Author: Writer Publisher

“นี่คือความเละเทะที่ กกต. ปล่อยปละละเลย!” อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ เปิดใจผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher โดยมี “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” เป็นผู้ดำเนินรายการ ตอกย้ำว่า ขบวนการฮั้วเลือก สว. ครั้งนี้เต็มไปด้วยพิรุธ ตั้งแต่ระดับอำเภอ มีการจ้างโหวตกันตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท สมัครมาเพื่อเป็นฐานเสียงให้คนที่ถูกล็อกไว้แล้ว “หมอนวดแผนโบราณไปสมัครกลุ่มแพทย์ เด็กปั๊มไปอยู่ในกลุ่มพลังงาน ถ้ายึดหลักคิดนี้ ยามก็สมัครกลุ่มมั่นคงได้” สมชาย กล่าวเชิงประชด พร้อมยกตัวอย่างว่าผู้สมัครจำนวนมากถูกจัดฉาก เซ็นรับรองกันเอง ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติจริงจัง คนรับจ้างสานเข่งปลาทูยังสมัครเข้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรม “ปลัดอำเภอบางคนถึงกับโทรหาผม บอกว่าทนไม่ไหว เห็นขบวนการแบ่งกลุ่มกันตามใจชอบ ถึงขั้นจะเอาคนจรจัดมาสมัคร จนต้องขู่กลับไปว่าทำแบบนี้ติดคุกนะ!” เปิดแผนโกง—ท้า กกต. เปิดหีบบัตร! สมชายเผยว่า ขบวนการฮั้วเกิดขึ้นทั่วประเทศในกว่า 40 จังหวัด ยกตัวอย่างที่ ตรัง มีคนจากอำเภอเดียวได้รับเลือกเป็น สว. ถึง 40 คน “มันโกงตั้งแต่อำเภอ!” สมชายย้ำ พร้อมชี้ว่า หีบบัตรเลือกตั้งของ กกต. คือหลักฐานสำคัญที่ต้องเปิดพิสูจน์ “ผมท้าให้ กกต. เปิดหีบบัตร ถ้าเปิดออกมา จะเห็นชัดว่ามีบัตรสามชุดที่เรียงตัวเลขเป๊ะเหมือนกันราวกับใช้โพย” เขาแจกแจงรายละเอียดต่อว่า บัตรเลือกตั้งถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1. บัตรโพย เรียงหมายเลขเหมือนกันทุกใบ 2. บัตรโหวตเตอร์กลุ่มแรก เรียงแบบเดียวกัน แต่หมายเลขไม่ตรงทั้งหมด และ 3. บัตรโหวตเตอร์กลุ่มสอง โหวตแบบล็อกไว้แล้ว สมชาย ตั้งคำถามแรงว่า “ทำไม กกต. ไม่กล้าเปิดหีบบัตร? กลัวความจริงหรือกลัวหลักฐาน?” DSI มีอำนาจดำเนินคดี ไม่ใช่แค่ กกต. สมชาย ย้ำว่า “คดีเลือกตั้งเป็นหน้าที่ กกต. แต่คดีอาญาเป็นหน้าที่ DSI” เพราะ DSI และ…

Read More

กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักในโลกออนไลน์ เมื่อเพจ ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย มีการเปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้จัดซื้อ “ผ้าคลุมควบคุมเพลิงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV)” ในราคาชุดละ 165,000 บาท รวมทั้งหมด 49 ชุด โดยเป็นโครงการของ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ด้วยงบประมาณ 8,085,000 บาท ทางเพจฯ ได้ตรวจสอบใน TOR ระบุว่า 1ชุดประกอบด้วย ผ้าคลุมสองผืนขนาด 6 คูณ 9 เมตร 1 ผืน และ 8 คูณ 10 เมตร 1 ผืนทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 1,000 องศาเซลเซียส โดยนำไปเทียบราคามารตรฐานในตลาด เช่น มาตรฐานของ SCG รุ่น standard ทนความร้อน 1,000 องศา อยู่ที่ราวผืนละ 21,000 บาท เท่ากับซื้อแพงกว่าราคาตลาด 7.86 เท่าหรือเกือบ 8 เท่าเลยทีเดียว อุปกรณ์จำเป็นหรือแพงเกินไป? การจัดซื้อผ้าคลุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ควบคุมเพลิงกรณี เกิดไฟไหม้ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งอาจเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการดับเพลิง เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถเผาไหม้ต่อเนื่องและเกิดการปะทุได้ อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยราคาผ้าคลุมที่สูงถึง 165,000 บาทต่อชุด ทำให้เกิดคำถามในสังคมว่า ราคานี้เหมาะสมหรือไม่ และมีการตรวจสอบเปรียบเทียบราคากับอุปกรณ์ลักษณะเดียวกันจากต่างประเทศหรือไม่ กระแสสังคมแตกเป็นสองฝั่ง ฝ่ายที่เห็นด้วย มองว่า การมีอุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับรถ EV เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มมีมากขึ้นในไทย และมีความเสี่ยงเรื่องอัคคีภัยจากแบตเตอรี่ที่ดับยาก ส่วนฝ่ายที่คัดค้าน ตั้งข้อสงสัยว่า ราคาดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่ มีการตรวจสอบราคากลางหรือเปรียบเทียบราคากับมาตรฐานสากลหรือไม่ กทม. ต้องชี้แจงความโปร่งใส ขณะนี้ประชาชนกำลังเรียกร้องให้ กทม. ออกมาชี้แจงถึงที่มาของราคานี้ ว่ามีความโปร่งใสและเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาครัฐต้องใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ เป็นอีกหนึ่งเรื่องฉาวกับข้อกังขาอาจมีการทุจริตที่เกิดขึ้นอีกครั้งในยุค ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม.

Read More

หลายคนสงสัยทำไมคนไทยต้องติดตามการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะลดหรือคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.25 % และกำลังจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ ชวนคิดง่าย ๆ ลองนึกภาพดู สมชาย พ่อค้าร้านโชห่วยในชุมชน กู้เงินมาลงทุนเปิดร้านเล็ก ๆ หวังขายของเลี้ยงครอบครัว พอแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนการกู้เงินของเขาก็สูงขึ้น ทำให้กำไรน้อยลง ไหนจะค่าของแพงขึ้น ลูกค้ามีเงินน้อยลง พ่อค้าอย่างเขาก็แย่ไปตามกัน ในทางกลับกัน คุณยายสมพร ที่เก็บเงินไว้ในบัญชีหวังดอกเบี้ยเล็ก ๆ น้อย ๆ พอดอกเบี้ยสูงขึ้น คนมีเงินออมก็ยิ้มได้ แต่ถ้าต้องกู้เงินมาใช้ล่ะ? คนกู้ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นไปอีก เป็นสองมุมที่มีทั้งบวกและลบกับการขึ้นลงของดอกเบี้ย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการประชุม “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (26 กุมภาพันธ์) ถึงเป็นเรื่องที่คนไทยควรจับตามอง กนง. จะลดดอกเบี้ยตามแรงกดดันรัฐบาลหรือไม่? ตอนนี้รัฐบาล ไล่ตั้งแต่นายกฯ ไปจนถึงรมว.คลัง ต่างก็พยายามกดดันให้แบงก์ชาติ “ลดดอกเบี้ย” เพราะเชื่อว่าจะช่วยดันให้ GDP โตขึ้นได้ หลังรั้งท้ายอาเซียนในปี 2567 และทำท่าจะรั้งท้ายต่อไปในปี 2568 โดยเหตุผลที่รัฐบาลอยากลดดอกเบี้ย เพราะ ดอกเบี้ยถูกลง = คนกู้เงินได้ง่ายขึ้น,ธุรกิจลงทุนมากขึ้น = เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น และคนเป็นหนี้จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง = หนี้ครัวเรือนอาจลดลง แต่! กนง. มองว่าดอกเบี้ยเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังมีเรื่องเงินเฟ้อ หนี้เสียของธนาคาร และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต้องคำนึงถึง โดยยึดเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นสำคัญ แล้วดอกเบี้ยจะลดไหม? โอกาสเป็นอย่างไร? จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลายฝ่ายมองว่าในการประชุมครั้งนี้ กนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% เพราะเศรษฐกิจไทยยังโตตามคาด แม้จะไม่หวือหวา เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อีกทั้งยังต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยสูงในต่างประเทศ จึงต้องเตรียมเครื่องมือทางการเงินไว้รองรับในยามฉุกเฉิน ไม่ใช่งัดออกมาใช้หมด แต่โอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ยังมี!ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปีนี้อาจมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง หากเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาด หรือหนี้ครัวเรือนสูงจนกระทบการใช้จ่ายของประชาชน แล้วประชาชนต้องเตรียมตัวอย่างไร? ถ้าดอกเบี้ยคงที่ คนที่มีหนี้บ้าน หนี้รถ ควรจัดการหนี้ให้ดี เพราะดอกเบี้ยยังอยู่ระดับสูง ถ้าดอกเบี้ยลด อาจเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่คิดจะกู้เงินเพื่อธุรกิจหรือซื้อบ้าน คนมีเงินออม ถ้าดอกเบี้ยลด…

Read More

ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์เรื่องนี้ในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง สรุปว่าจะตอแหลหรือไม่ตอแหลเท่านั้น ………อาจจะเป็นนิมิตที่ดีประเทศไทย ที่จะไม่มีกาสิโน และการพนันถูกต้องตามกฎหมาย โดย ม.จ.จุลเจิม นำข้อความจากการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อประชาชนชาวจังหวัดยะลา ที่บ้าน ศรีวรา เมื่อ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 เนื้อหาตอนหนึ่ง ถึง ความจงรักภักดีต่อสถาบันและประเทศชาติ ว่า “ผมได้รับพระบรมราชโองการ ลดโทษก็ทรงระบุชัดในพระบรมราชโองการว่า ผมต้องใช้ความรู้ความสามารถมาช่วยบ้านเมือง ถ้าอยู่เฉยๆ แสดงว่าผมไม่จงรักภักดี ผมเป็นคนจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อยากทำงานให้บ้านเมืองโดยที่ไม่ต้องมีหน้าที่อะไร เพราะความสำนึกมันมีความสำนึกเป็นคนไทย สำนึกเป็นอดีตนายกที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทำให้ดีที่สุดนั่นเอง…….. ม.จ.จุลเจิมระบุว่า เมื่อนายทักษิณพูดเช่นนี้ ก็อยากให้ทำงานตอบแทน และสำนึกในพระกรุณามหาธิคุณตามที่พูดว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน และประเทศชาติ บ้านเมือง และนายทักษิณย่อมรู้ดีว่าปัจจุบันปัญหาใหญ่ที่คนไทยทั่วประเทศต่อต้าน และไม่ต้องการให้มีกาสิโน และการพนันถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย แต่รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย กำลังดำริให้เปิดกาสิโน และการพนันถูกกฏหมาย ซึ่งขัดกับพระราชประสงค์ และ พระราชาโยบาย ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ที่ทรงไม่มีพระราชประสงค์ เห็นด้วยให้มีบ่อนการพนัน และหรือ การเล่นการพนัน อย่างถูกต้องตามกฏหมายในประเทศ “ดังนั้น คุณทักษิณ จะต้องเอาความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ตามที่ได้พูดต่อหน้าประชาชน และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ตามที่คุณพูด ไปต่อต้านไม่ให้รัฐบาลนี้ รวมถึงพรรคเพื่อไทย (ของคุณ) และนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณ ให้ยุติ คิดและ ล้มเลิก การให้มีบ่อนกาสิโน และการพนันถูกกฎหมาย ถ้าคุณทำได้นั่นแหละ ถึงเรียกว่า คุณได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงต่อต้าน ไม่ให้มีบ่อนการพนัน อย่างถูกต้องตามกฎหมายใน บ้านเมือง สมกับที่คุณทักษิณ ที่ได้กล่าวถึง ความจงรักภักดี การที่ได้รับ พระราชทานอภัยโทษ ในครั้งนี้”

Read More

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้โพสต์ข้อความสะท้อนปัญหาผู้สูงอายุยากจนในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นคนทั่วประเทศที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง เนื่องจากลูกหลานไม่สามารถดูแลได้ เพราะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ชีวิตที่ต้องสู้เพียงลำพัง – เงินสวัสดิการไม่พอใช้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่เพียงแค่ขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ แต่ยังต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ได้แก่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-800 บาท/เดือน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 300 บาท/เดือน และ เบี้ยคนพิการ (หากพิการ) 800 บาท/เดือน รวมแล้วผู้สูงอายุเหล่านี้มีรายรับเพียง 900-1,100 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ทั้งค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ายารักษาโรคที่ต้องซื้อเอง ในหลายพื้นที่ ผู้สูงอายุที่ไม่มีญาติต้องพึ่งรถรับส่งขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเพื่อนบ้านเพื่อไปหาหมอ ส่วนเรื่องอาหาร ถ้าวันไหนได้กินครบ 3 มื้อถือว่าโชคดี เพราะต้องอาศัยความเมตตาจากเพื่อนบ้านและ อบต.ที่ช่วยจัดหาเป็นครั้งคราว โครงการ “ครอบครัวอุปถัมภ์” – ทางรอดที่ยังไม่เพียงพอ กระทรวง พม. ได้พยายามแก้ปัญหาด้วยโครงการ “ครอบครัวอุปถัมภ์” โดยขอให้ครอบครัวในชุมชนช่วยดูแลผู้สูงอายุที่ขาดที่พึ่ง พร้อมสนับสนุนเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อเดือน ผ่านกรมกิจการผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินสนับสนุนนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินจำนวนนี้ช่วยให้มีข้าวกินทุกวัน และสามารถจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่าบ้านได้ ถือเป็นความช่วยเหลือที่ทำให้พอมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณให้โครงการนี้ได้เพียง 1,000 ครอบครัวต่อปี เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุยากจนที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกหลายหมื่นคน เตรียมระดมทุนช่วยเหลือ – วิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไข หากงบประมาณภาครัฐยังไม่สามารถขยายการช่วยเหลือได้เพียงพอ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ระบุว่า อาจต้องมีการระดมทุนผ่านการ ทอดผ้าป่าเพื่อสมทบทุนโครงการครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อให้ผู้สูงอายุยากจนได้รับการดูแลที่เหมาะสม ไม่ต้องเผชิญความหิวโหย หรือไร้ที่อยู่อาศัย ปัญหาผู้สูงอายุยากจนที่ต้องอยู่ตามลำพังเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งจากภาครัฐและสังคม เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีศักดิ์ศรีและความมั่นคง

Read More

บ่ายโมงครึ่งวันนี้ (25 ก.พ.68) คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน จะพิจารณาว่าจะรับคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เสนอให้การฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็น “คดีพิเศษ” หรือไม่ โดยคดีนี้มีข้อกล่าวหาว่ากลุ่มบุคคลมีการฮั้วกันเลือกตั้ง ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดฐาน “อั้งยี่-ซ่องโจร” เข้าข่ายรับเป็นคดีพิเศษได้ กว่าจะสอบคดีฮั้ว ต้องผ่านอะไรบ้าง? จากข้อมูลที่เปิดเผย คดีนี้จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนก่อนจะตัดสินใจดำเนินคดีอย่างเป็นทางการ ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ• คณะกรรมการจะต้องลงมติว่าจะรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่• ต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 15 เสียง ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา• หากมีมติรับคดี จะต้องประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลทางกฎหมาย แจ้ง กกต. รับทราบ• DSI จะแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับทราบ เพื่อดำเนินการพิจารณาตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง กกต. ดำเนินการพิจารณา• พิจารณาว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่ามีมูลความผิดหรือไม่ DSI ตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ• มีอัยการเข้าร่วมการสอบสวนเพื่อเพิ่มความรอบคอบในกระบวนการ เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำและแจ้งข้อหา• มีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี หากพบว่ามีความผิด• หากพยานหลักฐานชี้ว่ามีการกระทำผิด จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินคดี• กรณีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน หากไม่พบความผิด• DSI จะสั่งไม่ฟ้อง เดิมพันสูง หากเข้าข่าย “อั้งยี่-ซ่องโจร” หากพบว่าการฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. เข้าข่ายเป็นองค์กรที่รวมตัวกันเพื่อกระทำความผิดอย่างเป็นระบบ อาจถูกดำเนินคดีในข้อหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษหนัก นอกจากนี้ ยังอาจนำไปสู่การตรวจสอบเส้นทางเงิน และผู้ที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายที่กว้างขึ้น จับตาท่าทีของ กกต. และ DSI คดีนี้เป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เพียงแค่กระทบต่อผลการเลือกส.ว. เท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรมไทย ว่า DSI และ กกต. จะสามารถดำเนินการได้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ หากคดีนี้เดินหน้าเป็นคดีพิเศษจริง อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่เขย่าวงการการเมืองไทย และส่งผลต่ออนาคตของกระบวนการเลือกส.ว. ในครั้งต่อไป รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่…

Read More

นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เสียงข้างน้อย ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิจารณ์กระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. ชุดปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความกังขาของประชาชน โดยมีข้อร้องเรียนจำนวนมากส่งไปยัง กกต. แต่กลับถูกเพิกเฉย ขณะที่ DSI เพิ่งเข้ามาดำเนินการสอบสวนคดีนี้หลังผ่านไปกว่า 7 เดือน ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า กกต. เพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น “แฉขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. – คุมเสียงข้างมากในสภา” นันทนา ซึ่งเข้าร่วมการเลือก ส.ว. ครั้งนี้ และปัจจุบันเป็น หนึ่งในเสียงข้างน้อยของวุฒิสภา ระบุว่า เคยออกมาเปิดเผยถึง “ความผิดปกติ” ของกระบวนการเลือกตั้ง ตั้งแต่รอบประเทศ โดยระบุว่ามีการ จัดกลุ่มฮั้วกันมาเป็นก้อน อย่างเป็นระบบ และเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ พรรคการเมืองบางพรรค พร้อมชี้ว่า กลุ่ม ส.ว. ที่ได้มาจากกระบวนการนี้ กำลังถืออำนาจเหนือองค์กรอิสระ และมีบทบาทชี้ขาดในหลายประเด็นสำคัญของประเทศ การสอบสวนของดีเอสไอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ก็ต่อเมื่อ ต้องกวาดล้างทั้งขบวนการแฮกระบบทั้งหมด ตั้งแต่ผู้บงการ จนถึงผู้ร่วมปฏิบัติการทั้งหมด ไม่ต้องละเว้น ไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะเป็นอันตรายต่อระบบนิติรัฐของไทย “รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ – ต้องแก้ด่วน!” นันทนา อ้างอิงถึง มาตรา 113 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด และการออกแบบให้ ส.ว. มาจาก 20 กลุ่มอาชีพก็เพื่อสะท้อนความหลากหลายของสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการ “hack ระบบ” โดยกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมือง ใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย “จ่ายเงิน” เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือก ส.ว. และรวบอำนาจทั้งหมดในสภา “นี่คือผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่เปิดช่องให้คนกลุ่มหนึ่งยึดสถาบันนิติบัญญัติไปแบบเบ็ดเสร็จ” นันทนาระบุ พร้อมชี้ว่า พรรคที่ได้ประโยชน์จากกติกานี้ จะพยายามยื้อการแก้รัฐธรรมนูญทุกวิถีทาง เพราะไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่เพื่อปกป้องอำนาจของพรรคตนเอง นันทนานันทวโรภาส #DSIสอบฮั้วสว #กกตสอบเลือกสว #แก้รัฐธรรมนูญที่มาของสว #ฮั้วเลือกสว

Read More

โดย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการตำรวจกองปราบปราม พร้อมด้วย พนักงานสอบสวน เตรียมนำสำนวนคดีของนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ปราจีนบุรี ที่ถูกยิงเสียชีวิตไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อส่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาต่ออัยการ ภายหลังคดีดังกล่าวได้มีการสรุปสำนวนเสร็จแล้ว เบื้องต้นผู้ต้องหาที่ถูกส่งฟ้องในคดีนี้มีด้วยกันทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย 1. นายสุนทร วิลาวัลย์ หรือโกทร 2. นายธนศรัณย์กรณ์ หรือกอล์ฟ อายุ 32 ปี 3.นายศักดิ์สิทธิ์ หรือตูน อายุ 34 ปี 4.นายธนภัทร อายุ 18 ปี 5.นายสิทธิชัย อายุ 41 ปี 6. นายภัทรนนท์ อายุ 38 ปี 7. นายอภิสิทธิ์ อายุ 34 ปี และ 8.น.ส.มินญารัตน์ หรือ เมย์ ภรรยาของ นายธนศรัณย์กรณ์ สำหรับตัวของ นายสุนทร หรือ โกทร และ ลูกสมุนกลุ่มมือปืน 7 คนแรก ที่ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุ จะถูกดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์(เสื้อเกราะ) โดยไม่ได้รับอนุญาต และ ร่วมกันอั้งยี่ซ่องโจร” มีเพียง น.ส.มินญารัตน์ หรือ เมย์ ผู้ต้องหารายสุดท้าย ที่ถูกออกหมายจับเพิ่มเติม และถูกจับกุมในภายหลัง เพียงรายเดียว ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “สนับสนุนช่วยเหลือบุคคลอื่นให้กระทำความผิด”

Read More

สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความกังวลต่อการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ว่าจะรับเรื่อง ทุจริตฮั้วโกงเลือก ส.ว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยระบุว่า “ได้กลิ่นตุๆ” ถึงความพยายามของนักการเมืองในการ “เกี้ยเซี๊ยะ” หรือจัดการปิดเรื่อง อดีต ส.ว. รายนี้เผยว่า ตนได้รับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งสื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย และพยานบุคคล ซึ่งมีทั้งผู้ที่เปิดเผยตัวและปกปิดตัวตนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย โดยบางรายได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ตำรวจ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับพบว่าเรื่องราวเงียบหายไป หรือถูกยกคำร้องเกือบทั้งหมด แฉหลักฐาน “คลิปโกงเลือก ส.ว.” 2 คลิป ก่อนที่ DSI จะตัดสินใจ เพื่อให้สาธารณชนและคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา สมชายได้แนบ คลิปวิดีโอ 2 คลิป ซึ่งเป็นหลักฐานการทุจริตในการเลือก ส.ว. ไว้ในโพสต์ของตน คลิปวิดีโอที่ 1 – เผยให้เห็น นักการเมืองในภาคอีสาน มีการประชุม จัดฮั้วเลือก ส.ว. ที่จังหวัดขอนแก่น คลิปวิดีโอที่ 2 – แฉ อดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรี แจกเงินให้กับผู้รับจ้างสมัคร ส.ว. ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ สมชาย ตั้งคำถามว่า “พฤติกรรมแบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่าทุจริต แล้วจะเรียกว่าสุจริตและเที่ยงธรรมได้อย่างไร?” พร้อมย้ำให้ DSI และสื่อมวลชนจับตาการพิจารณาคดีครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ประชาชนตั้งคำถาม #กกตมีไว้ทำไม การเลือกตั้ง ส.ว. ครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส และ การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถูกตั้งคำถามว่า มีบทบาทในการตรวจสอบจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่หน่วยงานที่ “ปิดหูปิดตา” ต่อข้อร้องเรียนจากประชาชน ประชาชนและสื่อมวลชนกำลังจับตามองว่า DSI จะกล้ารับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่? หรือสุดท้ายจะจบลงแบบ #มวยล้มต้มคนดู ตามที่สมชายตั้งข้อสังเกต .…

Read More

ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์ถึงสิทธิ์ทำฟันของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับวงเงินเพียง 900 บาทต่อปี พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดสิทธิการรักษาทางทันตกรรมของผู้ประกันตนจึงต่ำกว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทั้งที่ทั้งสองกองทุนควรจะคุ้มครองสิทธิการรักษาพยาบาลในระดับที่ใกล้เคียงกัน สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไอซ์ รักชนก อธิบายว่า ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 54 ระบุให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับ “ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค” ซึ่งหมายความว่า โรคในช่องปากก็ควรได้รับการรักษาภายใต้สิทธิ์นี้ แต่ในความเป็นจริง กลับถูกจำกัดวงเงินเพียง 900 บาทโดยไม่มีรายการค่ารักษาที่ชัดเจนเหมือนกับบัตรทอง ขณะที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีการกำหนดรายการค่ารักษาทางทันตกรรมที่สามารถเบิกได้ พร้อมบัญชีราคากลาง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม ในทางตรงกันข้าม สิทธิ์ประกันสังคมเพียงแค่ระบุว่า “ทำฟันได้ 900 บาท” โดยไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม ส่งผลให้ผู้ประกันตนจำนวนมากต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเอง การเพิกเฉยของบอร์ดแพทย์ และผลประโยชน์ของโรงพยาบาล ไอซ์ รักชนก ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยมีมติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า การจำกัดวงเงินค่าทำฟันของประกันสังคมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสนอให้มีการปรับเพิ่มให้เทียบเท่ากับบัตรทอง แต่จนถึงปัจจุบัน บอร์ดแพทย์ของสำนักงานประกันสังคมยังคงเพิกเฉย เธอชี้ว่า คนที่มีอำนาจกำหนดสิทธิ์ของผู้ประกันตนคือ “บอร์ดแพทย์” ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีทั้งหมด 100% บอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งในสมัยของ นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งกำลังจะหมดวาระลงในสิ้นเดือนนี้ เหตุผลที่บอร์ดแพทย์ไม่ขยายสิทธิ์ทำฟันมีอยู่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ การเพิ่มสิทธิ์ทำฟันเป็นจำนวนเงินที่สูงขึ้น อาจทำให้กองทุนประกันสังคมต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงหลักพันล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงมาก แต่กลับถูกเพิกเฉย เงินจำนวนนี้ไม่ได้เป็นภาระของกองทุนประกันสังคมทั้งหมด เพราะค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายให้โรงพยาบาลเป็นระบบเหมาจ่ายรายหัวอยู่แล้ว การเพิ่มสิทธิ์ทำฟันอาจกระทบกำไรของโรงพยาบาลเอกชน งานวิจัยของสำนักงานประกันสังคมชี้ว่า หากปรับเพิ่มเพดานค่ารักษาทางทันตกรรมโดยไม่มีการกำหนดราคากลาง คลินิกเอกชนอาจปรับขึ้นราคาไปตามเพดาน ทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง นอกจากนี้ เธอยังเผยอีกว่า ปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งถึงกับซื้อโรงพยาบาลขนาดเล็กเพิ่ม เพื่อรับเฉพาะประกันสังคม เนื่องจากมีกำไรมากกว่าการรับผู้ป่วยจากกองทุนบัตรทอง แนวทางแก้ไข: ปฏิรูปสิทธิ์ผู้ประกันตน ไอซ์ รักชนก เสนอแนวทางแก้ไขในสองระดับ ได้แก่ การแก้ไขระยะสั้น – บอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระ ควรออกประกาศปลดล็อคการรักษาโรคในช่องปากโดยกำหนดเพดานราคาที่เหมาะสม…

Read More