Author: Writer Publisher

นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรง 44 อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล กรณีร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ขณะนี้การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารค่อนข้างครบถ้วนแล้วโดยขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการไต่สวนจะนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานมาพิจารณาว่าจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลใดหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาจะดำเนินการเป็นรายบุคคล เพื่อพิจารณาพฤติการณ์ว่ามีบุคคลใดเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ การร้องเรียนดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากคดี “ล้มล้างการปกครอง” หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ 44 อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไข มาตรา 112 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญ สำหรับรายชื่ออดีต 44 ส.ส. ก้าวไกลที่ถูกร้องเรียน ประกอบด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ นายธีรัจชัย พันธุมาศ น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี น.ส.เบญจา แสงจันทร์ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ นายนิติพล ผิวเหมาะ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายปดิพัทธ์ สันติภาดา นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ นายปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา นายวรภพ วิริยะโรจน์ นายคำพอง เทพาคำ นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ นายทองแดง เบ็ญจะปัก นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ นายจรัส…

Read More

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือ “พ.ร.ก.ไซเบอร์” ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่ยังคงสร้างความเสียหายแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง นายจิรายุ กล่าวว่า รัฐบาลพบว่าประชาชนยังคงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ทำให้สูญเสียเงินเฉลี่ยวันละ 60-70 ล้านบาท พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับเดิมจึงต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง เนื่องจากยังขาดอำนาจหน้าที่และบทลงโทษในหลายประเด็น โดยเฉพาะการจัดการบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P การคืนเงินแก่ผู้เสียหาย และการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด สาระสำคัญของ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่ เพิ่มอำนาจ ในการจัดการแพลตฟอร์ม P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพิ่มหน้าที่ ให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (telco provider) ระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพิ่มหน้าที่ ให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีม้าไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบและคืนเงินแก่ผู้เสียหายอย่างรวดเร็วเพิ่มบทลงโทษ แพลตฟอร์ม P2P และธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของมิจฉาชีพเพิ่มบทลงโทษ ผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มบทลงโทษ ให้สถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปล่อยปละละเลยทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงความจำเป็นในการออก พ.ร.ก. ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงว่า หาก ครม. เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก. ได้ ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้มีประโยชน์ต่อประชาชน และจะช่วยป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คาดว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา นายจิรายุ ย้ำว่า พ.ร.ก.ไซเบอร์ เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ รัฐบาลยังเดินหน้ามาตรการอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น การประสานความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข

Read More

The Publisher ลองนำงบประมาณ 329 ล้านบาท ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เตรียมของบกลางมาใช้ในโครงการพิเศษแก้ฝุ่นพิษ ด้วยการให้ ปชช.ขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรีเป็นเวลา 7 วัน มาคำนวณเทียบกับราคาหน้ากาก N 95 ที่ในตลาดออนไลน์กำหนดราคาจำหน่ายอยู่ที่กล่อง 480 บาทพบว่า จะสามารถซื้อหน้ากาก N95 ได้มากถึง 685,416 กล่อง ได้จำนวนหน้ากาก N95 ทั้งหมด 13,708,320 ชิ้น (ในความเป็นจริงราคาจะต่ำกว่านี้อีกมากกรณีซื้อจำนวนเยอะ ๆ ) คุณคิดว่าใช้งบประมาณแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ?

Read More

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังไม่มีคำสั่งตามคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลฯ เปิดไต่สวนปมชั้น 14 ว่ากระบวนการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ กรมราชทัณฑ์ดำเนินการขัดกฎหมายอาญาหรือไม่ และการคุมขังเป็นไปโดยชอบหรือไม่ หากไม่ชอบขอให้ศาลออกหมายขังใหม่ได้หรือไม่ ว่า ถือเป็นสัญญาณบวก เพราะศาลฯ ยังไม่ได้ยกคำร้อง แสดงว่าศาลฯ ยังให้คำร้องของนายชาญชัยไปต่อ แตกต่างจากสองคำร้องแรกที่นายชาญชัยเคยยื่นไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งศาลฯ ยังใช้คำว่า “อยู่ระหว่างพิจารณาคดี” ห้ามมิให้เผยแพร่ “คำร้อง” ด้วย แสดงให้เห็นว่า ศาลฯ อาจพบว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณาจากเอกสารที่นายชาญชัยยื่นไป โดยต่อจากนี้มีความเป็นไปได้ที่ศาลฯ อาจยกคำร้อง หรือตั้งองค์คณะขึ้นมาไต่สวนตามคำร้อง ซึ่งหากมีการตั้งองค์คณะไต่สวนฯ ก็จะทำให้ข้อพิรุธเกี่ยวกับเรื่องชั้น 14 ทั้งหมดไปปรากฏต่อหน้าศาลฯ เรียกผู้เกี่ยวข้องไปให้ถ้อยคำ เช่น อาจเชิญตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา ที่เคยสอบประเด็นนี้ และ กสม. ไปให้ข้อมูลว่าเหตุใดจึงมีมติส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นขรก. กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษ กทม. โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งแพทยสภา เป็นต้น “พิรุธเรื่องชั้น 14 มีปัญหาตั้งแต่นายทักษิณถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ซึ่งยังอยู่แดนแรกรับ หลังอาการป่วยกำเริบความดันสูง ออกซิเยนต่ำ ก็ไม่มีแพทย์วินิจฉัยแต่เป็นพยาบาลหรืออาจจะเป็นผู้ช่วยพยาบาลด้วยซ้ำ ซึ่งแทนที่จะขออนุญาตผู้บัญชาการเรือนจำ ส่งตัวไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อนเพื่อเยียวยาเบื้องต้น แต่กลับส่งไปโรงพยาบาลตำรวจเลย ในการรักษาก็ไม่ปรากฏว่ามีเวชระเบียน และยังมีการผ่าตัดออโธปิดิกส์ที่ไม่สามารถทำได้ในผู้ป่วยวิกฤต อีกทั้งห้องพักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงกับกรมราชทัณฑ์ เพราะอาคารที่ตกลงกันคืออาคารเฉลิมพระเกียรติ ที่มีห้องขังลูกกรงเหล็กป้องกันนักโทษหลบหนี แต่อาคารภูมิพล เป็นอาคารพักฟื้น ชั้น 14 เป็นชั้นวีไอพีเรียกว่าตึกนายพล เป็นห้องพิเศษ ซึ่งพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เคยไปพบนายทักษิณมาแล้วสองครั้ง ยืนยันว่าเป็นห้องที่ติดวิวสนามกอล์ฟสวยงาม ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คอยควบคุมตามระเบียบที่กำหนด และนายทักษิณก็ไม่ได้ใส่ชุดนักโทษ ไม่มีอาการป่วยวิกฤต ตรงข้ามฟิตกว่าพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์อีก และชั้น 14 ก็เหมือนอาคารร้าง ไม่มีใครอยู่เลย การให้นายทักษิณรักษาตัวยาวนานถึง 181…

Read More

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือร้องเรียนจากนายพงษ์ประพันธ์ นิตยารัมภ์พงศ์ พร้อมด้วยประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยถูกหลอกว่ามีคดีความและถูกตำรวจปลอมหลอกให้โอนเงิน ผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้า จึงขอความช่วยเหลือจาก กมธ. พร้อมระบุว่าได้รวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานไม่รอบคอบ ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์เป็นเรื่องใหญ่ สร้างความเสียหายต่อประชาชนทั่วประเทศ โดยข้อมูลของทางการระบุว่า ความเสียหายต่อปีอยู่ที่ 7-8 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้ กรณีของนายพงษ์ประพันธ์ มีความเสียหายถึง 3.2 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของประเทศ “เราไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ต้องเร่งจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ให้หมดสิ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว นายรังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลายภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ เช่น ธนาคารต้องมีมาตรการป้องกัน รวมถึงการควบคุมบัญชีม้าและซิมม้า ซึ่งที่ผ่านมา แม้จะมีการหารือในสภาหลายครั้ง แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าในการปราบปรามอย่างจริงจัง แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตราบใดที่ประชาชนยังถูกหลอกลวง เม็ดเงินก็รั่วไหล ไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตประชาชน แต่ยังทำลายภาพลักษณ์ของประเทศด้วย นายรังสิมันต์ ยืนยันว่า แก๊งคอลเซนเตอร์ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับหลายภาคส่วนในประเทศไทย จึงสามารถจัดการได้ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับนิ่งเฉย การตัดไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ต้องมีมาตรการอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ กมธ. จะลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 16-17 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อติดตามเรื่องดังกล่าว เมื่อถูกถามถึงความร่วมมือกับจีนในการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถจัดการเองได้ แต่การร่วมมือกับจีนจะช่วยให้การดำเนินการมีความชัดเจนมากขึ้น โดยหวังว่าความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

Read More

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เดินหน้าคดีฉ้อโกงแชร์ลูกโซ่ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ล่าสุดส่งสำนวนฟ้อง “บอสพอล” พร้อมพวกรวม 4 ราย ในข้อหาฟอกเงิน หลังจากที่ DSI ได้มีมติสั่งฟ้องผู้ต้องหา 19 ราย ในคดีฉ้อโกงประชาชน โดยส่งสำนวนให้อัยการพิเศษไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุด DSI ได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมในข้อหาฟอกเงินกับกลุ่มผู้บริหารและเครือข่ายของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด โดยวันนี้ (28 มกราคม 2568) พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ. วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ/หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และนายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา นำส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 4 ราย ประกอบด้วย บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล หรือ บอสพอล นายสามารถ และนางวิลาวัลย์ (มารดาของนายสามารถ) ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาต่อไป DSI ระบุว่า การดำเนินคดีในครั้งนี้เป็นเพียงล็อตแรก โดยยังอยู่ระหว่างการสอบสวนผู้ต้องหาอีก 18 ราย ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินในคดีนี้ ซึ่ง พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้แยกสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป

Read More

สมาคมโรงแรมจังหวัดกระบี่ เชิญชวนภาคธุรกิจและประชาชนร่วมฉลองตรุษจีนอย่างรักษ์โลก ด้วย “การจุดประทัดเสียง” แทนประทัดควัน ต้นแบบโรงแรมและชุมชนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมเฉลิมฉลองที่ปลอดภัยและยั่งยืน ลดมลพิษ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 นำโดย นางสาวกัสมาพร ลิมปนพงศ์เทพ นายกสมาคมฯ ได้จัดโครงการนำร่องจัดขึ้นที่ โรงแรมปกาสัย และ ขิงแดงชิค รีสอร์ท พร้อมส่งเสริมกระบี่เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ไม่เพียงแต่ประทัดเท่านั้นที่ก่อให้เกิดมลพิษ นอกจากการจุดประทัดเสียงแทนประทัดจริงแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยก่อให้เกิดความยั่งยืนได้ ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย อย่างเช่น การแจกอั่งเป่าออนไลน์ ลดการใช้กระดาษ ลดการใช้ถ้วยชามพลาสติก การใช้ธูปมินิมอล หรือการเผากระดาษเงินกระดาษทองออนไลน์แถมยังส่งให้บรรพบุรุษไวกว่าควันไฟอีกด้วย ตรุษจีนปีนี้และปีต่อ ๆ ไปมารักษ์โลกด้วยกันนะคะ ซินเหนียนไคว่เล่อ

Read More

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง ถึงกรณีรัฐบาลประกาศให้เรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติว่า ในปี 2562 รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และมีแผนแม่บทในการแก้ปัญหาแล้วตั้งแต่ปี 2562-2567 แต่ไม่มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังหลังมีการเปลี่ยนรัฐบาล การดำเนินการขาดช่วงไปตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน “มีตัวเลขที่ชัดเจนยืนยันว่า ในปี 2563-3565 จำนวนวันที่มีปริมาณฝุ่นอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จุดความร้อนลดลง ผู้เจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจลดลงมาตลอด เช่น จุดความร้อนจาก 146,000 จุดในปี 63 ลดลงเหลือแค่ 53,643 จุดเท่านั้นในปี 65 แต่ในปี 66 เพิ่มเป็น 178,230 จุด ส่วนผู้ป่วยทางเดินหายใจก็ลดลงตลอดจาก 1,116,000 กว่าคน ในปี 63 ลดลงเหลือแค่ 9 แสนกว่าคนในปี 65 แต่ปี 66 เพิ่มเป็น 2.3 ล้านคน หลังเปลี่ยนรัฐบาล สะท้อนถึงการไม่เข้มงวดในการใช้แผน มีผลศึกษาจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า คนที่อยู่ในพื้นที่มลพิษสูงมีมากถึง 38 ล้านคน จาก 67 ล้านคน ทำให้อายุลดลงประมาณ 1.78 ปี เมื่อได้รับมลพิษต่อเนื่องทุกวันจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพอนามัย เป็นโรคระบบทางเดินหายใจมากขึ้น” ดร.สนธิ กล่าว ดร.สนธิ กล่าวว่า ที่ผ่านมามาสเตอร์แพลนดีหมดแต่ขาดแอคชัน เช่น กำหนดไว้ว่าต้องไม่มีการเผาไร่อ้อย 100 % ในปี 2565 ก.เกษตรฯ อุตฯ ต้องไปจัดการ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนอย่างจริงจัง แผนเก่ายังมีกำหนดด้วยว่าให้ย้ายท่าเรือคลองเตยออกจากกรุงเทพฯ รวมถึงอีกหลายแผนแต่ก็ยังไม่ได้ทำ ตอนนี้จะกำหนดเป็นวาระแห่งชาติอีก ก็จะซ้อนของเก่า คงจะมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝุ่นแยกออกไป หรือเป็นเพราะรัฐบาลใหม่จึงไม่เอาแผนของรัฐบาลเก่าหรือไม่ แต่ผมมองว่าแผนเก่ามันเกิดจากการระดมความเห็นทุกภาพส่วนใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องกำหนดแผนใหม่แค่ปฏิบัติอย่างจริงจังก็จะช่วยแก้ปัญหาได้อยู่แล้ว สิ่งที่ประเทศไทยต้องการไม่ใช่แผนใหม่ แต่เป็นการปฏิบัติตามแผนที่มีอยู่ เพราะแผนพร้อมอยู่แล้วแต่แอคชันไม่มี นี่คือความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่วนมาตรการขึ้นรถไฟฟ้า…

Read More

กิจกรรมหลักอยู่ที่ลานด้านหน้าหอประชุม เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นประธาน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมปล่อยรถขบวนรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แบ่งเป็น 5 เส้นทาง ครอบคลุมตลาดและพื้นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 8.00 น. -17.00 น. ประธาน กกต.ย้ำให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิและสถานที่เลือกตั้ง รวมถึงศึกษาข้อมูลผู้สมัครผ่านเอกสารแจ้งเจ้าบ้านหรือแอปพลิเคชัน Smart Vote พร้อมกล่าวว่า ” 1 เสียงของท่านเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศ“ ทั้งนี้มีกิจกรรมรณรงค์ฯ ใน 4 ภาคทั่วประเทศ โดยมีกรรมการการเลือกตั้ง เลขาธิการ และรองเลขาธิการ กกต. ลงพื้นที่รณรงค์โค้งสุดท้ายเชิญชวนประชาชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกตั้ง ภายใต้แคมเปญ “สร้างสรรค์ประเทศ พร้อมใจไปเลือกตั้ง“ สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สจ.-นายก อบจ.ใน 47 จังหวัดแต่ไม่สามารถไปใช้สิทธิ เนื่องจากมีเหตุอันสมควร ให้แจ้งเหตุต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน โดยสามารถแจ้งด้วยตัวเอง หรือมอบหมายให้ผู้อื่นไปยื่นแทน หรือจัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือแจ้งทางอิเล็กทรอนิกส์

Read More

เป็นความคืบหน้าการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ สถานบันเทิงครบวงจร ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกว่าได้หารือทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งเมื่อถามว่ากระทรวงมหาดไทยมีข้อเสนออย่างไร นายปกรณ์บอกเป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ เช่นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ส่วนกรณีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่ากฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% เรื่องนี้เลขาธิการกฤษฎีกา บอกยังไม่ถึงขนาดนั้น เมื่อถามว่ากฤษฎีกามองว่าควรจะบัญญัติ สัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เพราะอาจกลายเป็นช่องว่างทางกฎหมายในภายหลัง เรื่องนี้นายปกรณ์บอกประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่ นายจุลพันธ์มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ขณะที่มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ที่เคลื่อนไหวหยุด พ.ร.บ.ซ่อนแอบซุกกาสิโนใต้เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ล่าสุดโพสต์ข้อความรณรงค์ “ไม่เอากาสิโน” ต้องประชามติ เพื่อให้รับฟังเสียงประชาชนก่อน หลังรัฐบาลเร่งผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยอ้างว่าเสียงส่วนใหญ่คือจำนวน สส.รัฐบาลเห็นด้วย

Read More