Author: Writer Publisher

เกิดแรงกระเพื่อมในสนามเลือกตั้ง เมื่อ ศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ “สุวรรณา กุมภิโร” ส.ส.เขต 2 จังหวัดบึงกาฬ จากพรรคภูมิใจไทย พร้อมกับสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แถมต้องชดใช้ค่าเลือกตั้งกว่า 9.8 ล้านบาท เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ นายสุวรรณา กุมภิโร เนื่องจากพบว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีปัญหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ศาลฎีกาพิจารณาคดีแล้ว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ สุวรรณา กุมภิโร เป็นเวลา 10 ปี และ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 2 จังหวัดบึงกาฬ ชดใช้ค่าเลือกตั้งเกือบ 10 ล้าน! นอกจากโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ศาลยังสั่งให้ “สุวรรณา กุมภิโร” ชดใช้ค่าเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งที่เป็นปัญหา เป็นจำนวน 9,852,954.13 บาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป หากกระทรวงการคลังมีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ก็ต้องจ่ายตามอัตราใหม่ แต่ไม่เกิน 5% ต่อปี กกต.เร่งเสนอเลือกตั้งใหม่ให้ ครม.พิจารณา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 105 ระบุว่า หากตำแหน่ง ส.ส.ว่างลงเพราะเหตุอื่นที่ไม่ใช่การยุบสภา รัฐบาลต้องตรา พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เว้นแต่วาระของสภาฯ จะเหลือไม่ถึง 180 วัน ขณะนี้ สำนักงาน กกต. ได้เสนอร่าง พ.ร.ฎ. ให้ ครม.พิจารณาแล้ว โดยผ่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และรอให้ นายกรัฐมนตรีนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติการเลือกตั้งใหม่อย่างเป็นทางการ

Read More

“หลานฉันปอดหายเกือบหมด หมอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ” คำพูดสะเทือนใจจากย่าของเด็กหญิงวัย 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตสุขภาพหลังสูบบุหรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำกระท่อมมาตั้งแต่ชั้น ป.4 บุหรี่ไฟฟ้า: ของเล่นใหม่ที่กลายเป็นพิษร้าย บุหรี่ไฟฟ้า ถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม สารเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อปอดและระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ สถิติที่น่าตกใจ: เด็กไทยกับบุหรี่ไฟฟ้า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กไทยเริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ ซึ่งส่งผลให้โรคหืดและโรคปอดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล สสส.เคยเปิดผลสำรวจพบว่าเด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงขึ้น 5.3 เท่า จาก 3.3% ในปี 58 เป็น 17.6 % ในปี 65 โดยพบว่าเด็กประถม 15 % เคยถูกคนในครอบครัวแนะนำให้ลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจเยาวชน กทม. 400 ตัวอย่าง พบว่าเสียเงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึงปีละ 26,944 บาท หรือเดือนละ 2,245 บาท 73% ใช้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้า 501-1,000 บาท/สัปดาห์ รัฐบาลและการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า: ทำเพียงพอหรือไม่? แม้จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังมีความขัดแย้งและข้อกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยมีรายงานว่ากรรมาธิการบางคนมีความสัมพันธ์กับบริษัทบุหรี่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ถึงเวลาที่ผู้ใหญ่ต้องลุกขึ้นมาปกป้องอนาคตของชาติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัย 12 ปี เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องไกลตัว และกำลังคุกคามสุขภาพของเยาวชนไทย ผู้ปกครอง ครู และสังคมต้องร่วมมือกันให้ความรู้และเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ตกเป็นเหยื่อของพิษภัยนี้ อย่าปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าทำลายอนาคตของลูกหลานเรา ถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งภัยเงียบนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

Read More

“เงินเดือนก็โดนหักทุกเดือน แต่สิทธิที่ได้กลับดูน้อยกว่าคนอื่น?” นี่คือคำถามที่อยู่ในใจของผู้ประกันตนหลายล้านคนในระบบประกันสังคม การออกมาแฉข้อมูลเชิงลึกของ รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชนอถึงการใช้เงินแบบมือเติบของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าเงินกองทุนประกันสังคมอาจหมดลงภายใน 30 ปี จึงเป็นเรื่องที่กระแทกใจผู้ประกันตนไม่น้อย ฟาดงบดูงานต่างประเทศ – ปฏิทินแพงลิ่ว รักชนก เปิดเผยข้อมูลที่ช็อกคนทำงานทั้งประเทศ ว่า สปส. ใช้งบประมาณไปกับทริปดูงานต่างประเทศ 6 วัน 5 คืน สำหรับผู้บริหาร 10 คน ด้วยงบมหาศาลถึง 2.2 ล้านบาท โดยมีค่าตั๋วเครื่องบินเฟิร์สคลาสราคาสูงลิ่ว 160,000 บาท/คน สำหรับ 2 คน ค่าโรงแรมคืนละ 16,000 บาท และค่ารถรับส่งอีก 35,000 บาท/คน! นอกจากนี้ ยังมีโครงการแจกปฏิทินมูลค่าราว 50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องเอาเงินที่คนทำงานจ่ายสมทบไปใช้กับเรื่องแบบนี้ ขณะที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ“ รมว.แรงงาน อ้างว่าจำเป็น งบบานปลายทุกปี แต่ขอข้อมูลกลับไม่ได้ งบประมาณของ สปส. เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน่าตกใจ ปี 2563: 4,000 ล้านบาท ปี 2564: 5,281 ล้านบาท ปี 2565: 5,332 ล้านบาท ปี 2566: 6,614 ล้านบาท ปี 2567: 5,303 ล้านบาท (ลดลงปีแรก) ที่หนักกว่านั้น คณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณขอข้อมูลรายละเอียดการใช้งบย้อนหลัง 5 ปี แต่ สปส. ปฏิเสธให้ข้อมูล โดยอ้างว่า “เปิดเผยไม่ได้” ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีอะไรที่ไม่อยากให้ประชาชนรู้? พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ชี้แจง แต่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน…

Read More

อภิสิทธิ์เตือน! กดดันแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย อาจเสียมากกว่าได้ – เศรษฐกิจไทยต้องแก้ที่โครงสร้าง ไม่ใช่แค่ระยะสั้น “การแก้เศรษฐกิจอย่ามองแค่ระยะสั้น” นี่คือคำเตือนของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” กับ The Publisher ภายใต้การดำเนินรายการของ สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยพูดถึงประเด็นที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กดดันให้แบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อหวังดันตัวเลข GDP ปี 2568 ให้ถึง 3% หลังจากปี 2567 โตเพียง 2.5% และแนวโน้มปีหน้าถูกคาดการณ์ไว้ที่ 2.8% ซึ่งต่ำกว่าความคาดหวังของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เห็นด้วยว่าสามารถถกเถียงกันได้ว่าควรลดดอกเบี้ยหรือไม่ แต่เขา “ไม่เห็นด้วยกับวิธีที่รัฐบาลเลือกใช้ แม้คิดต่างกัน ก็ไม่ควรใช้วิธีพูดกับสาธารณะ รัฐบาล แบงก์ชาติ หรือผู้เกี่ยวข้องควรพูดคุยกันเป็นการภายใน”เขาเตือนว่าการกดดันผ่านสื่อเช่นนี้ “ยิ่งทำให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยยากขึ้น” เพราะสถาบันการเงินจำเป็นต้องรักษาความน่าเชื่อถือ เมื่อใดที่ถูกมองว่าถูกสั่งการโดยรัฐบาล ความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติก็จะลดลง “ถ้าโลกมองว่าแบงก์ชาติไทยลดดอกเบี้ยเพราะรัฐบาลสั่งได้ มันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติทันที” ลดดอกเบี้ยไม่ใช่คำตอบเดียว – หนี้ครัวเรือนคือปัญหาใหญ่ นายอภิสิทธิ์ ชี้ว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียง “เครื่องมือหนึ่ง” ไม่ใช่ “ทางรอดเดียว” ของเศรษฐกิจไทย เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญกว่านั้นคือ “ปัญหาหนี้สิน” และการเข้าถึงสินเชื่อ “ถ้าดอกเบี้ยลด แต่ธนาคารยังไม่ปล่อยกู้เพิ่ม เศรษฐกิจก็ไม่กระเตื้องขึ้น ปัญหาไม่ได้อยู่แค่การลดดอกเบี้ย แต่อยู่ที่ “จะทำอย่างไรให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อ” มากกว่า” อดีตนายกฯ แนะนำว่ารัฐบาลควรเน้นมาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น ปรับปรุงกฎระเบียบ ลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ และเพิ่มทักษะแรงงานไทย หรือแม้แต่การ เปิดโอกาสให้แรงงานมีฝีมือจากต่างประเทศเข้ามาทำงานหรือลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศได้ในระยะยาว “แจกเงินหมื่น-เปิดกาสิโน” นโยบายเศรษฐกิจที่แก้ไม่ตรงจุด อภิสิทธิ์ยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล โดยเฉพาะ “การแจกเงิน 10,000 บาท ถ้าเงินหมื่นบาทตกอยู่กับคนที่ไม่ได้ลำบากจริง ๆ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือ?” นอกจากนี้ เขายังเตือนถึงแนวคิดที่ว่า “เปิดกาสิโนแล้วท่องเที่ยวจะเพิ่ม” หรือ “ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเพิ่มเงินในระบบ” โดยไม่ต้องผ่านแบงก์ชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่อาจสร้างปัญหาตามมาในอนาคต“ปัญหาเศรษฐกิจไทยลึกกว่านั้น…

Read More

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 68 ที่รัฐสภา นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ อดีตสส.กทม.พรรคก้าวไกล 1 ใน44 สส.ผู้ถูกป.ป.ช.สอบปมลงชื่อแก้ไข ม.112 แถลงข่าวกรณีมีกระแสข่าวว่าถูกกันตัวเป็นพยาน ว่า เมื่อเช้านี้ตนได้ไป ป.ป.ช. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาซึ่งตนได้เห็นข่าวว่า มีสส.พรรคประชาชน เรียกว่า ควรจะเป็น 43+1แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใครนั้นหลายคนก็จะทราบดีว่า เป็นตน ที่ไม่ได้ไปต่อกับพรรคก้าวไกล และตนก็ได้ลงชื่อแก้ไขม.112 จริง แต่ก็ไม่ได้กระทำการอย่างอื่นร่วมกับพรรคก้าวไกล ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2566 ตนก็ไม่ได้อยู่ในพรรคก้าวไกลแล้ว นายสมเกียรติ เผยว่าตนไม่ได้เป็นพยายนตามที่สื่อบางสำนักรายงาน ซึ่งจากหยนังสือข้อกล่าวหาที่รับมามีหลายข้อต้องกลับไปอ่านอีกครั้ง ซึ่งทางป.ป.ช.ก็ได้แนะนำว่าให้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง เพราะเป็นการกล่าวหาไปก่อนและค่อยชี้แจง และสามารถขอดูหลักฐานได้จากทางป.ป.ช.แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนต้องดูอีกทางหนึ่ง เมื่อถามว่าหากตามขั้้นตอนการสอบสวนและมีการเสนอให้เป็นพยาน นายสมเกียรติ เผยว่า ตอนนี้ยังไม่การเสนออะไร เพราะเมื่อเช้าก็ไปเพียงรับทราบข้อกล่าวหาเฉยๆแต่ยังไม่ได้ชี้แจง เพราะมีเวลา อีก15 วันในการยื่นส่งหลักฐาน ที่จะให้เป็นหนังสือหรือให้ทางวาจาก็ได้ แต่ถ้าหากไม่ทันและมีเหตุผลอันควร ก็จะเรียกอีกครั้งหนึ่ง แต่คิดว่าสำหรับตนนั้น ไม่น่าเกิน30 วัน ก็จะชี้แจงให้หมด ทั้งนี้นายสมเกียรติ ระบุว่าหลักๆที่จะมาชี้แจงนั้น เนื่องจากสส. พรรคประชาชนออกมาบอกว่าเป็น 43+1 ซึ่งก็คือตน และตนก็ไม่ได้ถูกกันไว้เป็นพยาน ส่วนสาเหตุที่ออกจากพรรคก้าวไกลนั้นเพราะพรรคได้ส่งผู้ต้องหาคดี 112 สามคนลงสส.กทม. ซึ่งตนก็เป็น1 ใน3 พื้นที่ที่ถูกเสียบแทนเพราะเขาเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นเหมาะสมกว่าตนก็เลยต้องออกมา และไปลงสมัครเลือกตั้งในพรรคอื่น จึงต้องมาชี้แจงเพื่อไม่ให้สับสน ซึ่งวัีนนี้ที่ตนไปชี้แจงก็ไม่ได้เจอกับคนอื่น เมื่อถามว่าทราบหรือไม่ ว่าใครคือ 4 คนที่ถูกกันเป็นไว้พยานนั้น นายสมเกียรติเผยว่า ต้องแยกก่อนว่า 44 คน ที่ถูกกล่าวหาคือผู้ที่ลงชื่อ แต่คนที่ไปเป็นพยานรอบ แรกไปเป็นพยานแวดล้อมในฐานที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อ ตนมั่นใจว่าทั้ง 44 คนจะถูกตั้งข้อกล่าวหาเหมือนกับตนเอง ซึ่้งหลังจากนี้ก็จะส่งหลักฐานชี้แจงไปตามข้อเท็จจริง ตนยอมรับว่าเป็นคนลงชื่อจริงต่ด้านพฤติการณ์อื่นๆนั้นก็ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าเมื่อปี 2567 มีเพื่อน สส. ในพรรคก้าวไกลติดต่อประสานสอบถามว่าจะใช้ทนายของพรรคหรือไม่ แต่ได้ปฏิเสธไปเพราะไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมเนื่องจากยังคงติดใจหลังจากที่ออกจากพรรคก้าวไกล นายสมเกียรติ เปิดเผยว่าจากที่มีการกล่าวหาพาดพิงว่าเป็นงูเห่าสมัยยังสังกัดพรรคก้าวไกล ได้มีการฟ้องร้องกับบุคคลที่พาดพิงกล่าวหา ซึ่งหลังมีการตัดสินคดีบุคคลดังกล่าวได้ยอมรับ และขอโทษเนื่องจากไม่ได้มีพยานหลักฐานอะไรที่กล่าวหาว่ามีพฤติกรรมงูเห่า ซึ่งปัจจุบันศาลได้จำหน่ายคดีไปแล้ว โดยเห็นว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง และเปิดเผยว่ามีอีกคดีมีการฟ้องร้องบุคคลในพรรคก้าวไกล ซึ่งปลายปีที่ผ่านมามีการหาเสียงในจังหวัดราชบุรี พาดพิง เกี่ยวกับการให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช.…

Read More

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงประเด็นร้อนแรงในวงการการเมือง เมื่อ ส.ส. พรรคประชาชนเตรียมเข้าชื่อยื่นสอบจริยธรรม นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ต่อนาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แต่เกิดปัญหาใหญ่เมื่อทั้ง สองคนที่มีอำนาจชี้ขาด กลับเป็นบุคคลที่อยู่ใน คลิปฉาว ถูกครหาว่ามีการล็อบบี้ยุติคำร้องสอบสวน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. “นี่แหละคือช่องโหว่ของ มาตรา 236 ที่ผมตั้งคำถามมาตลอด และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ตั้งแต่ตอนทำประชามติ” อภิสิทธิ์กล่าวหนักแน่น กลไกตรวจสอบที่ย้อนแย้ง – นักการเมืองคุมเกม ป.ป.ช. อดีตนายกฯ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ออกแบบให้กระบวนการตรวจสอบจริยธรรม กรรมการ ป.ป.ช. ต้องทำผ่าน ประธานรัฐสภา ซึ่งมี อำนาจใช้ดุลพินิจ ว่าจะส่งเรื่องต่อให้ประธานศาลฎีกาหรือไม่ หากประธานรัฐสภาเห็นว่า “ไม่มีเหตุอันควรสงสัย” ก็สามารถตีตกเรื่องได้ทันที นั่นหมายความว่า อำนาจการตรวจสอบ ป.ป.ช. ถูกควบคุมโดยฝ่ายการเมือง ซึ่งต่างจาก รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ให้ ประธานวุฒิสภา เป็นเพียง ทางผ่าน ส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาโดยไม่มีอำนาจพิจารณาว่าเรื่องนั้น “สมควรส่งต่อหรือไม่” “ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่ถูกออกแบบให้ตรวจสอบคนอื่น แต่การที่กลไกการตรวจสอบ ป.ป.ช. ไปขึ้นอยู่กับ นักการเมืองในซีกรัฐบาล กลับทำให้การตรวจสอบย้อนกลับมาที่ ป.ป.ช. เองกลายเป็นเรื่องยากขึ้น” อภิสิทธิ์กล่าว พร้อมตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่เขียนให้ประธานรัฐสภาทำหน้าที่ส่งเรื่องเฉย ๆ โดยไม่ต้องใช้ดุลพินิจ? เหมือนรธน.ปี 50 ที่ให้ประธานวุฒิสภาเป็นแค่ทางผ่าน” “ล็อบบี้-ต่อรอง-วิ่งเต้น” ในเงาของรัฐธรรมนูญ 2560 นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการพูดกันมากว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” แต่เมื่อดูจากกลไกการตรวจสอบ กลับเอื้อต่อการต่อรองทางอำนาจมากกว่า “ถ้าพูดตรงไปตรงมาคือ…

Read More

กระทรวงมหาดไทยเดินหน้า ผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 โดยระบุว่าเป็น “ยาแรง” เพื่อคุมเข้มการพนันผิดกฎหมายทั้งบ่อนเถื่อนและพนันออนไลน์ แต่ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับเปิดช่องให้ “บัญชี ข.” ซึ่งรวมถึงการพนันบางประเภท เช่น ทายผลบอล ทายผลมวย กลายเป็นสิ่งที่ ถูกกฎหมาย หากมีการออกกฎกระทรวงรองรับ วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรมการปกครองได้ยกร่างพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่…) พ.ศ. … และได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ คาดว่าขั้นตอนต่อไป จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มหาดไทยให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้ การพนันออนไลน์แพร่กระจาย และซับซ้อนขึ้น จึงต้อง ควบคุมให้เข้มงวดขึ้น โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ จะ เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ ให้สามารถตรวจสอบ ควบคุม และอายัดสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการพนันผิดกฎหมายได้ พร้อมทั้งเพิ่มอัตราโทษหนักขึ้นสำหรับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้เข้าเล่นพนัน ผู้จัดให้มีการเล่น เจ้าของบ่อน เจ้าของสถานที่ และผู้สนับสนุน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกตั้งคำถามคือ กฎหมายฉบับนี้อาจแฝงการทำให้ “พนันออนไลน์” บางประเภทกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันการพนันออนไลน์อยู่ใน “บัญชี ข.” หากร่างกฎหมายผ่านและออกประกาศกฎกระทรวง จะทำให้การพนันบางประเภทถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ทายผลบอล ทายผลมวย ขณะที่ “บัญชี ก.” ซึ่งรวมถึงคาสิโนออนไลน์ ยังต้องแก้กฎหมายเพิ่มเติม ซึ่งหากรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ ก็สามารถผลักดันให้การพนันออนไลน์รูปแบบอื่นถูกกฎหมายได้ในอนาคต “ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราต้องจัดระเบียบก่อน โดยเพิ่มโทษที่หนักขึ้นสำหรับผู้ที่ลักลอบเล่นการพนันผิดกฎหมาย” นายอนุทินกล่าว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่า รัฐบาลต้องการ…

Read More

ปฏิบัติการไล่ล่าคดีทุจริตครั้งใหญ่ ป.ป.ช. ร่วมกับตำรวจภาค 3 และภาค 2 บุกรวบ “อ้อน” หรือ นางสาวจุฬาพร (ฐิติกาญจน์) สีหะวงษ์ อดีตนักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ อบต.ธาตุน้อย หลังพบว่าทุจริตเบิกจ่ายเงินแผ่นดิน ด้วยการสั่งจ่ายเช็คเกินบัญชี 194 ฉบับ สร้างความเสียหายกว่า 10,725,900 บาท! ปฏิบัติการล่าตัว “อ้อน” หลังหลบหนีคดีนานนับปี สำนักงาน ป.ป.ช. ภายใต้การอำนวยการของ นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. นายณัฐวุฒ ขมประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ภาค 3 นายวัฒนชัย ส้มมี ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ภาค 2 และ นายกิจติพงค์ ขยิบแย้ม ผอ. ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองปรือ เปิดปฏิบัติการตาม หมายจับศาลจังหวัดอุบลราชธานี (อาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3) และ หมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 บุกจับกุม “อ้อน” ขณะกบดานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อพบตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ก่อนคุมตัวส่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 3 จังหวัดสุรินทร์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เปิดโปงแผนโกง! “อ้อน” ฉ้อฉลงบ อบต. 10 ล้านได้อย่างไร? จากการสอบสวนพบว่า ขณะดำรงตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี อบต.ธาตุน้อย “อ้อน” ได้รับมอบหมายให้ดูแลสมุดเช็คของหน่วยงาน แต่กลับใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตแก้ไขตัวเลขในเช็คให้เกินกว่าจำนวนที่เบิกจ่ายจริง มีหลักฐานการทุจริต ประกอบด้วย การสั่งจ่ายเช็คเกินบัญชีรวม 194 ฉบับ และยอดเงินที่ถูกทุจริต รวมมูลค่าความเสียหาย 10,725,900 บาท เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และตำรวจจึงออกหมายจับและติดตามตัวมานาน ก่อนจะพบเบาะแสการกบดานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จนนำไปสู่การจับกุมตัวในที่สุด! ข้อหาหนัก! เจอคดีอาญาหลายมาตรา โทษหนักรออยู่ “อ้อน”…

Read More

วันนี้ (20 ก.พ.68) นายสยาม หัตถสงเคราะห์ สส. หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทยในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยก่อนการประชุมว่าหลังจากที่รัฐบาลมีการปราบปรามกระบวนการคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นเข้ม ทำให้ผู้เสียหายกล้าที่จะร้องเรียนต่อ กรรมาธิการจึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศอท. และ AOC และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบหลังจากที่เกิดความเสียหายแล้วและมีการแจ้งความแล้ว จะต้องมีการเร่งรัดให้มีความคืบหน้าในคดีโดยร่วมมือกับทุก ซึ่งผู้ที่เสียหายในวันนี้ถูกหลอกจากการใช้บริการ Tiktok และ Facebook โดยย้ำถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนถึงภัยจากออนไลน์ ให้เกิดการตระหนักรู้เรื่องวิธีการหลอกลวงทำให้หลงเชื่อ เช่นวันนี้ได้รับข้อมูลข่าวสารว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบ ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ต้องไปขอเงินผู้ปกครองเพิ่มเติมเนื่องจากถูกขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการเฉลี่ยทรัพย์ที่ได้มีการยึดทรัพย์จากบัญชีม้ามานั้น นายสยามกล่าวยอมรับว่ากฎหมายยังไม่เสร็จสิ้น ก่อนหน้านี้มีพระราชกำหนดไซเบอร์ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยเตรียมร่างพระราชบัญญัติแล้วอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ยืนยันว่าหากกฎหมายฉบับนี้แล้วเสร็จมั่นใจว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแน่นอน ส่วนความคืบหน้าในการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตบริเวณชายแดนไทย -เมียนมาร์ตามอำนาจหน้าที่ กสทช.นั้น กรรมาธิการจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบในสัปดาห์หน้า เพราะว่าการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตส่งผลต่อประชาชนด้วย ขอแสดงความมั่นใจว่าภายในสิ้นเดือนนี้สามารถตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้เสร็จสิ้นตามแผน “จะเชิญสาธารณูปโภคพื้นฐาน NT และโอเปอร์เรเตอร์ และ กทสช. ตรวจสอบสัญญาณทั้งบริเวณชายแดนทั้งหมด และแจ้งเป็นตัวเลขรายงานถึงผลกระทบและแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะเกิดในกลุ่มประชาชนคนไทยจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง” นายสยามกล่าว นายสยามกล่าวต่อว่า วันนี้ผู้ที่ได้รับความเสียหายแจ้งต่อกรรมาธิการกว่า 150 คนมูลค่าความเสียหายประมาณ 76 ล้านบาท

Read More

กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสื่อมวลชน เมื่อ ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งเพจ “The Reporters” ได้โพสต์ข้อความตั้งคำถามถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไทยต่อสื่อมวลชน เกี่ยวกับการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ โดยระบุว่า ตอนที่รัฐมนตรีจีนเดินทางมาแม่สอด เจ้าหน้าที่เปิดให้สื่อถ่ายทำกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลาส่งตัวชาวจีนขึ้นเครื่องกลับ กลับมีกระแสข่าวว่า กต. กันสื่อให้อยู่เพียงด้านนอก ไม่สามารถเข้าไปบันทึกภาพได้ ฐปนีย์ตั้งคำถาม – ทำไมการส่งตัวกลับถึงเป็นเรื่องปิดลับ? ในโพสต์ของเธอระบุว่า “ตอน รมต.จีนมาแม่สอดเขาก็ให้สื่อถ่ายกันชัด ๆ พอจะเอาคนจีนขึ้นเครื่องกลับ ได้ข่าวว่า กต. กันสื่อให้ถ่ายแค่ด้านนอก หาส่องกันเอง คือจะเอากลับกันลับ ๆ แล้วทีตอนจีนมาลงพื้นที่แบบไม่บอก ไม่เห็นจะขึงขังขนาดนี้” ข้อความนี้สร้างข้อสงสัยว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลือกปฏิบัติแตกต่างกัน ระหว่างตอนที่รัฐมนตรีจีนเดินทางมาถึงกับตอนที่ต้องส่งตัวกลับ ซึ่งสื่อมวลชนไทยต้องใช้วิธี “หาทางส่อง” หรือพยายามถ่ายทำจากระยะไกลเอง สื่อถูกปิดกั้น หรือมีเงื่อนไขทางการทูต? กรณีนี้กำลังนำไปสู่ข้อถกเถียงว่า การจำกัดการเข้าถึงของสื่อมวลชนเกิดจากเงื่อนไขด้านความมั่นคง หรือเป็นข้อกำหนดจากทางฝั่งจีนเอง? เพราะในช่วงที่รัฐมนตรีจีนเดินทางมาถึงไทย มีการเปิดพื้นที่ให้สื่อมวลชนสามารถบันทึกภาพและรายงานข่าวได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลาส่งตัวกลับ กลับมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น จนสื่อมวลชนถูกกันออกไปจากพื้นที่ การปฏิบัติที่แตกต่างกันนี้ทำให้เกิดข้อครหาว่า รัฐบาลไทยมีข้อตกลงบางอย่างกับรัฐบาลจีน หรือไม่ต้องการให้ภาพการส่งตัวกลับถูกเผยแพร่ในวงกว้าง? จนถึงขณะนี้ รัฐบาลไทย และกระทรวงการต่างประเทศยังไม่มีแถลงการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่คาดว่า อาจถูกตั้งคำถามจากสื่อมวลชนและภาคประชาชนต่อไป กั้นสื่อทำไม #โปร่งใสหรือไม่ #ส่งตัวกลับจีน #รัฐบาลต้องตอบ

Read More