Author: Writer Publisher

บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก “The iCon Group” แจ้งว่า บัญชีบริษัทถูกอายัด ทำให้ไม่สามารถคืนเงินลูกค้าที่ยกเลิกทริปท่องเที่ยว รวมถึงยอดเงินคืนอื่น ๆ ตามเงื่อนไขบริษัทประจำเดือนตุลาคม 2567 ได้ ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับสำนวนการสอบสวนกรณีฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดย DSI เห็นว่าคดีนี้เข้าข่ายความผิดต่อเนื่อง อาจเกี่ยวพันกับการฟอกเงิน จึงรับเป็นคดีพิเศษ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ชี้แจงว่า การอายัดบัญชีเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้ต้องเลื่อนการคืนเงินออกไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ พร้อมทั้งขออภัยในความไม่สะดวก ใครสะดวกทำคลิปกันยาหน่อยค่ะ ย้อนตั้งแต่วันที่เจอไม่หายใจ ฝนตกหนักน้องรู้สึกตัว ช่วยเหลือจนไปอยู่ร่มแดนช้าง

Read More

เป็นคำถามจากนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ที่โพสต์ไว้หลังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร บอกMOU44 ยกเลิกไม่ได้ หวั่นว่าจะถูกฟ้อง จึงต้องเดินหน้าเจรจาต่อ โดยนายสมชัยบอกการแถลงด้วยสีหน้าจริงจังเรื่องนี้ทำให้รู้สึกแปลกๆ ว่าเธอจบรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จริงหรือ ใครสอนวิชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเธอไม่ได้ตั้งใจเรียน นายสมชัยอธิบายเหตุผลเป็นข้อ ๆ ว่า หนึ่ง เกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศสปี 2450 สอง MOU ก็แค่บันทึกความเข้าใจต่อกัน ไม่ใช่สนธิสัญญาที่มีผลบังคับผูกพันตามกฎหมาย และสนธิสัญญาหากฝ่ายใดละเมิดอีกฝ่ายสามารถฟ้องได้ แต่ MOU แค่บันทึกความเข้าใจ นำไปฟ้องร้องใด ๆ ไม่ได้ และยกเลิกฝ่ายเดียวได้ คือผ่าน ครม. ผ่านรัฐสภา จากนั้นก็แจ้งอีกฝ่ายว่าขอยกเลิก MOU เท่านั้น นายสมชัยบอกถึงข้อสามด้วยว่า รัฐบาลจะเดินหน้าเจรจาต่อตาม MOU ก็ไม่ผิดอะไร แต่นายกฯ ไม่ได้พูดชัดสักคำว่าจะเดินหน้าเจรจาเรื่องเขตแดนควบคู่กับแบ่งปันประโยชน์ ไม่ใช่แบบนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่บอกว่าขอเจรจาเรื่องผลประโยชน์ก่อน เขตแดนคุยกันไปไม่จบ เสียเวลาคุย ก่อนที่นายสมชัยจะจบที่ข้อสี่ โดยยกตัวอย่างว่า วันหนึ่งเพื่อนบ้านคุณขีดเส้นมาผ่ากลางบ้านแล้วบอกว่า เป็นแค่เส้นสมมุติ อย่าไปใส่ใจ เรามาขุดหาสมบัติใต้พื้นดินตรงนั้นดีกว่า ขุดได้แล้วหารสองแบ่งกันคนละครึ่ง หากคุณยอม ไม่โง่ ก็บ้า ครับ

Read More

เรียกว่าเป็นช่วงเรียงหน้าชี้แจงประเด็นที่ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคงจะซาหายไปเอง แต่ยิ่งปล่อยไว้กลับยิ่งมัดแน่นขึ้นไปอีก นั่นคือกรณีนโยบายรัฐบาลเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อนำทรัพยากรใต้ทะเลขึ้นมาใช้ตามวิสัยทัศน์ ทักษิณ ชินวัตร เพราะมันลุกลามผูกโยงไปที่ข้อตกลง หรือ MOU 2544 และไหลเลยไปถึงข้อหาเสี่ยงเสียเกาะกูด จังหวัดตราดกันเลยทีเดียว จึงมีปรากฎการณ์ที่รัฐบาลอยู่เฉยไม่ไหว ต้องจัดขบวนทัพออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลเจือสมกับกัมพูชา ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตร กับฝ่ายฮุนเซน เพื่อฮุบ-ฮั้วผลประโยชน์ทางทะเล โดยใช้ MOU 2544 เป็นเครื่องมือเจรจาแบ่งสรรผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยใน MOU ถูกมองว่าเป็นการยอมรับเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีป ที่เมื่อขีดเส้นพื้นที่ทับซ้อนก็ไปแบ่งครึ่งเกาะกูด ทั้งหมดนี้พลพรรคเพื่อไทยมอง เป็นความพยายามลากโยงให้เป็นเรื่องการเมือง โดยคนบางกลุ่มที่เคยมีบทบาทก่อกระแสมวลชน เพื่อนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คำอธิบายชุดนี้ คุุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่ว่าการเชื่อมโยงไปถึงเกาะกูด เป็นแผนโจมตีทางการเมืองของพวกขวาสุดขอบที่แพ้การเลือกตั้ง หลังจากที่ไม่สามารถกล่าวหาเรื่องสถาบัน เรื่องทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ง่ายเหมือนแต่ก่อน ก่อนจะปิดท้ายที่ว่าสังคมไทยมีประสบการณ์ อ่านขาดว่าเรื่องนี้คือการเมืองของฝ่ายขวาสุดขอบ ซึ่งรัฐบาลยังต้องรับมืออีกหลายขนาน อีกด้าน รัฐบาลก็เปิดเกมชี้แจงต่อสาธารณะ อย่างกระทรวงการต่างประเทศออกโรงตั้งโต๊ะชี้แจง และที่เล่นใหญ่ไฟกระพริบก็คือนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร เรียกระดมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือก่อนนำทัพมาแถลงยืนยันเสียงแข็ง ว่าเกาะกูด ยืนยันเป็นของไทย 100% รัฐบาลไม่ยอมเสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว อีกทั้งกัมพูชาไม่สนใจเกาะกูด ขอให้คนไทยสบายใจเรื่องนี้ แค่ความเข้าใจผิดของคนไทยบางกลุ่ม ย้ำตนเองเป็นคนไทย 100% คนไทยต้องมาก่อน……ฯลฯ นั่นเฉพาะเรื่องเกาะกูด แต่สิ่งที่รัฐบาลยังเดินหน้าต่อไม่รอแล้วคือ ยืนยันกระบวนการเปิดเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยมี MOU 2544 เป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจา นั่นหมายความว่าไม่ยกเลิก MOU 2544 และเดินหน้าเจรจากันต่อไป รวมถึง MOU 2544 ไม่ได้มัดไทยรับเส้นอ้างสิทธิไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดเส้นทับเกาะกูด ล่าสุดคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความโต้นายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศที่แถลงเมื่อวาน โดยตั้งคำถามว่าเมื่อเมื่อมั่นใจไม่เสียเกาะกูด เพราะกัมพูชายอมรับเป็นของไทย แล้วทำไมกัมพูชาจึงลากเส้นเขตไหล่ทวีปผ่ากลางเกาะ และฝ่ายไทยทั้งที่รู้ดีว่าเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเป็นแบบนี้ แต่กลับบรรจุไว้ใน MOU 2544 ซึ่งเสี่ยงเรื่องดินแดนและสิทธิประโยชน์ทางทะเลโดยไม่จำเป็นทำไม เรื่องเกาะกูด MOU 2544 และการเจรจาผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล น่าจะเป็นเผือกร้อนที่ลวกมืออ่อน ๆ ของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ที่จำต้องถือไว้เพราะเป็นพันธกิจสำคัญที่ทิ้งไม่ได้.บทความโดย : อนันต์…

Read More

ช้างป่า… สัตว์คู่แผ่นดินไทย ที่บ่อยครั้งต้องเผชิญกับภัยอันตรายจากน้ำมือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือบ่วงแร้ว ที่พรากอิสรภาพ ทำลายชีวิตจนกลายเป็นสัตว์พิการ วันนี้ The Publisher จะพาไปติดตามเรื่องราวของช้างป่า 2 เชือก “พลายขุนเดช” และ “พังฟ้าแจ่ม” ที่ต่างมีจุดเริ่มต้นชีวิตคล้ายกัน คือได้รับบาดเจ็บจากบ่วงแร้ว แต่กลับมีเส้นทางชีวิต และการรักษาที่แตกต่างกัน พลายขุนเดช: ลูกช้างป่าผู้โชคร้าย ถูกบ่วงแร้วรัดขาหน้าซ้ายจนพิการ ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวด และอุปสรรคในการรักษามายาวนานกว่า 10 ปี ที่ปาง ENP แต่อาการบาดเจ็บเรื้อรังไม่หายขาดและมีบาดแผลซ้ำในที่เดิม ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการใช้ชีวิต กระดูกสันหลังผิดรูป ขาซ้ายหน้ายาวกว่าขาขวา แสงเดือน ชัยเลิศ เจ้าของปาง ENP เคยให้ข้อมูลว่า มีขาเทียมเสริมเกราะชั้นดีจากอเมริกา ทว่าการดูแลรักษากลับไม่ได้ผล มีการให้ข้อมูลว่า พลายขุนเดช มีพฤติกรรมดุร้าย ซึ่งอาจเกิดจากการไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนและช้าง ถูกเลี้ยงอย่างโดดเดี่ยวในคอก รวมถึงอยู่ในช่วงวัยผสมพันธุ์ อีกทั้งผู้ดูแลให้อาหารแต่ไม่สามารถสื่อสารกับ “พลายขุนเดช” ได้ดี โดยการทดสอบพบการสื่อสารได้คะแนน 5 จาก 10 ทั้งที่การดูแลเพื่อรักษาต้องสื่อสารระหว่างคนดูแลกับช้าง 7-8 จาก 10 ขณะที่พังฟ้าแจ่ม เป็นลูกช้างป่าที่ได้รับโอกาสการรักษาที่ดีกว่า แม้จะขาเจ็บจากบ่วงพราน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน เริ่มจากการดูแลโดสวนนงนุชพัทยา ก่อนจะส่งตัวไปที่สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ จ.ลำปาง มีการดูแลรักษาบาดแผล ทำกายภาพบำบัด ธาราบำบัด ใส่รองเท้าเทียม ทำให้เธอได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จนกลับมาเดินได้อีกครั้ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี (สรุปข้อมูลจากเพจ The Echo) เส้นทางชีวิต “พลายขุนเดช” ย้อนกลับไม่ได้ แต่ชะตากรรมต่อจากนี้เลือกได้ การเคลื่อนย้าย “พลายขุนเดช” ไปยังศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง แม้ทำด้วยความยากลำบาก เนื่องจากโครงสร้างขาและกระดูกสันหลังผิดรูป แต่ผู้เกี่ยวข้องมุ่งมั่นที่จะพาน้องไปรักษา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย โดยกำหนดเดินทางวันพรุ่งนี้(4 พ.ย.67)

Read More

.ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด….กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ.และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ !.“กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972”.วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972.จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี.สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น.วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย.(1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958.(2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ….(3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง….(4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000.กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง.โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P”.โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้.จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง.จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย.มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ”…

Read More

กลายเป็นประเด็นร้อนทันทีเมื่อกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม พร้อมด้วย 4 อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ ร่วมลงชื่อคัดค้านการเมืองครอบงำแบงก์ชาติ โดยแสดงความกังวลต่อการเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบอร์ดแบงก์ชาติ ที่จะคัดเลือกในวันที่ 4 พ.ย.67 เนื่องจากฝ่ายการเมืองมีความพยายามจะส่งคนของตัวเองเข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการเมืองระยะสั้น แต่เสี่ยงกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว ที่เมื่อเสียหายแล้วยากที่จะแก้ไข ที่มาที่ไปเรื่องนี้เป็นอย่างไร “รายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ได้สัมภาษณ์ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เล่าให้ฟังถึงความกังวลของกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมว่า อำนาจของบอร์ดแบงก์ชาติที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ สามารถอนุมัติให้ใช้เงินสำรองระหว่างประเทศได้ด้วย “มีความเป็นห่วงว่าอาจมีความพยายามผ่านฝ่ายการเมืองล้วงเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ในโครงการประชานิยมของรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาเห็นการส่งสัญญาณหบายครั้งจากคนในรัฐบาลที่ต้องการจะนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ยังหวังว่าคณะกรรมการคัดเลือกจะใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม ไม่ใช่คนของฝ่ายการเมือง และแนะนำให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลัง ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ให้คัดเลือกเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ถอนตัวจากการเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับชวนคิดว่า น่าจะต้องมีการแก้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับองค์ประกอบคณะกรรมการคัดเลือก ซึ่งปัจจุบันมาจากอดีตข้าราชการระดับสูง โดยรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยจะมีการเลือกคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติด้วย กติกาที่ให้กระทรวงการคลังเสนอหนึ่งชื่อ แบงก์ชาติเสนอสองเท่า ความจริงแบงก์ชาติเสียเปรียบเพราะคะแนนเสียงอาจแตก จึงน่าจะมีการปรับปรุงกฎหมายใหม่ด้วย ติดตามสัมภาษณ์ฉบับเต็มในรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง

Read More

เป็นแถลงการณ์ที่ออกในนาม 227 นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม แสดงความห่วงใยธนาคารแห่งประเทศไทย ถูกแทรกแซงจากกลุ่มการเมืองเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น ทำลายเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว มีเนื้อหาแสดงความห่วงใยต่อการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันสที่ ภาพ 4 พ.ย.นี้ ซึ่งมีข่าวว่าฝ่ายการเมืองเสนอคนใกล้ชิดไปดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากการดำเนินนโยบาย การเงินของประเทศถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมืองเน้นประโยชน์ระยะสั้นเพื่อผลงานที่รวดเร็ว เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ไม่ยืนยาวนัก แต่การเน้นผลระยะสั้นจะเกิดผลเสียหายรุนแรงต่อเสถียรภาพและการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ”การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจเป็นนภารกิจหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งตามหลักสากลธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ อันนําไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืนในระยะยาว” ทั้งนี้ บทบาทของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยครอบคลุมภารกิจสำคัญหลายด้าน ได้แก่การกำกับดูแลการบริหารงานภายในองค์กร การบริหารจัดการทุนสํารองระหว่างประเทศ และการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการนโยบายที่สำคัญ เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน หรือคณะกรรมการนโยบายสถาบัน การเงิน (กนส.) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศ ที่มีความสำคัญตต่อเศรษฐกิจและต่อการกำกับดูแลที่โปร่งใสและปราศจากผลประโยชน์ทางการเมือง หากประธานกรรมการหรือคณะกรรมการใช้อำนาจที่มีตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของฝาย่การเมือง จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้นอกจากนี้ หากการครอบงำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้นมว่าฝ่ายการเมืองจะใช้วิธีเดียวกันในการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงกลางถึงปลายปีหน้าโดยส่งบุคคลที่มีความสนิทชิดใกล้ทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง “กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมขอเรียกร้องให้คณะกรรมการคัดเลือกที่กําลังจะทำการพิจารณาในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ปฏิบัติหน้าที่ดวด้ความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โดยไม่ยอมรับแรงกดดันจากการเมือง เพื่อรักษาสถาบันที่สำคัญอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยที่สังคมไทยในอดีตได้ร่วมกันพัฒนาและปกป้องมาอย่างดี พร้อมกันนี้เราขอเชิญชวนภาคส่วนอื่นในสังคมร่วมแสดงจุดยืนโดยการร่วมลงนามในด้านล่างของแถลงการณ์นี้เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารแห่ประเทศไทยให้หลุดพ้นจากผลประโยชน์ระยะสั้นทางการเมืองและสามารถรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รวมทั้งธํารงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในสายตาของนานาอารยะประเทศ

Read More

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ CIB ออกแคมเปญรับวันฮาโลวีน โดยระบุ ตุลาหลอน ต้อนรับวันฮาโลวีน เหล่ามิจฉาชีพมักฉวยโอกาสสร้างหลุมพรางหลอกเหยื่อด้วยเลห์เลี่ยมกลอุบายมากมาย แบ่งเป็น 4 ผีคือ ◾️ เพจผีหลอกขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นชุดเสื้อผ้า ของตกแต่ง หรือ Accessory ต่างๆ ขายราคาถูกในสื่อออนไลน์ มิจฉาชีพยิ่งโผล่มาหลอกให้หลงเชื่อโอนเงิน สุดท้ายหนีหายติดต่อไม่ได้และไม่ได้รับของ ◾️ ผีมิสคอล (คอลเซ็นเตอร์) ชุมสายเสียงหลอนโทรมาบอกแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐและเอกชน ว่าได้รับสิทธิพิเศษได้รับรางวัลแบบผีๆ หรืออ้างว่าส่วนในการกระทำความผิด และโอนเงินไปให้ตรวจสอบ ◾️ ผีดูดข้อมูล มิจฉาชีพจะส่งข้อความหรืออีเมล พร้อมแนบลิงก์ บอกว่าได้รับรางวัล ได้รับของขวัญ หลอกให้กดลิงก์ดูดข้อมูลไปใช้ ◾️ ผีหลอกให้รัก มิจฉาชีพจะเข้ามาติดต่อพูดคุยใช้วาจาหวาน จนคล้อยใจ สุดท้ายหลอกมานัดเจอเพื่อจะไปปาร์ตี้ หรือออกเดท เสี่ยงต่อการถูกกักขังทำร้ายร่างกาย ทำมิดีมิร้าย และอาจถูกถ่ายคลิปแบล็คเมล โดยตำรวจสอบสวนกลาง เตือนภัยประชาชน ในช่วงฮาโลวีน วันปล่อยผีมิจฉาชีพชุม ที่จะมาในรูปแบบต่างๆ ไม่ต้องมีพระเครื่องหรือยันต์กันผีใด ๆ ขอแค่มีสติ ไม่เชื่อ ไม่โอน เพียงแค่นี้ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

Read More

เป็นหนังสือด่วนที่สุดจากกระทรวงมหาดไทยถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้ตรวจสอบข้อเท็จริง และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กรณีนายวิษณุ เลิศสงคราม ปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จำเลยในคดีตากใบ และต้องนำตัวส่งฟ้องศาลภายในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ก่อนคดีจะขาดอายุความ ปรากฏว่านายวิษณุยื่นใบลาพักผ่อนระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคม 2567 แต่ผู้บังคับบัญชาได้ยกเลิกใบลา เนื่องจากมีหมายจับ และไม่สามารถติดต่อนายวิษณุได้เป็นเวลามากกว่า 10 วัน กระทั่งคดีสิ้นสุดอายุความ จากนั้นวันรุ่งขึ้นนายวิษณุเข้ามารายงานตัวกับทางอำเภอท่าอุเทน และมาปฏิบัติราชการ ทั้งนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นว่า จังหวัดนครพนมรับทราบว่านายวิษณุ ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาเมื่อใด เจ้าพนักงานตำรวจ ได้แจ้งให้ทราบว่ามีหมายจับ และประสานขอให้ส่งตังตัวเพื่อดำเนินการหรือไม่ และได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง เสร็จแล้วแจ้งผลพร้อมสรุปความเห็นและจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อประกอบการพิจารณาภายใน 15 วัน

Read More

เป็นข้อความและหลักฐานที่นายคำนูน สิทธิสมาน อดีต สว.ได้ค้นคว้าและโพสต์ไว้ในเพจเฟซบุ๊ก รวมถึงฝากให้ The Publisher ร่วมบันทึกไว้ชื่อ “เกาะกูดเป็นของไทยทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” โดยไล่เรียงเริ่มจากระบุเกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1907 และไม่ใช่เพียงตัวเกาะ แต่รวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขต,เขตต่อเนื่อง,เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือไหล่ทวีปด้วย ดังนั้น เมื่อกัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปเมื่อปี ค.ศ.1972 โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แบบ ที่ล่าสุดเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านใต้เป็นรูปตัว U ตามที่แนบท้าย MOU 2544 ล้วนมีค่าเสมอกันคือ ผิดทั้งหมด เพราะจงใจละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพเหนือดินแดนประเทศไทย นายคำนูนบอกว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเปลือยให้เห็นเจตนาของรัฐบาลเพื่อนบ้านเมื่อ 52 ปีก่อน ที่หวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลียมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีป ที่ผ่ากลางเกาะกูดจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา “ฮุบ” ได้ ขณะที่ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาตลอด ทั้งการประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย พ.ศ.2518 ตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูด ส่งกำลังทหารประจำการและลาดตระเวนทั้งตัวเกาะและน่านน้ำ ซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำ ล่าสุดเมื่อมีนาคม 2567 ทั้งนี้ เมื่อกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนแตกต่างกัน ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” แต่ทางการไทยไม่เคยยอมรับจนนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย ดังนั้น “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” โดยเริ่มเจรจาเรื่องนี้มาตลอด โดยขอแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลไม่พูดถึงเขตแดน แต่ทั้งหมดไม่มีความคืบหน้า เพราะกัมพูชาจะเจรจาแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีปละเมิดอธิปไตยไทย แต่เมื่อมีการลงนาม MOU ไทย-กัมพูชาปี 2544 ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยยอมรับอย่างเป็นทางการ การมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมถึงเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา เรื่องนี้ยังถูกพูดถึงมา 20 ปีว่า MOU นี้ถูกหรือผิด และมีความพยายามยกเลิก MOU นี้ และเมื่อลูกสาวของนายกรัฐมนตรีที่ทำ MOU ปี 2544 ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี วิวาทะเดิมจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเตือนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหานี้ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากไม่ใช้วิจารณญาณดำเนินการอย่างรอบคอบ นายคำนูนแนะว่าทางออกเรื่องนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ…

Read More