- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
เหตุการณ์ตำรวจประสบอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าในจังหวัดตราด นำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากล เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวบรรทุก บุหรี่เถื่อนจำนวนมาก กลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาการ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ในวงการสีกากี ที่ยังคงซุกซ่อนอยู่และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตำรวจจากผู้รักษากฎหมาย สู่ผู้ละเมิดกฎหมายเอง จากรายงานข่าวระบุว่า จ.ส.ต.เอกพจน์ นิยม เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 เป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความประมาทในการขับขี่ แต่การค้นพบบุหรี่เถื่อนมากกว่า 300 แท่ง ในรถตำรวจ กลายเป็นหลักฐานชัดเจนถึงพฤติกรรมที่น่าสงสัย และตั้งคำถามถึงเครือข่ายขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมาย กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมกลับเข้าไปพัวพันกับการกระทำผิดเสียเอง นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก และคงไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้าย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราพบกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าของเถื่อน ยาเสพติด การพนัน หรือแม้แต่ขบวนการค้ามนุษย์ ทำผิดมีเครือข่ายช่วย? ทำไมกล้าทำผิด เป็นเพราะผู้กระทำผิดอาจได้รับความคุ้มครองจากเครือข่ายในองค์กรใช่หรือไม่ มีนายใหญ่หนุนหลังหรือเปล่า? เพราะถ้าคดีไม่ดังสุดท้ายเรื่องเงียบ การตรวจสอบเป็นไปอย่างล่าช้า หรือในบางกรณีอาจถูกมองข้ามไปโดยไม่มีการลงโทษที่จริงจัง หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การขาดกลไกตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพและเป็นอิสระ หน่วยงานตำรวจที่ควรเป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายกลับขาดมาตรการตรวจสอบภายในที่เข้มงวด หลายกรณีที่ตำรวจถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันกับการทุจริตหรืออาชญากรรม แต่สามารถ หลุดพ้นจากความผิดได้ท่ามกลางข้อครหาว่า เป็นเพราะมีอำนาจและเส้นสาย เรื่องฉาวบั่นทอนศรัทธาประชาชน ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจยิ่งลดลง เมื่อคนที่ควรปกป้องประชาชนกลับกลายเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ประชาชนย่อมตั้งคำถามว่า “เราจะไว้ใจใครได้?” หากตำรวจที่เราควรพึ่งพา กลายเป็นผู้ร่วมมือหรือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอาชญากรรม การที่ตำรวจสามารถใช้สถานะของตนเพื่อทำผิดกฎหมายได้อย่างง่ายดาย บ่งชี้ถึง วัฒนธรรมการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และระบบอุปถัมภ์ภายในองค์กร ซึ่งเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมายาวนาน หากไม่มีการปฏิรูปและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สถานการณ์เช่นนี้จะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อว่าประชาชนคงเบื่อที่จะพูดว่าต้องปฏิรูป แต่ก็ยังคงต้องพูดและกระตุ้นต่อไป!
ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ออกโรงเตือนภัยสังคม หลังร่างแรก พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฉบับกฤษฎีกา หรือกฎหมายเปิดทางให้กาสิโนถูกเผยแพร่ออกมา ชี้ชัดว่านี่คือ “ซูเปอร์ พ.ร.บ.” ที่ให้อำนาจพิเศษแก่รัฐบาลและนายทุนเหนือกฎหมายอื่น ๆ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเปิดกาสิโนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู “เหล้าเก่าในขวดทึบ” ปรับถ้อยคำแต่เป้าหมายเดิม ธนากร ระบุว่า แม้กฎหมายฉบับนี้จะถูกปรับแต่งจากฉบับก่อนหน้า แต่เนื้อหาหลักยังคงเดิม นั่นคือ เปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้หลายที่ หลายขนาด และกาสิโนยังเป็นหัวใจหลัก โดยกำหนดให้ต้องมี “4 กิจการร่วมกับกาสิโน” นอกจากนี้อำนาจสูงสุดยังอยู่ที่คณะกรรมการนโยบาย (ซูเปอร์บอร์ด) ที่มีนายกฯ เป็นประธาน มีสิทธิ์กำหนดทุกอย่าง ตั้งแต่ที่ตั้ง อัตราภาษี ค่าธรรมเนียม ไปจนถึงการออกใบอนุญาตให้เอกชนผูกขาดธุรกิจได้ยาวถึง 30 ปี “ประเด็นหนึ่งที่เคยถูกวิจารณ์ว่า รายได้จากบรรดาค่าธรรมเนียมหลายพันล้านจากการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงครบวงจร ที่ไม่เขียนผูกมัดให้ต้องส่งเข้าแผ่นดิน มาตรานี้ถูกตัดหายไป แต่สาระสำคัญยังคงอยู่ ด้วยวิธีเขียนที่ฉีกประเด็นและการใช้ถ้อยคำที่ต่างไปจากเดิม แต่ก็ยังคงความหมายที่ต้องการคือ “ให้นำเงินหลักพันล้านนี้ไปใช้ได้ตามอำเภอใจ เหลือเท่าไรค่อยส่งเข้าแผ่นดิน” “ตีเช็คเปล่า” ให้รัฐบาล เปิดช่องทุนใหญ่ฟาดเรียบ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจเต็มที่ โดยเฉพาะมาตรา 8 ที่กำหนดให้ หน่วยงานรัฐทุกแห่งต้องสนับสนุนและจัดสรรงบประมาณเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมี มาตรา 12 ที่เปิดทางให้ แก้หรือออกกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่กาสิโน หากพบว่ากฎหมายอื่นเป็นอุปสรรค “พ.ร.บ.จอมยกเว้น” ใหญ่กว่ากฎหมายอื่น ล้างบางกฎระเบียบ ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเป็น “พ.ร.บ.จอมยกเว้น” เพราะมีการเว้นบังคับใช้กฎหมายสำคัญหลายฉบับ เช่น เว้นประมวลกฎหมายแพ่ง อนุญาตให้เช่าที่ดินได้ถึง 99 ปี เว้นกฎหมายราชพัสดุ เปิดทางให้เช่าที่ราชพัสดุเพื่อทำกาสิโนได้ เว้นกฎหมายการพนัน อนุญาตให้คณะกรรมการนโยบายกำหนดประเภทการพนันเพิ่มเติมเองได้ เว้นคำสั่ง คสช. 22/2558 ซึ่งเดิมควบคุมสถานบันเทิง ลดเวลาเปิด-ปิด และการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “ผลประโยชน์ทับซ้อน?” เปิดทางนักการเมือง-ผู้บริหารกาสิโนคุมกฎหมาย อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ การกำหนด คุณสมบัติของผู้บริหารสำนักงานกำกับกาสิโน โดยระบุว่า สามารถเป็นอดีตนักการเมือง หรือผู้บริหารธุรกิจกาสิโนได้ หากพ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี “ใครว่าไม่แปลกผมว่าแปลก ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานกำกับกิจการกาสิโน…
เมื่อเพื่อไทยพ่ายในสภาฯ สงครามใหม่จึงเริ่มต้น หลังจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาฯ ไม่นาน ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เปลี่ยนทิศไปสู่เรื่อง “ที่ดิน ส.ป.ก.” ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี-รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แม้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. จะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของเพื่อไทยโดยตรง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าพรรค “กล้าธรรม” ของผู้กองธรรมนัส ซึ่งผลักดันเรื่องนี้ มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคเพื่อไทยเพียงใด นี่จึงทำให้การตรวจสอบที่ดินครั้งนี้ถูกมองว่า เป็น “เกมเอาคืน” ที่เกิดขึ้นทันทีหลังเพื่อไทยเสียศูนย์ในสภาฯ “หน้าตัวเมีย เล่นนอกเกม” – อนุทินสวนกลับเดือด ประเด็นที่ดินสนามกอล์ฟใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถูกจุดขึ้นจากรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ซึ่งรายงานว่า กระทรวงเกษตรฯ กำลังตรวจสอบการออกโฉนดในพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ ว่ามีการบุกรุกเขตที่ดิน ส.ป.ก. หรือไม่ เปิดประเด็นมีพื้นที่ที่เป็นสนามกอล์ฟ ของนายอนุทิน รวมอยู่ด้วย นายอนุทิน ตอบโต้กลับทันทีว่า ที่ดินของตนถือครองมา นานกว่า 10 ปี และมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเพิ่งมีการขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาในช่วงที่การเมืองกำลังร้อนระอุ พร้อมกันนั้น เขายังใช้คำพูดดุเดือด “หน้าตัวเมีย” พร้อมระบุว่านี่คือการ “เล่นนอกเกม” “ที่ดินแปลงนี้ถือครองมาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหา แต่พอมีประเด็นการเมือง กลับมีเรื่องนี้โผล่ขึ้นมา ซึ่งผมมองว่ามันหน้าตัวเมีย… พร้อมให้ตรวจสอบ ไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องนี้เป็นการเล่นนอกเกม” เมื่อถูกถามว่าหมายถึงฝ่ายการเมืองใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเป็นฝ่ายการเมือง ก็หน้าตัวเมียชัด ๆ” จากสภาฯ สู่ราชการ: เกมตรวจสอบที่มีเดิมพันสูง นอกจากการปะทะกันของนักการเมืองแล้ว ประเด็นนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหน่วยงานราชการหลายแห่ง ทั้ง กรมที่ดิน, ส.ป.ก., และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมที่ดินรีบออกมาชี้แจง ว่า การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็ถูกมองว่ามีการเมืองผลักดันหรือไม่ เพราะอยู่ภายใต้กำกับของพรรคภูมิใจไทย ขณะที่ส.ป.ก. และกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะที่ดินบางส่วนถูกออกจากหลักฐาน น.ค.3 ซึ่งเชื่อมโยงกับกระบวนการจัดสรรที่ดินของรัฐ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ…
เป็นหนังสือคำสั่งของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เรื่องให้พนักงานปฏิบัติงาน เนื้อหาระบุว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายในทุกๆ ประเด็น จึงให้นางสาว บ…..ผู้ชำนาญการ รพ.ศผ.อัตราเงินเดือนระดับ 10 งดการตรวจรักษา และให้ปฏิบัติงานที่ สน.ผอ.รพ.ผศ.จนกว่าการสอบสวนจะดำเนินการแล้วเสร็จ ทั้งนี้เป็นผลจากกรณีการแฉมีขบวนการทุจริตภายในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก จากการจัดให้ผู้ป่วยจริง ผู้ป่วยทิพย์มาเบิกยาก่อนจะนำไปซุกซ่อนที่คอนโดมิเนียม ย่านพระราม 4 เป็นจำนวนมาก โดยมีแพทย์หญิงของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเป็นเจ้าของห้อง ซึ่งล่าสุดตำรวจ ปปป.ก็อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลต่าง ๆ เพื่อหาบุคคลที่เกี่ยวข้องร่วมขบวนการทุจริตด้วย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดแถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 6/2568 โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือกรณี สายการบินแห่งหนึ่งปฏิเสธออกบัตรโดยสาร (boarding pass) ให้ผู้โดยสารข้ามเพศ ซึ่ง กสม. ชี้ชัดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมเสนอให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเข้ามาดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ถูกปฏิเสธเพราะ “คำนำหน้าชื่อ” ไม่ตรงรูปลักษณ์ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2567 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารข้ามเพศรายหนึ่ง ซึ่งเป็นชายข้ามเพศ ถูกปฏิเสธการออกบัตรโดยสารโดยสายการบินต่างชาติแห่งหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าคำนำหน้าชื่อ “นางสาว” ในหนังสือเดินทางไม่ตรงกับรูปลักษณ์ทางเพศ และอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาจไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ แม้ในภายหลังผู้เสียหายจะได้รับค่าตั๋วคืนบางส่วน และสามารถเดินทางไปปลายทางด้วยสายการบินอื่นได้ แต่สัมภาระที่มีของสดได้รับความเสียหาย รวมถึงผู้เสียหายรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติและถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กสม. สรุปชัด ละเมิดสิทธิและเลือกปฏิบัติ หลังพิจารณาข้อเท็จจริง กสม. เห็นว่า การกระทำของสายการบินเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งเพศ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่คุ้มครองสิทธิความเสมอภาค และกฎหมายเกี่ยวกับการเดินอากาศ ที่ระบุว่า การปฏิเสธผู้โดยสารต้องมีเหตุผลด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน นอกจากนี้ สายการบินไม่ได้แสดงหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร จากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าผู้โดยสารจะถูกปฏิเสธเข้าเมือง ซึ่งเป็นข้อบกพร่องสำคัญ ข้อเสนอแนะจาก กสม. กสม. ได้เสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหานี้ โดยแนะนำให้สายการบินปรับปรุงมาตรการเช็กอิน ให้พิจารณาตามรูปลักษณ์ที่ตรงกับภาพในหนังสือเดินทาง แทนการใช้คำนำหน้าชื่อเป็นเกณฑ์หลัก การปฏิเสธผู้โดยสารต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร จากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศปลายทาง ไม่ใช่เพียงแค่คำบอกกล่าว ให้สายการบินชดเชยเยียวยาผู้เสียหาย ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด รวมถึงค่าตั๋วโดยสาร สัมภาระที่เสียหาย และการแสดงความขอโทษ และเรียกร้องให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยออกแนวปฏิบัติชัดเจน และกำชับให้สายการบินปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิเท่าเทียม #สายการบินต้องไม่เลือกปฏิบัติ #ข้ามเพศก็มีสิทธิเดินทาง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกโรงชี้แจงกรณีที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของตนเอง หลังจากมีการเปิดเผยในรายการโทรทัศน์ชื่อดัง นายอนุทินยืนยันว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นกิจการของครอบครัว ถือครองมานานกว่า 10 ปี และได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย มีโฉนดและเอกสารสิทธิ์ครบถ้วน พร้อมให้ตรวจสอบทุกขั้นตอนเจ้าตัวมองว่าประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น “เกมการเมือง” โดยกล่าวอย่างดุเดือดว่า “เรื่องนี้เป็นการเล่นนอกเกม ถ้าเป็นฝ่ายการเมือง ก็หน้าตัวเมียชัดๆ” นอกจากนี้ นายอนุทินยังตั้งคำถามไปถึงพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังว่า ทำไมถึงไม่นำเรื่องนี้มาตรวจสอบให้ครบถ้วนก่อนออกอากาศ ทั้งที่เรื่องอื่น ๆ กลับโทรมาสอบถามตนหลายครั้ง พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีเบื้องหลังหรือไม่ ดราม่าที่ดินกอล์ฟ #อนุทินลั่นหน้าตัวเมีย #พร้อมให้ตรวจสอบ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ก.พ.68 ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม (กธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มีปัญหา จนทำให้องค์ประชุมล่ม จนหลายคนมองว่าเป็นการขวางไม่ให้มีการแก้ไข ว่า ตนยืนยันชัดเจนในเรื่องของการขับเคลื่อนของสภา เมื่อวันที่ 13 ก.พ. เนื่องจากวิปรัฐบาล คุยกันแล้วว่า เราจะเดินไปด้วยกัน ซึ่งเราก็เดินไปด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดพรรคกล้าธรรม ถือว่าเป็นพรรคหลักที่ล่ารายชื่อสมาชิกรัฐสภาในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยในประเด็นนี้ ซึ่งญัตติที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. เสนอมาเราก็ลงนามไปทั้งหมด เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เรามีหลักการและจุดยืนชัดเจน เมื่อถามว่า สุดท้ายควรหาทางออกก่อนที่จะมาโหวตหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมย้ำเสมอและยังยืนยันเหมือนเดิมว่า หลักการอยู่ร่วมกัน ต้องคุยกัน มีอะไรต้องคุยกัน ถ้าเราคุยกันแล้วได้ข้อสรุปแล้วว่า มีมติเห็นชอบ หลักการเดียวกันก็เดินไปด้วยกัน แต่ถ้าคุยกันแล้ว เห็นไม่ตรงกัน ต่างฝ่าย ต่างมีความคิด มีหลักการของตัวเอง เราก็ว่ากันไปไม่โกธรกัน”
ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนแห่งรอยยิ้มและมิตรไมตรี แต่บางครั้ง ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่การผจญภัยที่ไม่คาดคิด ดังเช่นกรณีของ แจ็ค นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสวัย 22 ปี ที่ตั้งใจจะเดินทางไป เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่กลับถูกพาไปยัง ดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางที่พลิกผัน: จากทะเลสู่ภูเขา แจ็คเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมีจุดหมายปลายทางที่เกาะเต่า ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงด้านความงามของทะเลและการดำน้ำลึก เขาได้ว่าจ้างรถรับจ้างเพื่อพาเขาไปยังจุดหมายปลายทาง แต่เนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาด คนขับรถเข้าใจว่าเขาต้องการไปดอยเต่า จากใต้ขึ้นเหนืออย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึง เมื่อแจ็คทราบว่าเขาอยู่ผิดที่ มีปากเสียงกับคนขับรถจนถูกปล่อยทิ้งไว้ที่จังหวัดลำพูน โชคดีที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนขับรถบรรทุกผักช่วยพาเขามายังจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างทาง แจ็คได้แวะรับประทานอาหารที่ปั๊มน้ำมันในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี แต่ได้ลืมกระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตไว้ โชคดีที่มีพลเมืองดีเก็บไว้และนำส่งให้กับสถานีตำรวจภูธรเมืองสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ต.ท.ธีรพัฒน์ หมดจด และทีมงาน ได้ช่วยเหลือแจ็คโดยพาเขาไปรับกระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตที่สถานีตำรวจ และจัดหาที่พักให้เขาในคืนนั้น ก่อนที่จะช่วยจัดการเรื่องการเดินทางต่อไปยังเกาะเต่า ในร้ายมีดีอาจเป็นคำที่ใช้ได้กับเรื่องนี้ แล้วถ้าเรามองในมุมมองของ “แจ๊ค” บ้างละ เขาน่าจะคิดถึงเรื่องนี้แบบไหน รวมถึงนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นพวกเขาน่าจะเห็นอะไรจากสถานการณ์นี้ การสื่อสารและความเข้าใจผิด การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างนักท่องเที่ยวและผู้ให้บริการท้องถิ่นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่มีผลกระทบต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว ความไม่แน่นอนในการเดินทาง การพึ่งพาผู้ให้บริการท้องถิ่นโดยไม่มีการตรวจสอบหรือยืนยันข้อมูลเพิ่มเติมอาจทำให้นักท่องเที่ยวเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ความมีน้ำใจของคนไทย แม้จะเกิดความผิดพลาด แต่การได้รับความช่วยเหลือจากพลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยยังช่วยสร้างความประทับใจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยว บทเรียนสำหรับคนไทยในฐานะเจ้าบ้าน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “สยามเมืองยิ้ม” และ “คนไทยใจดี” คนไทยควรพิจารณาและปรับปรุงในด้านต่อไปนี้ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นๆ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด การตรวจสอบข้อมูล ควรมีการยืนยันข้อมูลการเดินทางและจุดหมายปลายทางกับนักท่องเที่ยวอย่างชัดเจนก่อนการเดินทาง การให้ความช่วยเหลือ การแสดงความมีน้ำใจและความช่วยเหลือเมื่อพบว่านักท่องเที่ยวประสบปัญหาจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ การอบรมและพัฒนามาตรฐานการบริการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดการอบรมและพัฒนามาตรฐานการบริการเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ”สยามเมืองยิ้ม“ จะคงอยู่ได้อย่างไร? เหตุการณ์ของ “แจ็ค” เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างนักท่องเที่ยวและผู้ให้บริการท้องถิ่น การเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ความผิดพลาดที่ดูเหมือนเล็กน้อย อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ เราต้องทำให้ “สยามเมืองยิ้ม” ไม่ใช่แค่รอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่มาพร้อมมาตรฐานการบริการที่ดี ความรับผิดชอบ และความเข้าใจในสิ่งที่นักท่องเที่ยงต้องการจริง ๆ เรื่องราวของ “แจ็ค” ที่ถูกพาไปผิดที่อาจเป็นเหมือนเรื่องขำขันในวันนี้ แต่ถ้าเรายังไม่ปรับปรุง อาจมีเรื่องอื่นที่ไม่ตลก หรือเป็นตลกร้ายตามมาในอนาคต
เมื่อรัฐสภากลายเป็นกระดานหมากรุกที่เต็มไปด้วยผู้เล่นซึ่งต่างมีหมากของตัวเอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้จึงเป็นมากกว่าความพยายามเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หากแต่เป็นการชิงไหวชิงพริบที่เดิมพันด้วยอำนาจและอนาคตทางการเมือง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ประชาชนกำลังตั้งคำถามว่า เกมนี้เล่นเพื่อใครกันแน่? ภูมิใจไทยวอล์กเอาต์: หมากแรกของเกมอำนาจ การที่พรรคภูมิใจไทยเลือก “วอล์กเอาต์” จากการลงมติในญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางการเมืองทั่วไป แต่มันคือสัญญาณที่ส่งไปยังทุกฝ่ายว่า “เราจะไม่เดินเกมตามเพื่อไทย” แต่คำถามคือ ภูมิใจไทยทำเพื่อใคร? หากเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพรรค อาจหมายถึงว่าพวกเขาไม่ต้องการผูกตัวเองเข้ากับการแก้รัฐธรรมนูญที่อาจถูกโจมตีได้ในอนาคต หากเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองทางการเมือง แสดงว่าพวกเขากำลังรอจังหวะที่ดีที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคตนเอง แต่หากเป็นเพราะมีอำนาจอื่นบีบให้พวกเขาต้องถอย นั่นก็แปลว่ามีผู้เล่นเบื้องหลังที่คุมเกมใหญ่อยู่ ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นข้อใด สิ่งที่เห็นชัดคือการวอล์กเอาต์นี้ทำให้ กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดลง และทำให้พรรคเพื่อไทยต้องสู้โดยลำพัง หรือแท้จริงแล้วพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อยากสู้จริง แต่ต้องการให้สถานการณ์ต่าง ๆ พาไปและกลายเป็นข้ออ้างว่า “พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว” เพื่อตอบโจทย์แก้เกี้ยวกับถ้อยคำโจมตีว่า “เพื่อไทย” เดินเกมหลายหน้าไม่ต้องการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรธน.อย่างจริงจัง ทั้งที่เคยหาเสียงคำโตไว้กับประชาชน เพื่อไทยพ่ายกระบวนการรัฐสภา: ใครได้ ใครเสีย? เพื่อไทยสร้างภาพให้เห็นว่า ได้พยายามผลักดันให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า “สภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่” แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้ในเกมตัวเลข เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอ นี่คือจุดที่ประชาชนเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า เพื่อไทยกำลังแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจังจริงหรือ? และในแง่คำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยไปเพราะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คงต้องตั้งคำถามมากขึ้น แทนการเชื่อแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะสุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกหยิบยกมา ยังมีคำถามว่าเกิดขึ้นจากใจจริง หรือเพียงวาทกรรมสร้างความนิยมทางการเมือง หรือซับซ้อนกว่านั้นคือเป็นหนึ่งในหมากที่พวกเขาใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายอื่น? ถึงแม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นสิ่งจำเป็นในสายตาของคนบางกลุ่ม แต่การที่เกมนี้ดำเนินไปด้วยความขัดแย้งในสภาทำให้ประชาชนเริ่มมองว่านี่อาจเป็นเพียง “เกมของนักการเมือง” มากกว่าความตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อประชาชน เกมสุดท้าย: ล้มองค์ประชุม หยุดทุกอย่างไว้ที่เดิม เมื่อเพื่อไทยแพ้ในการลงมติให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ พวกเขาตัดสินใจเดินเกมใหม่—“ล้มองค์ประชุม” โดยให้ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลบางส่วนไม่เข้าประชุม ทำให้สภาไม่ครบองค์ประชุมและไม่สามารถเดินหน้าพิจารณาญัตติได้ เป็นหมากสุดท้ายที่นักการเมืองนิยมใช้กันเมื่อไม่สามารถเอาชนะในเกมตัวเลข ก็ใช้ตัวเลขล้มองค์ประชุม มันเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องตามกติกา แต่คำถามคือ มันถูกต้องในสายตาประชาชนหรือไม่? ประชาชนบางส่วนอาจเห็นว่านี่เป็นการตอกกลับอำนาจของ ส.ว. และพรรคที่คอยขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกัน อีกหลายคนมองว่า นี่คือ “เกมที่ไม่มีใครสนใจประชาชนจริง ๆ” ใครเป็นผู้คุมเกมในสภา? เมื่อมองย้อนกลับไป เกมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า อำนาจที่แท้จริงในรัฐสภาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่มันกระจายไปตามเครือข่ายอำนาจที่ซับซ้อน• พรรคเพื่อไทย มีเสียงข้างมากในรัฐบาล แต่กลับต้องเผชิญกับแรงต้านมหาศาลจากพันธมิตรทางการเมืองของตัวเอง• พรรคภูมิใจไทย แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถหยุดหรือเร่งกระบวนการต่างๆ ได้• ส.ว. ยังคงเป็นอำนาจเงาที่สามารถควบคุมทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง• ประชาชน กลายเป็นเพียงผู้ชมที่ต้องเฝ้ามองเกมการเมืองโดยไม่มีโอกาสเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไร เว้นแต่เรียนรู้จากปรากฏการณ์นี้เพื่อใช้อำนาจที่มีอีกครั้งในการเลือกตั้งคราวหน้า ประชาชนควรเรียนรู้อะไรจากเกมนี้? รัฐธรรมนูญเป็นเกมของอำนาจ ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายทุกการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญต้องผ่านกระบวนการต่อรองทางการเมือง ไม่มีพรรคไหนเสนอการแก้ไขเพียงเพราะมันเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง”…
บรรยากาศในรัฐสภาวันนี้ตึงเครียด เมื่อการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเผชิญกับความเห็นต่างภายในพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ออกโรงย้ำชัดว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี” ศึกสองสนามในรัฐสภา ยื่นศาลรธน. หรือเดินหน้าต่อ? เขาระบุว่า วันนี้ (13ก.พ.68) รัฐสภามี 2 การตัดสินใจสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล คือ จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่? โดยถกเถียงกันถึงการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภามีอำนาจพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ของพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย) หรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนเดินหน้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สาเหตุที่พรรคประชาชน ไม่เห็นด้วย กับการยื่นศาลรัฐธรรมนูญด้วย 3 เหตุผลหลัก คือ ประชามติสองรอบสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 อยู่แล้ว หากรัฐสภาเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการทำประชามติ 2 ครั้ง ก่อนและหลังการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนั้น การส่งเรื่องให้ศาลวินิจฉัยใหม่จึงไม่จำเป็น ,รัฐสภาเคยส่งเรื่องให้ศาลพิจารณามาแล้ว 2 ครั้ง ปี 2564 ศาลวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติ และปี 2567 ศาลปฏิเสธรับคำร้องโดยให้เหตุผลว่าคำวินิจฉัยเดิมยังมีผลอยู่ และนายกรัฐมนตรีควรจัดการเอง ไม่ใช่ผลักภาระให้ศาล พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคของนายกรัฐมนตรี เคยแสดงจุดยืนว่าวิธีการทำประชามติสองรอบเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่นายกฯ ได้พยายามคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วหรือยัง? เพราะล่าสุด หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าการหารือในพรรคร่วมยังไม่เกิดขึ้น “ผมได้เตรียมข้อมูลสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อนำเสนอในที่ประชุม แต่กลับไม่มีโอกาสอภิปรายเนื่องจากที่ประชุมถูกปิดก่อน” ส่วนประเด็นที่สองที่รัฐสภาพิจารณาวันนี้คือ จะเดินหน้าประชุมต่อหรือยุติการพิจารณา? เมื่อที่ประชุมไม่ได้ส่งเรื่องให้ศาลรธน. คำถามต่อมาคือ รัฐสภาจะเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่? พรรคประชาชนยืนยัน ต้องเดินหน้า ไม่วอล์คเอาท์ ไม่หลบหนี เพราะเปิดพื้นที่ให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายเต็มที่ สร้างความเข้าใจต่อประชาชนถึงเหตุผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างไร และเห็นว่าเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นและคลายข้อกังวล หากมีข้อสงสัยด้านกฎหมาย การอภิปรายในสภาคือเวทีที่เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่การปิดประชุมหรือวอล์คเอาท์ “การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ ไม่ได้หมายความว่าต้องลงมติทันที แต่เป็นโอกาสในการพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน” “นายกฯ ต้องนำ ไม่ใช่แค่รอ” การอภิปรายในรัฐสภาวันนี้สะท้อนชัดเจนว่า แม้การร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่พรรคร่วมรัฐบาลเองกลับขัดแย้งกัน ทั้งในเชิงกฎหมายและจุดยืนทางการเมือง พริษฐ์ ชี้ว่าทางออกไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขึ้นอยู่กับ “ภาวะผู้นำ” ของนายกรัฐมนตรี จะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของรัฐสภาหรือพรรคการเมือง ประเทศไทยใช้ระบบรัฐสภา ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี นายกฯ ได้ตำแหน่งจากเสียงข้างมากของรัฐสภา…
