- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
ตำรวจ CIB ทลายเครือข่ายจำหน่ายนมผง Ensure gold ปลอมสำหรับผู้สูงอายุ ตรวจยึดของกลางกว่า 5,370 กระป๋อง มูลค่ากว่า 4.5 ล้านบาท ผู้ต้องหาลักลอบขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในราคาถูกกว่าท้องตลาด การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก บก.ปคบ. ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทผู้ผลิต พบการจำหน่ายนมผง Ensure gold ปลอมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนจนพบแหล่งลักลอบจำหน่ายในพื้นที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย พร้อมของกลาง จุดที่ 1 บ้านพักที่ใช้แพ็คสินค้า พบ นายมนพ และ น.ส.วิริยา กำลังแพ็คสินค้า พร้อมนมผง Ensure gold ปลอม 1,535 กระป๋อง และจุดที่ 2 บ้านพักที่ใช้เก็บสินค้า พบ นายเฉิน (สัญชาติจีน) พร้อมนมผง Ensure gold ปลอม 3,840 กระป๋อง จากการสอบสวน น.ส.วิริยา ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายหวัง (สัญชาติจีน) ให้แพ็คสินค้าที่บ้านพัก ได้รับค่าจ้างเดือนละ 16,000 บาท โดยทำงานมาแล้ว 15 วัน ส่งสินค้าวันละ 100-200 ออเดอร์ ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. ฝากเตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อซื้อสินค้าออนไลน์เพียงเพราะราคาถูก ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และระวังการตกเป็นเหยื่อโฆษณาเกินจริง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะส่งนมผงดังกล่าวตรวจพิสูจน์ หากพบสารต้องห้ามจะดำเนินคดีเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.อาหาร ต่อไป
เป็นการเปิดเผยของ “อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ” ประธานชมรมสันติประชาธรรม ให้ข้อมูลว่า มีผู้เสียหายร้องเรียนพฤติกรรม นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ อดีตประธานกรรมการและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด ชักชวนให้ลงทุน Wellness Center มูลค่านับหมื่นล้านบาท โดยจะมีทุนจากต่างประเทศและระดมทุนในประเทศ ทำให้หลงเชื่อระดมเงินทั้งของตัวเองและครอบครัวไปร่วมลงทุนด้วน โดยมีผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกับตนมากกว่า 30 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะกลางขึ้นบน ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ และมีความทุกข์ใจมาก ซึ่งตนได้รับข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะข้อมูลยังไม่แน่นพอ “ตอนนี้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว เพราะมีปัญหาการจ่ายเช็กเด้งด้วย โดยต้องให้ตำรวจสืบต่อว่าเป็นการหลอกลงทุนหรือไม่ โครงการนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงข้อหาคงไม่ใช่แค่พ.ร.บ.เช็ก เพราะถ้าตั้งใจหลอกลวงตั้งแต่ต้น โดยที่โครงการไม่มีอยู่จริง ก็อาจเป็นฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เพราะมีผู้เสียหายจำนวนมาก” The Publisher ค้นข้อมูลโครงการ Wellness Center พบว่า นพ.บุญ เคยให้สัมภาษณ์ในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการลงทุนโครงการดังกล่าวกว่า 5,000 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการ La Torre Medical Wellness Center พระราม 3 บนเนื้อที่ 5 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามบางกระเจ้า ซึ่งเป็นที่ดินเช่าของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ระยะเวลา 60 ปี เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพองค์รวมในรูปแบบ Luxury Service ระดับ 6 ดาว ประกอบด้วย ส่วนอาคารที่พักอาศัย 56 ชั้น 376 ยูนิต, Medical Wellness Center, Fitness, ร้านอาหารดัง, ภัตตาคารบนชั้นรูฟท็อป และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้งเสร็จในปี 2568 ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอของ “ข่าวหุ้น” เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ว่า ”หมอบุญ“ ก่อหนี้ท่วม 7,000 ล้านบาท เหตุขนเงินลงทุน “จิณณ์…
หลังสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย หรือ GDP ไตรมาส 3/2567 ว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3% ดีขึ้นกว่า 2 ไตรมาสแรก หลังการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาคบริการ ภาคการก่อสร้าง การส่งออกขยายตัว รวมถึงรายได้การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ทำให้คาดทั้งปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.6 % นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการด้านวิชาการพรรคพลังประชารัฐ บอกจากข้อมูลดังกล่าวชี้ชัดว่าการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสแรก 1.4 แสนล้านบาทแป๊กไม่มีชิ้นดี เพราะจากตัวเลขอุปโภคบริโภค ทั้งที่มีแรงส่ง 1.4 แสนล้านบาท แต่ก็ต่ำกว่าไตรมาสก่อน ส่วนที่ GDP สูงกว่า 2 ไตรมาสแรก เป็นผลจากอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล การลงทุน การส่งออก-นำเข้าเป็นสำคัญ นายธีระชัยสรุปว่า พายุหมุน 4 ลูกที่รัฐบาลหวัง จึงเป็นเพียงแค่ลมโชย และสะท้อนว่าเศรษฐกิจให้โอกาสแก่ครัวเรือนระดับล่างน้อยเกินไป กระจุกอยู่ในระดับชั้นบนเป็นหลัก ถ้ารัฐบาลยังดันทุรังแจกเงินเพื่ออุปโภคบริโภค หวังผลกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ก็แค่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ พร้อมระบุผลอย่างเดียวที่เกิดขึ้น คือความพอใจของผู้รับเงิน เป็นประโยชน์ต่อความนิยมในพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แต่สร้างปัญหาในแง่หนี้สาธารณะ ไม่แก้ปัญหาโครงสร้างอย่างจริงจัง
เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้มีการส่งหนังสือเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ขอให้ระงับการเห็นชอบและเสนอชื่อ “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนายกิตติรัตน์กับฝ่ายการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ธปท. โดยเฉพาะในเรื่องการแทรกแซงจากการเมืองที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรม ในหนังสือฉบับดังกล่าว คปท. ระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกได้มีมติเลือกนายกิตติรัตน์จากการเสนอชื่อของกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงประวัติการทำงานทางการเมืองของนายกิตติรัตน์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อนหน้านี้ คปท. ได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการรักษาความเป็นกลางขององค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศ และยืนยันไม่ต้องการให้ผู้มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของธนาคารแห่งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติในอนาคต
เป็นที่จับตาอย่างมากกับการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย.67)ว่าจะทำคลอดแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปีออกมาอย่างไร หนึ่งในนั้นมีเรื่องการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร บิดาของนายกฯ แพทองธาร ได้ปราศรัยไว้บนเวทีหาเสียงที่จังหวัดอุดรธานี The Publisher ได้สอบถามความเห็นไปยัง ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ให้มุมมองไว้น่าสนใจว่า ก่อนจะทำเฟสสอง ต้องทบทวนว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะจากสถิติสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มเติมแล้ว อีกทั้งการวางเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้สูงอายุนอกเหนือจากกลุ่มเปราะบางที่เคยได้รับไปแล้วคือกลุ่มใด จะมีความซ้ำซ้อนเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้รับอยู่แล้วหรือไม่ ถ้าเรามองว่าสถานการณ์การคลังมีจำกัด ก็ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คือเน้นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางจริง ๆ เช่น ไปผนวกกับการแก้ปัญหาหนี้ให้ยั่งยืน เป็นปัจจัยที่เร่งด่วนมากกว่า เราเห็นสถานการณ์อสังหาฯ รถยนต์ หนี้ส่วนบุคคล มีปัญหา ถ้ารัฐจะจัดการ ก็ต้องใช้งบประมาณหรือเสียรายได้จากภาษีไป แทนที่จะเอามาแจก ก็พุ่งเป้าที่การแก้หนี้จะดีกว่า ส่วนกรณีที่จะลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ลงครึ่งหนึ่ง จาก 0.46 % เหลือ 0.23 % เพื่อนำมาช่วยแก้หนี้ให้ประชาชนนั้น ก็ต้องดูว่าการแก้ปัญหาจะเลือกกลุ่มอย่างไร โดยควรดูกลุ่มที่ไปรอด แนวคิดที่จะให้ช่วยหนี้เดิม เปิดโอกาสก่อหนี้ใหม่ ก็ยังมีความกังวลว่า จะเกิดปัญหาในระยะยาวในอนาคต เพราะถ้าแก้ด้วยรูปแบบไม่ดีก็จะไม่ยั่งยืน จากงานวิจัยของสถาบันป๋วยฯ เราเคยพยายามทำทั้งลดต้น ลดดอก ยืดระยะเวลา รีไฟแนนซ์ แต่หนี้ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรก็แก้ไม่ได้ อยากให้เอาบทเรียนไปสื่อความด้วยว่า ถ้าไปแก้แบบเดิม แบบลูบหน้าปะจมูก คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อีกทั้งการลดเงินนำส่งเข้า FIDF ยังมีผลกระทบที่ทำให้การชำระเงินช้าลงดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ถ้านำเงินไปแล้วแก้ได้ไม่ยั่งยืนจริง ก็จะกลายเป็นปัญหาได้ ดร.นณริฏ ยังกล่าวถึงการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสามของสภาพัฒน์ฯ ที่ะระบุว่าขยายตัว 3% คาดว่าปีนี้จะโต 2.6 % ว่า เป็นตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจตามศักยภาพของไทย แสดงให้เห็นว่าน้ำหนักที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแทบจะไม่เหลือแล้ว หรือถ้ามีควรทำเป็นโครงการเล็ก ๆ ระดับแค่หมื่นล้านบาทเท่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลวางเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจตามศักยภาพเฉลี่ยที่ 3% แต่ถ้าไปไกลเกินกว่านั้น เศรษฐกิจจะวิ่งเร็วเกินไป เสี่ยงที่จะไม่เกิดมรรคผลอะไร แต่จะเกิดเป็นเงินเฟ้อแทน การประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ควรออกมาตรการแจกเงินแล้ว หันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องหนี้เป็นหลักจะดีกว่า
เป็นที่สังเกตุว่า ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เหยื่อผู้ถูกกระทำในกรณีต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมาย หรือศีลธรรมในบ้านเราทำงานได้ผล นั่นเป็นเพราะเหล่านักร้องเรียน นักเคลื่อนไหวจิตอาสา และเหล่าทนายประชาชนต่างโลว์โพรไฟล์ตัวเอง ไม่นำเหยื่อออกมาร้องเรียนแย่งพื้นที่สื่อฯ เหมือนก่อนหน้านี้ จากภาพเดิมที่เป็นพระเอก นางเอกในหนัง ละคร คุณธรรม ออกหน้าช่วยเหลือเหยื่อผู้ถูกกระทำจากคดีอาชญกรรม หรือผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยไม่หวั่นเกรงภัยอันตราย ตอนนี้ภาพนั้นถูกทำลายด้วยการกระทำของบางคน เมื่อถูกแฉ ถูกสาวไส้ ถูกดำเนินคดีกันกราวรูด ทั้งกรณีเป็นนายหน้าเร่ซื้อ-ขายตำแหน่ง อ้างหลักฐานเท็จเรียกเรตติง ที่หนักคือทำให้สังคมรู้เบื้องหลังว่าแต่ละการช่วยเหลือเหยื่อ บางรายเรียกเก็บค่าบริการ 20% บางคนใช้เหยื่อเป็นเบี้ยเพื่อตบทรัพย์จากคู่กรณี ทำให้ผู้ที่ทำงานเพื่อสังคม เพื่อเหยื่อ ด้วยจิตบริสุทธิ์ถูกมองไปในแง่ลบตามไปด้วย เมื่อหน่วยงานรัฐมีระเบียบและขั้นตอนหยุมหยิม ไม่ทันการณ์พึ่งพาไม่ได้ เหล่านักร้องเรียน ทนายอาสา อาจต้องจ่ายค่าบริการ ค่าแถลงข่าว จิปาถะ และกำลังโลว์โพรไฟล์ ทุกข์ของเหยื่อใครจะสนใจ เหยื่อจะหันหน้าไปพึ่งใคร คำถามจึงอยู่ที่หน่วยงานรัฐที่ควรทำหน้าที่นี้ จะปรับอย่างไรให้เป็นที่พึ่งของประชาชน ซึ่งในระยะอันใกล้คงหวังได้ยาก ทำให้เหยื่ออาจมองมุมใหม่อาจต้องเดินหน้าเข้าไปหาสื่อฯ เสนอตัวเองให้เป็นข่าว เพื่อให้หน่วยงานรัฐสนใจ และเร่งแก้ไขปัญหาแทนพึ่งนักร้องเรียน ทนายอาสานำพาไป และเมื่อสื่อมวลชนทำหน้าที่นี้ ก็ต้องเตือนต้นสังกัดกันไว้ก่อนว่า ระวังเหลือบ ริ้น ไร ที่แฝงตัวอยู่ให้ดี เพราะทันทีที่มีช่องว่างให้หาประโยชน์ พวกนี้จะโผกระโจนเข้าสูบเลือดเหยื่อ ซ้ำเติมชะตากรรมลงไปอีก และนี่ไม่เพียงทำให้สื่อฯ เสียชื่อเสื่อมเสียทั้งวงการแล้ว มันจะเกิดวิกฤตศรัทธาทั้งระบบ และตอนนี้ไม่รู้ว่า รายการดัง สถานีใหญ่ มีเหลือบ ริ้น ไร คอยสูบเลือดผู้เสียหายหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้น เมื่อเหยื่อไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร สุดท้ายบางคนอาจทำใจก้มหน้ารับชะตากรรมได้ แต่บางคนอาจทำบางอย่างเพื่อตอบโต้สังคม ก่ออาชญากรรมซ้อนอาชญากรรม ซึ่งเราเคยมีบทเรียนเช่นนี้มาแล้ว และไม่มีใครอยากให้ไปถึงจุดนั้นอีก บทความโดย อนันต์ จารุนันทภาคย์
“รังสิมันต์ โรม” เปิดใจกับ The Publisher ปม เชิญนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงกับทางกรรมาธิการ หลังสังคมจับตาว่าอดีตนายกฯ มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น ทั้งยังมองว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยบกพร่อง ไร้ความน่าเชื่อถือ ที่ปล่อยให้กระแส “ชั้น14” และ “นักโทษเทวดา” เป็นที่คาใจของคนในสังคม The Publisher : เราจะมีการเชิญคุณทักษิณไปชี้แจงกับทางกรรมาธิการ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ คุณโรม : กรรมาธิการจะมีการนัดประชุมต่อจากคราวที่แล้วนะครับ ที่หลายคนคงได้เห็นกันไป ว่าเรามีการเชิญหลายท่าน อย่างที่หลายๆท่านทราบนะครับว่า ข้อมูลหลายส่วนยังไม่ครบถ้วน เป็นข้อมูลในเรื่องของการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้คุณทักษิณอยู่ในชั้น 14 ต่อไปได้เพื่อพักรักษาตัว ซึ่งเข้าใจว่าเป็นห้อง Vip ห้องที่อาจจะเรียกว่ามีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะไม่ได้ชอบด้วยกฎหมาย ข้อมูลและข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังคงมีอยู่ กรรมาธิการเราเองก็ต้องแสวงหาข้อมูลนะครับ รอบด้าน ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะได้ใช้โอกาสนี้ในเวทีของกรรมาธิการในการตอบคำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ผมเชื่อว่าคงจะคาใจพี่น้องประชาชนอยู่จำนวนมาก จริงๆแล้วเมื่อสักครู่แอบได้ยินว่าท่านทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรม บอกว่าเราต้องการทำให้เรื่องนี้เกิดความเสียหายแก่รัฐบาล จริงๆเรื่องนี้ความเสียหายกับรัฐบาลจะเกิดหรือไม่เนี่ย อยู่ที่การตอบคำถามของรัฐบาล ที่จะมีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะมีต่อกรรมาธิการในฐานะที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ซึ่งผมคิดว่าถ้าเกิดรัฐบาลสามารถตอบคำถามด้านนี้ได้ชัดเจน จริงๆความเสียหายมันก็คงไม่เกิด เป็นเกราะคุ้มกันในการป้องกันตัวรัฐบาลเอง แต่ถ้าเกิดรัฐบาลตอบคำถามเรื่องนี้ผิดพลาด ซึ่งผิดพลาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าตอบคำถามไม่ดีเท่านั้น แต่ต้องบอกว่า ข้อเท็จจริงในสาระที่มันเกิดขึ้นในกรณีชั้น 14 เนี่ย หากว่าสุดท้ายมันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือมีข้อพิรุธต่างๆ ไม่ว่ารัฐบาลจะให้ความร่วมหรือกับกรรมาธิการหรือไม่ สุดท้ายบรรดาคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ บรรดาคำถามที่ที่ถามไปแล้ว ได้รับคำตอบอีกอย่างหรือไม่ตอบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้รัฐบาลได้รับผลเสียเอง ทางที่ดีที่สุดคือรัฐบาลได้ทำได้ตัวเองถูกต้อง รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ข้อมูลหลายอย่างสามารถที่จะส่งมอบให้กับกรรมาธิการได้ ข้อมูลหลายอย่างสามารถที่จะตอบได้อย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลและต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำ ผมยืนยันว่าเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของเรา ที่เราสามารถทำได้ ซึ่งถ้าเราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เช่น สังคมเชื่อว่ามีบางคนมี Privilege หรือมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ถ้ามันมีกระบวนการปฏิบัติแบบนี้ The Publisher : คือจริงๆแล้วรัฐบาลจะเสียหายหรือไม่ แต่ตอนนี้ที่เสียหายไปแล้วคือกระบวนการยุติธรรมมีการบังคับโทษ ที่มันเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ คุณโรม : อันนี้เราต้องยอมรับความจริง ในเรื่องนี้ว่า คนเชื่อไปแล้ว ว่ากรณีของคุณทักษิณเนี่ย พูดง่ายๆคือไม่ต้องติดคุกสักวันนึง แล้วชั้น 14 ก็คือห้อง Vip และอาการเจ็บป่วยของคุณทักษิณเนี่ยมีการแกล้งป่วย ซึ่งการที่คนเชื่อแบบนี้…
วันที่ 30 ต.ค. 2567 ที่ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยภาคีป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ร่วมแถลงข่าวสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 “สานพลังเข้มข้น สร้างกลไกเข้มแข็ง เพื่อถนนไทยปลอดภัย” Road Safety Stronger Together นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลกปี 2566 พบไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 18,218 ราย ติดอันดับ 18 ของโลก ลดลงจากอันดับ 9 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนประชากรอยู่ที่ 25 คนต่อแสนประชากร โดยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนอยู่ในกลุ่มอายุ 20-24 ปี คิดเป็น 9.83% และรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุด คิดเป็น 79.69% ในส่วนผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนปี 2565 สูงถึง 1,060,566 ราย ต้องใช้งบประมาณในการรักษากว่า 7,827 ล้านบาท เพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้น ไทยจำเป็นต้องแก้ไขด้วยการสร้างแนวทางกลไกระบบความปลอดภัย หรือ Safe System Approach ด้วยการสร้างกลไกการทำงานที่แข็งแรง สร้างถนนที่ปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน “รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความปลอดภัยทางถนน จัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับที่ 5 พ.ศ. 2565-2570 กำหนดนโยบาย และทิศทางการดำเนินงานในระดับพื้นที่ในแต่ละจังหวัดพร้อมระบบประเมินและติดตาม ผ่านจุดเน้นสำคัญ 4 ประเด็น 1. การจัดการอุบัติเหตุในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 2. การจัดการอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต 3. การจัดการความเร็ว (speed management) พัฒนาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และการเดินทางที่ยั่งยืน 4. การติดตามและประเมินผล (monitoring and…
“เชาว์” ฟันธง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัตินั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ แนะฟ้องศาลฯ เอาผิด คกก.คัดเลือก จงใจเลือกคนมีลักษณะต้องห้าม เหตุพ้นตำแหน่งทางการเมืองไม่ถึงหนึ่งปี เชื่อมีคนติดคุก ชี้ “ที่ปรึกษาของนายกฯ” แม้ไม่ใช่ ขรก.การเมือง แต่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ Facebook ‘Chao MeeKhuad’ เรื่อง “กิตติรัตน์” ขาดคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ มีเนื้อหาระบุว่า ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน จึงมีมติเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และเตือนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้นายกิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ท่านเตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำได้เลย ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม “เป็นหรือเคยเป็นผู้ดดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ที่กำหนดไว้เช่นนี้ ต้องการให้ บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็น ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย หรือ เกี่ยวข้อง กับการเมือง แต่นายกิตติรัตน์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2535 มีทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกดนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี นายเชาว์ ระบุด้วยว่า เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกิตติรัตน์ แม้โดยนิตินัยจะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง โดยเลี่ยงใช้คำว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่โดยพฤตินัย ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 ระบุให้ นายกิตติรัตน์ ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ…
หลังมีรายงานว่าการประชุมคณะกรรมการคัดเลือก เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.67) มีการเคาะชื่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และตั้งนางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ กับนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไปแล้ว เริ่มมีกระแสเคลื่อนไหวในทางกฎหมายว่า นายกิตติรัตน์ มีคุณสมบัติต้องห้าม มิอาจดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้ เนื่องจากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและยังพ้นตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปี กรณีเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ (เศรษฐา ทวีสิน) และอาจจะมีการไปฟ้องร้องเอาผิดกับคณะกรรมการคัดเลือกที่เลือกนายกิตติรัตน์เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติว่า จงใจเลือกคนที่มีคุณสมบัติต้องห้ามด้วย เรามาดูกันหน่อยใครเป็นใครบ้างในคณะกรรมการคัดเลือกทั้ง 7คน ซึ่งประกอบด้วย ◾ สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานฯ◾ บุณยฤทธิ์ กัลยานมิตร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์◾ วิฑูรย์ สิมะโชคดี อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม◾ วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ◾ อัชพร จารุจินดา อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา◾ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา อดีตเลขาฯ กลต.◾ สุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาฯ คปภ.