Author: Writer Publisher

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ร่วมแถลงขั้นตอนและการเตรียมความพร้อมจำลองเหตุการณ์ตกเรือของ “แตงโม นิดา” ในวันที่ 16 มกราคม 2568 เริ่มจากท่าเรือพิบูลสงคราม 1 โดยจะจัดสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ให้ใกล้เคียงเหตุการณ์จริงมากที่สุด ทั้งจำนวนคนบนเรือ ความเร็วเรือ รวมถึงคัดเลือกอาสาสมัครมาแสดงเป็น แตงโม และ แซน นิศาพัช ซึ่งอยู่ท้ายเรือ ด้วยการทาบทามบุคคลที่เหมาะสมมาจำลองเป็นบุคคลทั้งสองด้วยส่วนสูง น้ำหนัก และใส่ชุดเดียวกันด้วย เบื้องต้นมีอาสาสมัครแสดงเป็นแตงโม และแซนแล้ว 5-6 คนทุกคนว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี แข็งแรง จำนวนนี้มีทั้งมีสแกรนด์ และครูสอนว่ายน้ำรวมอยู่ด้วย และให้ใช้เวลาช่วง 5-6 วันนี้ทำการฟิตซ้อมเพื่อความปลอดภัย รวมถึงมีมาตรการป้องกันเหตสุดวิสัยทุกด้านและประสานหน่วยกู้ภัยไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การจำลองสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ว่าด้วยน้ำหนัก ความเร็วเรือ 8 นอต และชุดที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุสามารถเดินไปปัสสาวะจนตกเรือ และถูกใบพัดเรือด้านซ้ายจนเกิดบาดแผลยาวที่ต้นขาขวาได้หรือไม่ และไม่ทำให้ชุดโค้ตที่แตงโมสวมใส่มีรอยฉีดขาดได้หรือไม่ และหลังจำลองเหตุการณ์ จะเปิดแถลงข่าว และเปิดเวทีเสวนาสรุปบทเรียนจากบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากเหตุการณ์ที่โรงแรมริเวอร์ ไรน์ เป็นลำดับต่อไป นายปานเทพและนายอัจฉริยะบอกด้วยว่า การจำลองเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด ถึงจะไม่ใช่กลางคืนก็ตาม เพราะเป็นการพิสูจน์วิธีปัสสาวะขณะเรือวิ่ง การปัสสาวะ และการตกเรือจนใบพัดเรือทำให้เกิดแผลที่ต้นขาขวาได้หรือไม่ ไม่ได้ทำเพื่อความสะใจหรือตามคำท้าทาย แต่เพื่อความสมบูรณ์ทางคดี เพราะมีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ มาสังเกตการณ์ และบินโดรน เพื่อจัดทำรายงานส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นหลักฐานใหม่พิจารณาคดีนี้ ทั้งสองคนยังบอกด้วยว่าเรื่องนี้ถูกทั้งคนขอร้อง และข่มขู่ให้ยุติการเดินหน้าเรื่องนี้ เช่นนายตำรวจใหญ่ รวมถึงมีคนขู่ฟ้องกรมเจ้าท่าไม่ให้จัดทำการจำลองเหตุการณ์ หรือฟ้องว่ากำลังละเมิดอำนาจศาลอีกด้วย. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #คดีแตงโม #แตงโม #แตงโมต้องได้รับความยุติธรรม ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.สมศักดิ์ เนียมเล็ก ผกก.5 บก.ปปป. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. นำกำลังเข้าจับกุม นายวิชญุตม์ อายุ 47 ปี นายอำเภอเหนือคลอง จ.กระบี่ และ นางอุไรวรรณ อายุ 53 ปี เจ้าหน้าที่ปกครองชำนาญงานฯ อำเภอเหนือคลอง ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือน พ.ค. 2567 บริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง ได้รับเลือกให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่พักข้าราชการอำเภอเหนือคลอง แต่กลับถูกนายวิชญุตม์เรียกรับเงิน 50,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยผ่านโครงการดังกล่าว ผู้เสียหายเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และ บก.ปปป. เจ้าหน้าที่จึงวางแผนล่อซื้อ โดยให้ผู้เสียหายนำเงินไปส่งมอบ แต่นายวิชญุตม์กลับให้ นางอุไรวรรณ เป็นผู้รับเงินแทน ก่อนจะนำไปส่งมอบต่อให้กับนายวิชญุตม์ในภายหลัง เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ และเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ในที่สุด เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ปปช #ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. เปิดเผยกับ The Publisher ถึงการนัดรวมพลที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในวันที่ 11 ม.ค.68 นี้ว่า จะมีกิจกรรมต่อเนื่องตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน โดยประเด็นโฟกัสอยู่ที่การติดตามปมชั้น 14 คุกทิพย์ กระตุ้นไปที่แพทยสภา ซึ่งกำหนดให้โรงพยาบาลตำรวจต้องส่งรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษา ส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึง 181 วัน ภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้ โดยเชื่อว่าบทสรุปจากแพทยสภาจะออกมาก่อนผลสรุปของ ป.ป.ช. “ผมคิดว่าเอกสารทางการแพทย์ที่แพทยสภาขอไป รพ.ตำรวจสามารถให้ได้ เพราะต้องตรวจสอบจริยธรรม เชื่อว่าไม่น่าจะมีการใช้แพทยสภาเป็นที่ฟอกขาวให้กับขบวนการช่วยเหลือนายทักษิณ เพราะก่อนหน้านี้มีการระบุแล้วว่า มีมูลตามคำร้องเรื่องจริยธรรมของแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ถ้าคำวินิจฉัยของแพทยสภาออกมาจะมีผลต่อเนื่องไปถึง ป.ป.ช.ด้วย และจะเป็นทางออกให้กระบวนการยุติธรรมไทยอยู่ได้ แพทยสภาไม่ใช่แค่รักษาจรรยาบรรณแพทย์แล้วตอนนี้ แต่ต้องช่วยรักษากระบวนการยุติธรรมไทยด้วย ต้องฉีดความจริงเข้าไปให้ได้” แกนนำ คปท. บอกด้วยว่า หลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ห่วงใยบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการกำหนดในเชิงยุทธศาสตร์ถึงประเด็นขับเคลื่อนที่ชัดเจน แต่จะยังไม่มีการตั้งองค์กรใหม่ เป็นการรวมตัวกันแบบหลวม ๆ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั้น 14 คัดค้านเอ็มโอยู 44 ให้ต่างประเทศเช่าที่ดินได้ 99 ปี และ กาสิโน ซึ่งในวันที่ 21 ม.ค.68 นี้ จะมีการรวมตัวเดินทางไปยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เกี่ยวกับข้อห่วงใยในทุกเรื่อง รวมถึงการทวงถามความรับผิดชอบกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิระ รองนายกฯและรมว.คลัง ที่มีการเสนอชื่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกทั้งที่มีการทักท้วงว่า นายกิตติรัตน์มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ซึ่งสุดท้ายกฤษฎีกาก็ชี้ว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามจริง เรื่องเหล่านี้ควรต้องมีคนรับผิดชอบด้วย “การขับเคลื่อนของภาคประชาชนจะเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ผมไม่อยากให้มีการปรามาสพลังของประชาชนในทำนองว่าจะจุดไม่ติด จำนวนไม่เยอะ เพราะบริบทของการเคลื่อนไหว การมีส่วนร่วมของประชาชนในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตไม่ได้วัดกันที่จำนวน แต่วัดที่ประเด็นและความจริงที่ขับเคลื่อนจนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ ที่สำคัญคืออย่าดูถูกมวลชน หากมีประเด็นที่ทำให้เกิดความอึดอัดจนทนไม่ได้ สุดท้ายการลงถนนไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น” ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร บิดาของนายกฯ ระบุจะส่งเชือกให้กับกลุ่มคนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์เขากับลูกสาวนั้น นายพิชิต กล่าวว่า นายทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง มีแค่ตำแหน่งเดียวคือ สทร.หรือเสือกทุกเรื่อง แต่แสดงพฤติกรรมชัดมีอำนาจเหนือรัฐบาล…

Read More

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้ข้อมูลกับ The Publisher ถึงตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีศูนย์บัญชาการอยู่ในประเทษเพื่อนบ้าน ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมดมีสาเหตุมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยเข้าไปอำนวยความสะดวก มีขบวนการทุจริตปล่อยบัญชีม้าข้ามแดนไปยังปอยเปต ซึ่งจากข้อมูลของสายลับที่ส่งลงพื้นที่พบว่า มีการใช้เส้นทางธรรมชาติเก็บค่าหัวคิวนำขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ทำบัญชีม้า เปิดซิมการ์ด เปิดธนาคาร บัญชีนิติบุคคล รวมถึงแสกนหน้าที่อาคาร 18 ชั้น และ 25 ชั้น จึงต้องการให้คณะกรรมมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาฯ ตรวจสอบ โดยได้ยื่นหนังสือถึงนายรังสิมันต์ โรม ปธ.กมธ.ฯ ไปแล้วเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.68) “หากไม่มีการทุจริตบริเวณชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็คงไม่ระบาดหนักเท่านี้ เราเสนอให้มีการแก้ปัญหาจุดช่องทางธรรมชาติเหล่านี้ แม้จะเป็นที่เอกชนแต่เป็นเขตพื้นที่ทหารพรานติดกล้องวงจรปิดได้หรือไม่ เพราะจะสามารถตรวจสอบได้ว่าใครออกทางช่องทางธรรมชาติบ้าง ต้องสกัดไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้บัญชีม้าได้ ถ้าไม่มีบัญชีท้าการหลอกลวงคนจะลดลงไปเองโดยธรรมชาติ ส่วนอีกจุดคือช่องจอมจังหวัดสุรินทร์ ก็มีการกินหัวคิวผ่านช่องทางธรรมชาติด้วยเช่นเดียวกัน เป็นจุดที่เราสำรวจมาแล้วจึงให้ กมธ.ตรวจสอบ ที่ไม่ยื่นให้ตำรวจหรือรัฐบาลเพราะคิดว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะอาจไม่สนใจข้อมูลของเรา จึงหวัดงว่ากมธ.ฯ จะตรวจสอบเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง” นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในแต่ละวันมีการใช้ช่องทางธรรมชาติผ่านไปยังปอยเปตวันละเป็นพันคน หากเก็บหัวละสามพันไปกลับก็จะเท่ากับ 3 ล้านบาทต่อวัน 90 ล้านต่อเดือน และมากกว่าพันล้านต่อปี เป็นเม็ดเงินที่มหาศาลมาก โดยพื้นที่บริเวณปอยเปตทั้งอาคาร 18 ชั้นและ 25 ชั้น เป็นศูนย์คอลเซ็นเตอร์ที่มีคนต่างชาติคอยบัญชาการ ส่วนบัญชีท้ามีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ส่วนใหญ่ไปโดยสมัครใจไม่ใช่ถูกหลอกไปทำงานอย่างที่มีการกล่าวอ้าง แต่รู้อยู่แล้วว่าเขาให้ไปทำอะไร “กรณีหนุ่มเมืองกาญจน์ที่ตกตึกตายเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าเป็นความพยายามหลบหนีไม่ใช่ศพแรกและไม่ใช่ศพสุดท้าย มีเหตุลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ปกปิดข่าว เพียงแต่ตอนนี้มันปิดยาก เพราะโซเชียลมีเดียไปไว ลักษณะตึกที่นั่นจะติดเหล็กดัดหมด ถ้าจะหนีก็ต้องโดดตึกอย่างเดียว เนื่องจากจะถูกควบคุมพื้นที่กินนอนอยู่ในนั้น มีเป้าต้องหลอกให้ได้วันละกี่ราย จึงจะได้เปอร์เซ็นต์และเงินเดือน แต่พอถูกจับหรืออายัดบัญชีก็จะส่งกลับเพราะหมดประโยชน์แล้ว” นอกจากนี้ยังขอให้กมธ.ฯ ตรวจสอบคดีปี 2565 ที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ยศในขณะนั้น) และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ในขณะนั้น ได้มีการจับกุมกระบวนการคอลเซ็นเตอร์และการฟอกเงินของกลุ่มชาวจีน โดยได้มีการยึดอายัดทรัพย์ โดยตำรวจไซเบอร์จำนวน 700 ล้านบาท ทั้งสองกรณีนั้นมีความเกี่ยวข้องกับผับแห่งหนึ่ง และทราบภายหลังว่า เป็นชาวจีนที่สวมบัตรประชาชนไทย แต่กลับมีการปล่อยตัวไปโดยไม่มีความผิด รวมทั้งทรัพย์สินเงินสดมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท และรถของกลางทั้งหมดก็ได้คืน…

Read More

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ให้สัมภาษณ์ The Publisher ถึงเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่เตรียมจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในเดือนม.ค.68 ว่ามีหลายประเด็นที่น่ากังวล เพราะมีช่องโหว่อยู่มาก ไม่ตรงปกกับที่เคยเสนอว่าจะทำแบบสิงคโปร์โมเดล โดยพบว่ามีการลดสเป็ก องค์ประกอบลงไปหมด โรงแรมไม่ต้องห้าดาว ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุมที่เคยขายไอเดียไว้ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ และจะมีกาสิโนกี่แห่งก็ได้ เพราะไม่มีการกำหนดเอาไว้ ทุกอย่างเขียนไว้ลอยมาก อีกทั้งคนไทยยังเข้าเล่นได้ง่าย เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า การเก็บค่าธรรมเนียมคนในประเทศสูงสุดไม่เกินห้าพันบาท เท่ากับว่าอาจเก็บต่ำกว่าหรือไม่เก็บเลยก็ได้ และไม่มีการตั้งกองทุนด้านการลดปัญหาและผลกระทบจากการพนัน ซึ่งสิงคโปร์ที่ถูกอ้างถึงมี และเขากำหนดชัดว่าจะมีกาสิโนแค่สองแห่งเท่านั้น และสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของกาสิโนต้องไม่เกิน 2 % แต่ของเราให้ขึ้นอยู่กับการกำหนดของบอร์ด ขณะที่ญี่ปุ่นก็กำหนดจะมีกาสิโนแค่สามที่ และให้ท้องถิ่นเป็นผู้เสนอโพรเจกต์ เท่าที่ทราบมีเพียงเมืองเดียวที่เสนอคือโอซากา แต่นางาซากิ และ ฟูกุโอกะ ยังไม่พร้อม แบบนี้เรียกว่ามี “ธรรมาภิบาล” แต่ของเราไม่มี เพราะยกอำนาจการจัดการทั้งหมดไว้ที่ซุปเปอร์บอร์ด ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เหมือนตีเช็กเปล่า มีอำนาจแทบทุกอย่างทั้งการอนุมัติที่ตั้งว่าจะให้ตั้งที่จังหวัดใด โดยไม่ต้องรับฟังความเห็นประชาชน จะให้ตั้งได้กี่แห่ง จะให้ใครเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต ไม่ต้องมีการประมูล แม้แต่การจัดเก็บภาษีเท่าไหร่ก็ไม่มีเขียนไว้ชัดเจนในกฎหมาย แต่เป็นการให้ใบอนุญาตโดยไม่มีการประมูล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบอร์ดจะตัดสินใจ ทั้งที่เป็นผลประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ “ความไม่โปร่งใสที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซุปเปอร์บอร์ดเช่นนี้ สะท้อนถึงการไม่มีธรรมาภิบาล อาจเกิดการเอื้อกลุ่มผู้ลงทุน เพราะไม่ต้องมีการประมูลเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเลยว่าตกลงรัฐบาลจะให้มีกาสิโนกี่แห่ง ขนาดเป็นอย่างไร กฎหมายที่มีช่องโหว่มากเช่นนี้อาจถูกใช้ฟอกเงินและยังทำให้เกิดปัญหาการทุจริตได้ด้วย” เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน บอกด้วยว่า เรื่องการอนุมัติใบอนุญาตก็เป็นอีกเรื่องที่อันตราย เพราะกฎหมายไม่เขียนว่ารายได้จากส่วนนี้จะต้องส่งเข้ารัฐกี่เปอร์เซ็นต์ เงินเหล่านี้จะไปไหน แต่ไปเขียนในเรื่องสำนักงานกำกับดูแลสถานบันเทิงครบวงจรที่เป็นหน่วยงานใหม่ รับค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตไป เกิดคำถามทำไมไม่เขียนเหมือนสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ว่าเงินที่ได้จากการค้าสลากฯ ต้องส่งเข้ารัฐ 23% สำนักงานรับ 3 % เป็นค่าบริหารจัดการ แต่กฎหมายฉบับนี้เขียนว่า สำนักงานมีรายได้ราวสิบรายการ รายการหลักคือค่าใบอนุญาตและค่าธรรมเนียม ซึ่งจะเป็นเงินหลายพันล้านบาท และเขียนไว้อีกว่า รายได้เหลือจากรายจ่ายให้นำส่งเข้าแผ่นดิน เป็นการเปิดช่องว่า ถ้าจ่ายแล้วไม่เหลือก็ไม่ต้องส่งเข้าแผ่นดิน แล้วแบบนี้จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนล็อกไว้ และเงินที่ให้สำนักงานฯ จะเอาไปจ่ายอะไร ก็เขียนไว้ว่าให้เสนอโครงการให้บอร์ดพิจารณา แสดงว่าอาจเกิดปรากฏการณ์สำนักงานฯ ไม่เขียนเอง แต่บอร์ดกระซิบให้เขียนทำโครงการชงเงินให้ฝ่ายการเมืองไปใช้ใช่หรือไม่ เหลือแล้วค่อยส่งเข้าแผ่นดิน สุดท้ายเงินที่ได้มาถูกเอาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ทางการเมืองไม่ได้เข้ารัฐอย่างแท้จริง ตนจึงไม่สบายใจเพราะกฎหมายเปิดช่องไว้เยอะมาก เรื่องที่ควรห่วงใยก็ไม่ให้ความสำคัญ…

Read More

นักวิทยาศาสตร์เผยความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษา HIV ด้วยเทคโนโลยี TCR อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่การยุติการแพร่ระบาด ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างอิงบทความจากวารสาร Nature Biotechnology เผยถึงความหวังในการรักษาการติดเชื้อ HIV ให้หายขาด ด้วยเทคโนโลยี T Cell Receptor (TCR) ซึ่งเป็นการพัฒนาตัวรับของเม็ดเลือดขาว T cell ให้สามารถค้นหาและกำจัดไวรัส HIV ที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายได้ปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV ต้องรับประทานยาต้านไวรัสตลอดชีวิต แม้ยาจะช่วยควบคุมไวรัสได้ แต่ก็ไม่สามารถกำจัดไวรัสให้หมดไป เนื่องจากไวรัสสามารถหลบซ่อนตัวในเซลล์ภูมิคุ้มกัน แต่เทคโนโลยี TCR เปรียบเสมือน “กุญแจพิเศษ” ที่ไขเข้าไปในที่ซ่อนของไวรัส โดยเทคโนโลยี bispecific TCR จะทำหน้าที่ตรวจจับและชี้เป้าให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพัฒนาวิธีการรักษาอื่นๆ ควบคู่กันไป เช่น การใช้แอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพสูง การแก้ไขพันธุกรรมด้วยเทคโนโลยี CRISPR และวิธี “kick and kill” ที่กระตุ้นให้ไวรัสแสดงตัวออกมาเพื่อกำจัดอย่างไรก็ตาม การพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เนื่องจากผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในระหว่างนี้ วงการแพทย์จึงมุ่งพัฒนาการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ยาต้านไวรัสแบบฉีดออกฤทธิ์ยาวนาน และยาป้องกันการติดเชื้อแบบฉีด (PrEP)กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งได้รับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคที่มียีนต้านทาน HIV ทำให้สามารถกำจัดเชื้อ HIV ได้สำเร็จ แม้จะยังไม่สามารถนำมาใช้กับผู้ป่วยทั่วไป แต่ก็เป็นหลักฐานว่าการรักษา HIV ให้หายขาดเป็นไปได้ แม้จะยังไม่มีวิธีรักษา HIV ให้หายขาดในทันที แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์กำลังนำเราเข้าใกล้เป้าหมายนั้นมากขึ้น ด้วยความหวังว่า การรักษาด้วยเทคโนโลยี TCR ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ จะนำไปสู่การยุติการแพร่ระบาดของ HIV ในอนาคตอันใกล้นี้

Read More

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายณรงค์เดช ชัยเนตรอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี ร่ำรวยผิดปกติ 30,089,846 บาท นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงว่า จากการไต่สวนพบว่า นายณรงค์เดช ขณะดำรงตำแหน่งต่างๆ ในสำนักงานพระพุทธศาสนา มีรายได้รวมกับคู่สมรส 3,779,010.65 บาท (ปี 2552 – 2560) แต่พบว่ามีทรัพย์สินในชื่อตนเอง คู่สมรส และมารดาคู่สมรส เช่น เงินฝาก ที่ดิน สลากออมสิน รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ โดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย และได้ส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินต่อไป พร้อมทั้งส่งคำวินิจฉัยไปยังหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน ฐานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่

Read More

9 มกราคม 2568 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย ร.ต.อ. วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษ กรณี นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ “กำนันนก” กับพวก ถูกกล่าวหาฮั้วประมูลโครงการของรัฐในจังหวัดนครปฐม กว่า 1,500 โครงการ มูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท ให้กับพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คดีดังกล่าว สืบเนื่องจาก บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งมี “กำนันนก” เป็นผู้ชนะการประมูล ได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2566 โดยเชื่อว่ามีการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเองเป็นผู้ชนะ หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 DSI ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด พบหลักฐานเชื่อมโยงขบวนการฮั้วประมูลในโครงการ e-bidding ซึ่งสร้างความเสียหายแก่รัฐเป็นจำนวนมาก วันนี้ (9 ม.ค. 68) DSI ได้ส่งสำนวนการสอบสวนจำนวน 48 แฟ้ม รวม 18,433 แผ่น พร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 41 ราย ในข้อหา “ตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อเอื้อประโยชน์ เป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลง ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินแก่ผู้อื่นเพื่อจูงใจให้ฮั้วประมูล เรียก รับหรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สิน” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 โดย DSI ได้นำตัวผู้ต้องหา 40 ราย ส่งให้พนักงานอัยการแล้ว ยกเว้น “กำนันนก” ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังในคดีอาญาอื่น พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ย้ำว่า DSI มุ่งมั่นบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน…

Read More

9 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ภาค 1, ภาค 6 และจังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ได้เข้าจับกุม นางสาวจุฑามาศ (สงวนนามสกุล) อดีตเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ในข้อหาทุจริตเงินทุนสนับสนุนการศึกษาของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา ระหว่างปี 2561 – 2562 เป็นจำนวนเงินกว่า 888,000 บาท การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจาก ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนและสืบสวนพบว่า นางสาวจุฑามาศ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยนเรศวร มีหน้าที่เบิกจ่ายเงินทุนให้กับนักศึกษาที่ได้รับทุน แต่กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัว ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับความเสียหายเจ้าหน้าที่ได้ติดตามสืบสวนจนทราบว่า นางสาวจุฑามาศ ทำงานอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี จึงได้วางแผนเข้าจับกุมตัวได้ในที่สุด เบื้องต้น นางสาวจุฑามาศ ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้งนี้ ป.ป.ช. ขอแจ้งเตือนประชาชนว่า หากพบเห็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ โทรศัพท์ 1205 เว็บไซต์ www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ทั่วประเทศ

Read More

วันนี้ (9 ม.ค. 68) เพจดัง “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” ออกโรงแฉพฤติกรรม ผอ.โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เข้าโรงเรียนเพียงสัปดาห์ละ 3 วัน อ้างติดราชการ หากมีเอกสารด่วน สั่งครูขับรถไปให้เซ็นถึงบ้าน ระยะทางกว่า 230 กิโลเมตรโพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ไม่ไป รร.สั่งครูเอาเอกสารเซ็นถึงบ้าน 230 โล ผอ.โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี สัปดาห์หนึ่งจะแวะเวียนเข้า รร.สัก 3 วัน บางสัปดาห์ไม่เข้าเลยอ้างว่าไปราชการแล้วหายเลย บ้านอยู่ท่ามะกาไกลจาก รร. 230 กิโล พอมีเอกสารที่ต้องเซ็นก็สั่งให้ครูรวบรวมขับรถเอาไปให้ที่บ้าน แล้วเบิกค่าน้ำมัน รร.คนไหนมีเรื่องด่วนอะไรก็ให้ไปหาที่บ้านเอง” ทันทีที่โพสต์เผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตแห่เข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของ ผอ.รายนี้กันอย่างกว้างขวาง ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ อ.สังขละบุรี ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงทั้งนี้ ระยะทางจากตัวเมืองกาญจนบุรีไป อ.สังขละบุรี ประมาณ 220 กม. และจากตัวเมืองไป อ.ท่ามะกา ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของ ผอ. ประมาณ 30 กม. หากครูต้องเดินทางไปให้ ผอ.เซ็นเอกสาร จะต้องใช้ระยะทางไป-กลับ ราว 500 กม. เลยทีเดียว

Read More