไม่เกิด เพราะดีลลับไปทำลายสมดุลที่มีอยู่เดิม การข้ามขั้วทางการเมืองทำให้ประชาชนผิดหวังกับนักการเมือง ช็อกกับการที่การเมืองสองฝั่งจับมือกัน จนไม่รู้จะเชื่ออะไร จะอยู่ฝ่ายไหนดี แต่จะสะสมความคับข้องใจของประชาชนให้มีมากขึ้น แต่อาจยังไม่ถึงจุดระเบิด ต่อรองเพลิน เมิน ปชช. ปล่อยตาม “ยถากรรม” ส่วนที่จะเป็นชนวนจริง ๆ น่าจะเป็นปัญหาปากท้อง เช่น ข้าวราคาตกต่ำ…
วันนี้ 3 มีนาคม ที่รัฐสภา นายประดิษฐ์ พราหมณ์จินดา ตัวแทนจากภาคประชาชน ได้ยื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เพื่อขอให้มีการตรวจสอบจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกี่ยวกับข้อกล่าวหาการ “ฮั้ว” หรือการร่วมมือในการเลือกตั้ง สว. ปี 2567 ที่ผ่านมาซึ่งทำให้เกิดความสงสัยในความโปร่งใสของกระบวนการเลือกตั้งดังกล่าว นายประดิษฐ์ได้กล่าวว่าเขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง สว. ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ รวมถึงความไม่พอใจในความโปร่งใสของการคัดเลือกสมาชิกสภาฯ และการใช้เงินภาษีของประชาชนในการดำเนินการดังกล่าว โดยเรื่องนี้ได้ถูกเงียบไปเป็นระยะเวลา 7-8 เดือน ก่อนที่จะมีการยื่นเรื่องใหม่โดยกลุ่ม สว. สำรอง ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับเป็นคดีพิเศษ นอกจากนี้ นายประดิษฐ์ยังได้ติดตามการประชุมของ DSI เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อหารือเกี่ยวกับคดีนี้ แต่การประชุมได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 6 มีนาคม 2568 ซึ่งเขาหวังว่าทาง DSI จะรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ นายประดิษฐ์กล่าวว่า ได้เห็นทั้ง 1,200 รายชื่อ ซึ่งตอนนี้เข้าข่ายเป็นพยาน ในการเข้าข่ายเป็นพยานท่านไม่ใช่ผู้ต้องหา เพราะฉะนั้นโอกาสที่ท่านจะเป็นพยานให้ข้อมูลที่ถูกต้อง จะเป็นโอกาสที่ดี พร้อมทั้งมีความเสียดายในหลายรายชื่อที่มีทั้งคนที่รู้จักและเคารพนับถือถ้าเป็นการพิสูจน์ตัวตนในครั้งนี้ จะสามารถพิสูจน์ความสง่างามของท่านได้ จึงอยากให้ท่านโปรดสนับสนุนให้DSI รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษด้วย
เนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค ลุงเนวิน ขอบคุณแฟนๆ และบอกลาครั้งสุดท้ายกับ Thai moto GP หลังจากที่ตนได้ทราบข่าวจาก การกีฬาแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการว่าทางรัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขัน moto GP ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย ซึ่งการแข่งขันนี้เป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดในโลก และเป็นรายการกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่งของโลก เกือบ 1,000 ล้านคน จากการถ่ายทอดสดไปมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้จัดการแข่งขัน ในนามของรัฐบาล จัดแข่งขันในประเทศไทยมากว่า 7 ปี ในแง่ของการลงทุน รัฐบาลลงทุนไม่เกินปีละ 500 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และสร้างเงินทุนหมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า 5,000 ล้านบาท เนวิน ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันสร้างThai GP ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ย้ำ เสียดาย แต่ต้องยอมรับการพิจารณาของรัฐบาล
กระแสคัดค้านการตั้งบ่อนกาสิโน ในร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่กำลังเริ่มคุกรุ่นและร้อนแรงขึ้นในขณะนี้ ดูเหมือนรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนักเมื่อเปรียบกับตัวร่างกฎหมายที่ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาและกำลังจะเข็นเข้า ครม.ประมาณ 11 มีนาคมนี้ เพราะหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการ “กาสิโน” ที่ถูกตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาทต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน นี่จึงเป็นจุดตัดสำคัญในการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าว ข้อกำหนดเรื่องเงินฝาก 50 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองผู้เข้าใช้บริการกาสิโนให้เป็นกลุ่มผู้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง เพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากการพนัน เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว และปัญหาอาชญากรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันการฟอกเงินและการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกาสิโน ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันในสังคม ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่าอย่างน้อยเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบทางสังคม ด้วยวิธีจำกัดการเข้าถึงของประชาชนทั่วไป ป้องกันปัญหาทางสังคมเพิ่มมากขึ้น เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว และปัญหาอาชญากรรม ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า เป็นการกีดกันประชาชนทั่วเข้าไปใช้บริการสถานบันเทิงครบวงจร และอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนที่ถูกมองว่ามีกฎเกณฑ์เข้มงวดเกินไป จนนักลงทุนลังเลที่จะลงทุนในสถานบันเทิงครบวงจร หากมีข้อจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้บริการ รวมถึงนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ที่เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าวมีหลักคิดแตกต่างจากรัฐบาล เพราะที่รัฐบาลดำเนินการ นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงการลงทุนจากต่างชาติแล้ว ที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมายด้วย เพราะคนไทยที่มีเงินฝากเกิน 50 ล้านบาทมีประมาณ 1 หมื่นบัญชี แปลว่าจะดันคนกลุ่มหนึ่งที่ปัจจุบันไปเล่นตามชายแดน และเล่นในลักษณะผิดกฎหมายออกไปแทนที่จะดึงเข้าสู่ระบบ ดังนั้นประชุม ครม.นัดที่จะนำร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…เข้าพิจารณา (คาดว่า 11 มีนาคม) จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของสังคมไทย จึงไม่แปลกที่กลุ่ม คปท.ปักหลักชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเร่งกระแสสังคมออกมาคัดค้านรัฐบาลที่กำลังผลักดันกฎหมายฉบับนี้ อย่างน้อยการประเด็นเงินฝากประจำต่อเนื่อง 50 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขร่างของรัฐบาลจะเป็นจุดตัดสำคัญ ที่ทำให้การเข็นกฎหมายฉบับนี้ออกมาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้านที่สุด โดยเฉพาะผลกระทบด้านสังคมที่ประเมินค่ามิได้ เพราะนับแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะมีหน้าตาที่แตกต่างไปจากที่เราเห็นทุกวันนี้แน่นอน
