Author: Writer Publisher

เป็นตอนหนึ่งในคลิปเสียงที่นำมาเปิดในเวทีเสวนา เรื่อง “พิรงรอง Effect” ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้…ซึ่งจัดโดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอาจารย์ธงทองอัญเชิญแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานให้นักกฎหมายหลายวาระว่า นักกฎหมายอย่าเผลอนึกว่าตัวกฎหมายเป็นตัวความยุติธรรมที่แท้ กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือแสวงหาความยุติธรรม เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่คนที่ต้องเดินทางไต่ตัวบท แต่ต้องดูเจตนารมย์ ดูบริบท ดูผลกระทบ ผลข้างเคียง ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เป็นข้อพิพาท การตัดสินคดีพิพาทต้องดูข้อเท็จจริง ดูกฎหมาย ดูเรื่องราวบริบทแวดล้อมให้ครบถ้วน อาจารย์ธงทองย้ำ กฎหมายเป็นเครื่องมือแสวงหาความยุติธรรม ถ้าเราเผลอนึกว่าก็ตัวหนังสือเขียนไว้อย่างนี้ เราจะตกหล่นสาระสำคัญของเรื่องนี้ไป ในการฟ้องคดีมีบ่อยครั้งหลายเรื่อง จะพบว่าผู้นำคดีมาสู่ศาลนั้น ไม่ได้ต้องการประเด็นแพ้ชนะในคดีเท่านั้น แต่ต้องการผลข้างเคียงอื่นๆ เช่นผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ส่วนตน หรืออื่นๆ ที่สำคัญเราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ “ต้องบอกนักกฎหมายว่า เราต้องมีความรอบคอบ มีสติ ไม่ตกหล่นไปเป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์ข้างเคียงของการฟ้องคดี ต้องใช้ความรอบคอบ ดุลพินิจ อย่าให้เป็นเครื่องมือใช้กฎหมายเดินนอกกรอบของความยุติธรรม” ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ อ่านแถลงการณ์แสดงจุดยืนของคณะนิเทศศาสตร์ ที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการและปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะอีกด้วย

Read More

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งสำหรับคดีของนักแสดงสาว “แตงโม นิดา” หลัง “บังแจ็ค” ออกมาเปิดเผยถึงโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่อยู่ในความครอบครองของตนเอง พร้อมยืนยันว่าไม่ขายโทรศัพท์เครื่องนี้ แม้จะมีคนเสนอเงินจำนวนมากถึง 5 ล้านบาทก็ตาม ข้อมูลในโทรศัพท์แตงโมถูกลบเพียบนายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือ บังแจ็คได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ว่า โทรศัพท์มือถือของแตงโมถูกส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ เพื่อนำไปส่งมอบให้ดีเอสไอใช้ในการคลี่คลายคดี โดยบังแจ็คเผยว่า ข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างถูกลบไป เช่น แชทที่คุยกับนักการเมืองดัง ข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแส รวมถึงบัญชีของเพื่อนสนิทหลายคนของแตงโมก็ถูกลบไปด้วย กู้ข้อมูลได้ 4 หมื่นรูป พบคนดัง-คนใหญ่คนโตแชทหาบังแจ็คระบุว่า ตนเองกู้ข้อมูลในโทรศัพท์ได้กว่า 40,000 รูป แต่ยังดูไม่หมด และพบว่ามีคนดังและคนใหญ่คนโตหลายคนแชทหาแตงโมในเวลาผิดปกติ รวมถึงข้อความที่แตงโมคุยกับนักการเมืองดังที่ขู่จะปล่อยภาพลับและเรียกให้ไปหา ไม่ขายโทรศัพท์ แม้เสนอ 5 ล้านบังแจ็คเปิดเผยว่า มีคนพยายามเสนอเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ โดยเสนอเงินสูงถึง 5 ล้านบาท แต่ตนเองยืนยันว่าไม่ขาย เพราะอยากยกให้ นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะ เนื่องจากไว้ใจทั้งสามคนที่สุด เชื่อเวรกรรมมีจริง คดีแตงโมต้องกลับมาบังแจ็คกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง และคดีของแตงโมจะต้องกลับมาอีกครั้ง เพราะมีพิรุธหลายอย่างที่น่าสงสัย และตนเองได้เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้หมดแล้ว

Read More

แม้ภาพรวมการเปิดโรงงานใหม่ในไทยจะยังมากกว่าการปิดตัว แต่สถานการณ์โดยรวมยังน่าห่วง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้โรงงานยังเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เหตุเศรษฐกิจผันผวน กำลังซื้อเปราะบาง แถมเจอดาบสองสงครามการค้ารอบใหม่และแรงกดดันจากสินค้านำเข้า สถานการณ์โรงงานไทยปี 2567: เปิดมากกว่าปิด แต่ SMEs ยังน่าห่วง ภาพรวม: แม้การเปิดโรงงานจะมากกว่าปิด แต่จำนวนโรงงานที่ปิดตัวเฉลี่ยยังคงมากกว่า 100 แห่งต่อเดือน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โรงงานเปิดใหม่ลดลง: ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) โรงงานเปิดใหม่หักลบด้วยโรงงานปิดตัว เฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือน จาก 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565 SMEs ปิดตัวมากขึ้น: โรงงานที่ปิดตัวลงในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) มากขึ้น สะท้อนจากทุนจดทะเบียนรวมของโรงงานที่ปิดตัวลงที่น้อยกว่าปี 2566 ถึง 3.8 เท่า ประเภทโรงงานที่ปิดตัว: ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิต เผชิญความต้องการที่ลดลง และแข่งขันรุนแรง ทั้งจากคู่แข่งและสินค้านำเข้า เช่น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า ยานยนต์ และเหล็ก การจ้างงาน: โรงงานเปิดใหม่จ้างงานเฉลี่ย 36 คนต่อแห่ง สูงกว่าโรงงานปิดตัวที่เลิกจ้างเฉลี่ย 28 คนต่อแห่ง แต่ชั่วโมงการทำงานในภาคการผลิตมีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อรายได้แรงงาน ปี 2568: SMEs ยังเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่องศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า โรงงานยังเสี่ยงที่จะปิดตัวต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะ SMEs จากหลายปัจจัยกดดัน: เศรษฐกิจและกำลังซื้อ: ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบางจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สงครามการค้า: ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจส่งผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ สินค้านำเข้า: แรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ภาครัฐและผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Read More

จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 2 ปี “พิรงรอง รามสูต” กรรมการ กสทช. กรณี เร่งรัดให้สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือแจ้งเตือนผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม True ID โดยไม่มีมติจากที่ประชุม ศาลชี้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมพบหลักฐานการแก้บันทึกประชุม ทำเอกสารเท็จ และตีความคำว่า “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง True ขณะเดียวกันยังสะท้อนปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่มีใครเอื้อมมือเข้าไปควบคุมการให้บริการเนื้อหาภาพพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ OTT หรือ Over-the-top ได้เลย คำตัดสินนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า “หาก กสทช. ไม่มีอำนาจกำกับดูแลแพลตฟอร์ม OTT แล้วใครจะคุ้มครองผู้บริโภค?” ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลทุนใหญ่และแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่สังคมต้องช่วยกันถอดบทเรียน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ “พิรงรอง” แต่เป็นประเด็นสาธารณะในมุมมอง “การคุ้มครองผู้บริโภค” ด้วย มาสรุปประเด็นสำคัญของคำพิพากษากันหน่อยว่า ศาลฯ ชี้ว่าอย่างไร 1 ศาลฯ ชี้ว่า “พิรงรอง” ใช้อำนาจโดยมิชอบ ตั้งแจ้งเตือน True ID ผ่านผู้ให้บริการทีวีดิจิทัล โดยไม่มีมติจาก กสทช. ออกหนังสือแจ้งเตือน True ID ให้ผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลตรวจสอบการเผยแพร่ช่องรายการของตนผ่านแพลตฟอร์ม True ID ถ้อยคำในที่ประชุมว่า “ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์” และ “ใช้วิธีตลบหลัง” ถูกใช้เป็นหลักฐานสำคัญของเจตนาในการพุ่งเป้าไปที่ True ID ศาลชี้ว่า การแจ้งเตือนดังกล่าวทำให้ True ID ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งที่ กฎหมายยังไม่กำหนดให้แพลตฟอร์ม OTT ต้องขอใบอนุญาตจาก กสทช. 2 แก้ไขบันทึกประชุม – ทำเอกสารเท็จศาลพบว่ามีการแก้ไขบันทึกประชุม เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีมติให้แจ้งเตือน True ID ทั้งที่ไม่มีมติดังกล่าว ดังนี้ ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2556 (16 ก.พ.2566) มีการหารือเรื่อง True ID ไร้ข้อสรุปว่าต้องมีการขอใบอนุญาตหรือไม่ ไม่มีมติให้แจ้งเตือน…

Read More

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) จับกุม นายสำเริงฯ อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 628/2568 ลงวันที่ 30 มกราคม 2568 ในข้อหา “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น, ส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น, เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้เผยแพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก, ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชน” การจับกุมมีขึ้นหลังจากตำรวจสืบสวนคดีค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก และพบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอาศัยอยู่ใกล้บ้านของเด็กชายวัย 11 ขวบ ได้ล่อลวงเด็กไปกระทำชำเราหลายครั้ง พร้อมทั้งบันทึกภาพและคลิปวิดีโอขณะก่อเหตุ ก่อนนำไปจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีการโฆษณาขายคลิปวิดีโอลามกอนาจารเด็กผ่านกลุ่มลับ ซึ่งผู้ต้องหาจะเสนอขายคลิปแลกกับเงิน โดยใช้คำพูดหลอกล่อว่าเป็น “ค่าขนมให้น้องไปโรงเรียน” หรือ “แล้วแต่จะให้” เพื่ออำพรางพฤติกรรม จากการสืบสวนขยายผล พบว่า ผู้ต้องหามีการผลิตสื่อลามกอนาจารเด็กด้วยตัวเองนับสิบครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติขอหมายจับ และเข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา พบพยานหลักฐานสำคัญหลายรายการที่สามารถเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก, กล้องวงจรปิด และเอกสารทางการเงิน ซึ่งเป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก และพบอาวุธปืนยาว ขนาด .22 ไม่มีหมายเลขทะเบียนจำนวน 1 กระบอกผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว หรือ EDL เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเพจทางการ ชี้แจงเรื่องการซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามกรอบความร่วมมือ และเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าอาเซียน พร้อมระบุได้ขายไฟฟ้าให้เมียนมามีปริมาณไม่มาก และส่งไฟฟ้าให้เฉพาะกับเมืองท่าขี้เหล็กตรงข้ามแขวงบ่อแก้ว เพื่อสนองความต้องการใช้ของประชาชน หน่วยงานรัฐ โรงเรียน โรงพยาบาล และภาคธุรกิจเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2565 ในปริมาณไม่เกิน 30 เมกะวัตต์ ที่ระดับแรงดัน 115kV แต่ 2 วันที่ผ่านมาเมืองท่าขี้เหล็กรับไฟฟ้าจากลาวเพิ่มเป็น 27 เมกะวัตต์ เพราะประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้า อย่างไรก็ตามรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวได้ลดปริมาณการส่งไฟฟ้าให้แก่เมืองท่าขี้เหล็กเหลือไม่เกิน 13 เมกะวัตต์เท่าเดิม ด้วยเหตุผลที่ว่าไฟฟ้าบางส่วนได้ถูกใช้ในกิจการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกันนี้ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว กำลังประสานข้อมูลกับทางการเมียนมา เพื่อให้ความร่วมมือปราบปรามหรือสกัดกั้นการนำไฟฟ้าไปใช้ในกิจการที่ผิดกฎหมาย รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และร่วมมือกับทางการเมียนมาในการตัดไฟให้ตรงจุด เพื่อลดผ่อนการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ในวงกว้างพร้อมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่ารัฐบาลลาว รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว จะไม่ส่งไฟฟ้าหรือขายไฟฟ้าให้กับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ ทางการลาวส่งหนังสือถึงบริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารทุกบริษัท ให้ยุติการเชื่อมต่อระบบสายส่งโทรคมนาคมระหว่างประเทศทันที เพื่อตรวจสอบ และปรับปรุงการเชื่อมต่อการสื่อสารให้ถูกต้อง ก่อนพิจารณาอนุญาตเปิดการเชื่อมต่อเป็นรายๆ ต่อไป พร้อมแจ้งผู้ให้บริการทุกราย ดูแลการเชื่อมต่อระบบโทรคมนาคมกับต่างประเทศ ให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย

Read More

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณี “พิรงรอง รามสูต” กรรมการ กสทช. ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกบนแพลตฟอร์ม True ID โดยศาลชี้ว่าการกระทำดังกล่าว เข้าข่ายกลั่นแกล้งและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทั้งนี้ พิรงรองได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 120,000 บาท พร้อมเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ครป. แสดงจุดยืน คำพิพากษาเอื้อประโยชน์ทุนใหญ่-กระทบการทำงานของ กสทช. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนปกป้องกระบวนการทำงานขององค์กรกำกับดูแลอย่าง กสทช. โดยมีประเด็นหลักดังนี้ คำพิพากษาอาจเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาด ครป. แสดงความเห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าว เป็นคุณต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ด้านโทรคมนาคม แต่กลับเป็นโทษต่อสังคมและผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะกรรมการ กสทช. ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและสื่อสารมวลชน พิรงรองปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย กสทช. แถลงการณ์ระบุว่า พิรงรองดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในมาตรา 27 ของกฎหมาย กสทช. ซึ่งรวมถึงการ กำกับดูแล ตรวจสอบ และออกมาตรการที่เกี่ยวข้อง การที่สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือเตือนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเกี่ยวกับโฆษณาแทรกบนแพลตฟอร์ม True ID เป็นการทำหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและสาธารณะ ประเด็นเรื่องโฆษณาแทรกบน True ID แถลงการณ์ของ ครป. อธิบายว่า การแจ้งเตือนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเกี่ยวกับโฆษณาแทรกในแพลตฟอร์ม True ID เป็นการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชน โดยแพลตฟอร์ม True ID นำช่องรายการของผู้ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. มาเผยแพร่ พร้อมแทรกโฆษณา ซึ่งขัดต่อหลัก Must Carry ของ กสทช. สำนักงาน กสทช. จึงออกหนังสือให้ ผู้ประกอบการตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดย ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติหรือมุ่งโจมตีผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งเป็นพิเศษ คดีนี้อาจเป็นตัวอย่างของ “การฟ้องปิดปาก” ที่กระทบต่อเสรีภาพและความเป็นธรรม ครป. กังวลว่าคำตัดสินของศาลครั้งนี้ อาจกลายเป็นแบบอย่างของ “SLAPP” หรือ “การฟ้องปิดปาก” เพื่อขัดขวางการทำงานของหน่วยงานรัฐและบุคคลที่ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ “การดำเนินคดีต่อกรรมการ กสทช. อาจเป็นเครื่องมือที่ใช้โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เพื่อขัดขวางการทำงานขององค์กรกำกับดูแล…

Read More

เป็นผลพวงหลังบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้อง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา โดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ย้ำทำหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการและปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะ โดยระบุได้ตระหนักดีว่าไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาล แต่ในฐานะสถาบันการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ก็ไม่อาจนิ่งเฉย เนื่องจากประเทศไทยได้ต่อสู้ขับเคลื่อนเรื่องปฏิรูปสื่อมาอย่างยาวนาน กระทั่งมีองค์กรอิสระกำกับดูแลสื่ออย่าง กสทช. ซึ่งสังคมคาดหวังให้มีความเป็นอิสระจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน เพื่อกำกับดูแลสื่อให้เป็นไปตามหลักจริยธรรมวิชาชีพ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้บริโภคสื่อ พร้อมเห็นว่าสภาพการณ์ภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ไม่สามารถรองรับได้ทัน จนเกิดปัญหาต่อระบบอุตสาหกรรมสื่อและเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิผู้บริโภคสื่อ โดยอาศัยความได้เปรียบที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแล จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของ กสทช. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อและประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ และวันนี้คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ก็จัดกิจกรรมด่วนทั้งกากตอกย้ำแถลงการณ์ และจัดเสวนา นำโดยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ นายธงทอง จันทรางศุ และอดีต กสทช.นักกฎหมาย และคนในวงการสื่อฯ ขณะที่คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนสนับสนุน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรองเช่นกัน โดยเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ควรเป็นไปตามหลักนิติธรรม และมีความเป็นอิสระ เพื่อปกป้องสิทธิการสื่อสารขั้นพื้นฐาน เสริมสร้างระบบการสื่อสารที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ นอกจากนี้เชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมจะเป็นหลักประกันสำคัญในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต และสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนต่อไป.

Read More

จากกรณีตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ติดต่อประสานขอความร่วมมือรับตัวทหารกองประจำการในสังกัดกองทัพบก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น ทบ.เผยกรณีพลทหาร(อนุวัติ ตันใจ) เกี่ยวข้องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบเป็นการกระทำผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ก่อนเข้าเป็นทหาร โดยผู้กระทำก่อเหตุ ในช่วงเดือน ก.ค. 2566 และต่อมาในวันที่ 1 พ.ค.2567 ผู้ต้องหาถูกเรียกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร ณ มณฑลทหารบกที่ 37 สังกัด กองร้อย มณฑลทหารบกที่ 37 จนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งวันที่ 5 ก.พ.2568 จนท.ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นำทีมโดย พ.ต.ท.ณัฐพล แต่เจริญ รอง ผกก.กลุ่มงานสนับสนุนฯ บก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้เข้าจับกุม นายณัฏฐชัย อายุ 32 ปี ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.10 ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร นายณัฏฐชัย เป็นอินฟลูเอนเซอร์สายช่างชื่อดัง เจ้าของช่องยูทูบที่มีผู้ติดตามกว่า 1.1 ล้านคน มีชื่อเสียงจากการทำคลิปวิดีโอเกี่ยวกับงานช่าง การประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ แต่กลับใช้ช่องทางออนไลน์ของตนเองโพสต์ชักชวนให้ผู้อื่นเล่นพนันออนไลน์ จากการสืบสวนพบว่า นายณัฏฐชัยได้โพสต์ข้อความชักชวนเล่นพนันออนไลน์หลายครั้ง จึงได้ขอหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรสาครเข้าตรวจค้นบ้านพัก และตรวจยึดของกลางเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และสมุดบัญชีธนาคาร ที่ใช้ในการกระทำความผิด เบื้องต้น นายณัฏฐชัย ให้การรับสารภาพว่า ได้รับค่าจ้างจากเว็บพนันออนไลน์ให้โพสต์ชักชวนคนมาเล่นพนันจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นผู้ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนัน (พนันฟุตบอลออนไลน์) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านแพ้ว ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More