Browsing: News

เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.ติดตามจับกุมผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ คดีนี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2550 ถึงเดือนกันยายน 2557 ครั้งผู้ต้องหามีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานประกันสังคม ตำแหน่งนิติกร (พนักงานชั้นสูง) สังกัดสำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 กระทรวงแรงงาน ทำการปลอมเอกสารราชการ เพื่อทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ในการชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ทำการยักยอกเงินกองทุนประกันสังคม ทำให้สำนักงานประกันสังคมได้รับความเสียหาย รวม 10,085,300.50 บาท ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ท.มีมติชี้มูลความผิด แต่ผู้ต้องหาไม่ไปพบพนักงานอัยการ จึงถูกออกหมายจับเพื่อนำผู้ต้องหาฟ้องคดีต่อศาล จากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีไปทำงานที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ย่านถนนพระราม 9 เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปปป. และทำการจับกุม เพื่อดำเนินคดีการตามกฎหมายต่อไป

Read More

หลังดีเจแมน ออกมาเปิดข้อมูลร้อนๆ ว่าตอนอยู่ในเรือนจำคดี Forex-3D มีคนบอกสามารถช่วยเหลือให้ทั้งดีเจแมน-ใบเตยรอดพ้นจากคดีแลกกับเงิน 14 ล้านบาท เรื่องนี้คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และอดีตนักการเมือง ให้ข้อมูลกับ The Publisher ว่า รู้ตัวดาราหน้าคุ้นที่ตบทรัพย์ ดีเจแมน-ใบเตย คนละ 7 ล้าน รวม 14 ล้าน เพื่อแลกกับอิสระภาพ ไม่ต้องถูกดำเนินคดี โดยหลักฐานสำคัญคือ เจ้าตัวดีเจแมนให้หลักฐานกับตนโดยตรง ซึ่งหลัง รวบรวมหลักฐาน และเจ้าตัวพร้อมจะยื่นต่อ DSI คาดว่าสัปดาห์หน้า และเมื่อประกอบสำนวนคดีเดิมของดาราคนดังกล่าวที่อยู่ที่ DSI จะทำให้เห็นเส้นทางชัดขึ้นว่ามีการทำจนเป็นปกติธุระ อี้ แทนคุณ ยืนยันเหตุที่ออกมาเคลื่อนไหวเจตนาคืออยากช่วยเหลือผู้เสียหายจากการฉ้อโกง เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้สร้างกระแสหรือหาแสง หรือหาผลประโยชน์ใดๆ ด้าน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นำโดย บิ๊กเต่า เตรียมพิจารณาเรียกดีเจแมนและใบเตยมาให้ปากคำ เพื่อทำให้สำนวนคดี ที่อยู่ในมือมีความชัดเจนและแน่นหนามากขึ้น

Read More

รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความเปรียบเทียบพฤติกรรมของพรรคการเมือง ที่ระบุว่าคล้ายหนู โดยบอกพฤติกรรมของหนูในธรรมชาติ คือไม่เผชิญหน้าตรง ๆ แต่จะซ่อนตัวในที่ปลอดภัย รอเวลาที่เหมาะสม มุดท่อและแอบขโมยอาหาร จากแหล่งที่ปลอดภัย ไม่ได้ออกล่าเอง แต่รอจังหวะที่ไม่มีใครเฝ้าหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หรือเกิดภัยคุกคาม จะรีบหนีไปซ่อนตัวและรอดูสถานการณ์ ก่อนตัดสินใจเคลื่อนไหว หนู ปรับตัวเก่ง อยู่รอดได้ในทุกสภาวะ และมีทักษะสูงในการใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ พฤติกรรมของพรรคการเมืองแบบหนู คือไม่เคยเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” แต่เลือก มุดท่อ รอเวลา และฉวยโอกาส เมื่อมีความเคลื่อนไหวใหญ่ทางการเมือง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคแบบนี้ก็เลือก อยู่เฉย ลอยตัว เลี่ยงความรับผิดชอบ รอจังหวะที่ปลอดภัยที่สุด แต่พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในเวลาที่เหมาะสม มุดท่อเพื่อความอยู่รอด เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้า ฉวยโอกาสขโมยอาหาร/อำนาจ พรรคเข้าร่วมรัฐบาลทุกยุค ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะเป็นใคร ก็พร้อมร่วมมือเพื่อคงอยู่ในระบบ ตอนท้ายสรุปว่า พรรคแบบหนูในสนามอำนาจ “ไม่เคยออกมาสู้ตรง ๆ แต่คอย มุดท่อ ซ่อนตัว และฉวยโอกาสจากสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดและคงอำนาจไว้เสมอ ทั้งหมดไม่รู้ว่า รศ.ดร.พิชายหมายถึงหรือเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองใด หรือเอ่ยถึงใคร

Read More

ก่อนที่รัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อดีตสมาชิกวุฒิสภา สมชาย แสวงการ ออกโรงเตือนสมาชิกสภาทั้ง 700 คนให้ทบทวนให้ดี โดยขอให้ย้อนกลับไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2564 กันอีกครั้งให้ชัดเจน สาระสำคัญของคำวินิจฉัยนี้ชี้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องอยู่ในกรอบของฉบับเดิมเท่านั้น และหากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ฉบับปัจจุบัน ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติเสียก่อน เพื่อขอความเห็นว่า สมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ “รัฐสภามีอำนาจแก้ไข แต่ไม่มีอำนาจยกเลิก” ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินอย่างชัดเจนว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่เป็นอำนาจที่ถูกจำกัดทั้งในรูปแบบ กระบวนการ และเนื้อหา กล่าวคือ การแก้ไขต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของรัฐธรรมนูญฉบับเดิม และต้องไม่กระทำการใดที่เป็นการล้มเลิกรัฐธรรมนูญทั้งหมด การเสนอให้มีหมวดใหม่เพื่อให้ สสร. ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เท่ากับเป็นการยกเลิก รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจทำได้เอง “ก่อนเปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องผ่านประชามติสองรอบ” หากรัฐสภาต้องการเดินหน้าให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ศาลระบุไว้ชัดว่า ต้องถามประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก ว่าจะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยแท้จริง หากประชาชนเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ กระบวนการร่างจึงสามารถเริ่มต้นได้ และเมื่อร่างเสร็จแล้ว ต้องนำกลับไปให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง ว่าจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้ “เกมการเมืองต้องไม่ทำให้รัฐธรรมนูญสะดุด” สมชาย เตือนว่าสมาชิกสภาต้องตระหนักว่า คำวินิจฉัยนี้มีผลผูกพันรัฐสภา หากเดินหน้ารับรองร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ดำเนินการตามแนวทางที่ศาลกำหนด อาจเกิดปัญหาทางกฎหมายร้ายแรงในอนาคต และที่สำคัญ อาจเป็นเหตุให้เกิดการตีความว่าเป็นการดำเนินการโดยมิชอบ นำไปสู่การยุบสภาหรือความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่คาดคิด “อ่านให้ดี ทบทวนให้รอบคอบก่อนลงมติ” คือคำเตือนที่อดีตสมาชิกวุฒิสภาฝากถึงผู้แทนทั้งหลาย เพราะหากพลาดไป อาจส่งผลให้ทั้งสภาต้องรับผิดชอบไปพร้อมกัน “โปรดอ่านอีกครั้ง… ชัด ๆ ก่อนลงมติ” เอกสารคำวินิจฉัยฉบับเต็มของศาลรัฐธรรมนูญ สามารถอ่านได้ที่ลิงก์นี้:📌 อ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564

Read More

โดยสัญญาณความวุ่นวายครั้งนี้ ส่อเค้ามานานกระทั่งปะทุเมื่อวาน เมื่อพรรคภูมิใจไทยมีมติไม่ร่วมสังฆกรรม เพื่อไม่เสี่ยงขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องขอประชามติก่อน ขณะเดียวกัน สว.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ก็เตรียมชงญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถามว่าสมาชิกรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับนี้ได้หรือไม่ และทันทีที่เปิดประชุม พรรคภูมิใจไทยก็ประกาศวอล์คเอาท์ทันที ขณะที่ สว.เปรมศักดิ์ก็เสนอญัตติขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญถามเรื่องดังกล่าว ทำให้ประธานรัฐสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา ขอพักให้ทุกฝ่ายหารือ 15 นาที พอกลับมาประธานวันนอร์ใช้อำนาจรับญัตติดังกล่าวก่อนที่เปิดให้ลงมติเพื่อเลื่อนญัตตินี้ขึ้นมาแซงวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏเสียงโหวตให้เลื่อนญัตติพ่ายเสียงให้เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างที่คาดไม่ถึง ทั้งที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฯ กลับลำไปสนับสนุนการให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความวุ่นวายทันทีเมื่อ สว.สายสีน้ำเงินประท้วง และวอล์คเอาท์ ขณะที่นายแพท์เปรมศักดิ์ก็ขอนับองค์ประชุมไม่ยอมให้เดินหน้าต่อตามมติ ช่วงนี้เกิดความวุ่นวายและประท้วงกันไป-มา เพราะพรรคประชาชนมองว่าเป็นการไม่เคารพมติเสียงข้างมาก โดยพยายามใช้วิธีวอล์คเอาท์-นับองค์ประชุม รวมถึงพาดพิงพรรคเพื่อไทยที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง แต่สุดท้ายกลับไม่เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอ ทำให้นายสุทิน คลังแสง สส.พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นชี้แจงว่า พรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ ไม่ใช่เสนอไปแล้วแพ้โหวต เพราะเห็นว่าถ้ายังเดินหน้าต่อไปแพ้แน่ๆ และโอกาสเสนอแก้ไขอีกทำได้ยากมากขึ้น จึงใช้วิธีอ้อม โดยให้ร่างนี้ค้างในสภาฯต่อไป จนกว่าจะตั้งหลักกันใหม่ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล และ สว.สายสีน้ำเงินไม่กดบัตรแสดงตนเป็นองค์ประชุมทำให้มีเสียงในห้องประชุมเพียง 204 เสียง องค์ประชุมล่มไปตามระเบียบ ซึ่งประธานวันนอร์ก็สั่งปิดการประชุมและนัดประชุมใหม่พรุ่งนี้ 09.30 น. ซึ่งระหว่างนั้นมีเสียงสมาชิกดังขึ้นมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลล่มองค์ประชุมในกฎหมายที่ตัวเองเสนอ

Read More

กสม. ย้ำ กสทช. ต้องทำงานโปร่งใส ไม่ถูกครอบงำจากการเมือง-ทุนใหญ่ กสม. ระบุว่า กสทช. มีหน้าที่พิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค และต้องดำเนินการอย่างเป็นอิสระ ปราศจากอำนาจครอบงำทั้งจากภาครัฐและภาคธุรกิจ พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานของรัฐ รวมถึง กสทช. ยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและโปร่งใส โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ กสม. ยังเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยึดแนวทางของ หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNGPs) เพื่อพัฒนากฎหมายและนโยบายให้สอดรับกับภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อนาคตของการคุ้มครองผู้บริโภคและภูมิทัศน์สื่อไทย ประเด็นนี้สะท้อนถึง ความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างอำนาจรัฐ ภาคธุรกิจ และสิทธิของประชาชน ในยุคที่สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโฉมวงการโทรคมนาคมและการกระจายเสียง กสม. เน้นย้ำว่า เป้าหมายสำคัญของทุกฝ่ายควรอยู่ที่การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน สุดท้าย คำถามสำคัญยังคงอยู่ บทบาทของ กสทช. จะเดินหน้าคุ้มครองสิทธิประชาชนอย่างเต็มที่ได้เพียงใด? และการกำกับดูแลสื่อจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจและประโยชน์สาธารณะได้อย่างแท้จริงหรือไม่? #สิทธิมนุษยชน #กสม #กสทช #คุ้มครองผู้บริโภค #TrueID

Read More

สนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวในรายการ สนธิเล่าเรื่องว่า “มีพยานบางคนกลับคำให้ข้อมูลมาว่าวันหลังเกิดเหตุแตงโมเสียชีวิต “ปอ คนบนเรือ” โทรไปหานักการเมืองท่านหนึ่ง คือ “คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”(รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงพลังงาน) คงไม่ได้โทรไปสวัสดี ทักทายกันอย่างปกติ” พร้อมย้ำว่า เป็นหน้าที่ของคุณพีระพันธุ์ ที่จะต้องออกมาชี้แจง และตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมกลุ่มคนบนเรือถึงมีเบอร์โทรศัพท์ของท่าน แสดงให้เห็นว่าคนบนเรือมีเส้นสายที่ใหญ่โต อีกทั้งสนธิ ยังได้เตือนไปยังคนที่พยายามขัดขวางการพยายามหาความจริงและความยุติธรรมของคดีแตงโม ตนย้ำว่า ไม่กลัว และจะสปอร์ตไลท์ส่องไปที่คนนั้น ไม่สนใครใหญ่โตจากไหน เนื่องจากสิ่งที่ตน และประชาชนทุกคนต้องการนั้น คือ ความจริง #ปอ #พีระพันธุ์ #คดีแตงโม #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม

Read More

พรรคไทยสร้างไทยออกโรงเตือนสถานการณ์ทุจริตในประเทศไทยยังรุนแรง หลังสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2567 พบว่า คะแนนของไทยลดลงเหลือ 34 จาก 100 คะแนน และอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก เทียบเท่ากับ แอลจีเรีย บราซิล เนปาล และตุรกี “นี่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่าประเทศไทยยังเผชิญปัญหาทุจริตเชิงโครงสร้าง ทั้งการใช้งบประมาณที่ไม่โปร่งใส นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุน และการปราบปรามคอร์รัปชันที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ” ไทยสร้างไทยเสนอ 5 แนวทางปราบคอร์รัปชัน ดร.ธวัชชัย ปิยนนทยา ประธานคณะทำงานด้านการปราบปรามทุจริตพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่า การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารและสร้างวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์ โดยพรรคมีข้อเสนอสำคัญ 5 ข้อ คือ รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจ นายกฯ ต้องประกาศชัดว่า “จะไม่มีการทุจริตอย่างเด็ดขาด” พร้อมแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่ไร้ผล ,สร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์ ปลูกฝังหลักสูตรต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อให้จริยธรรมกลายเป็นรากฐานของสังคม ,บังคับใช้กฎหมายจริงจัง ปรับปรุงกฎหมาย ป้องกันการแทรกแซงองค์กรตรวจสอบ และเพิ่มบทลงโทษที่เข้มข้น ปฏิรูประบบราชการ-ลดสินบน ใช้ Blockchain และ Open Data เพิ่มความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐให้ประชาชนตรวจสอบได้ และ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน – เปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ปลอดภัย และสนับสนุนบทบาทของสื่อมวลชนในการตรวจสอบภาครัฐ “การเมืองสุจริต” ต้องเริ่มจากระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ พรรคไทยสร้างไทยเชื่อว่า “คนดีต้องมีพื้นที่ในการทำงานการเมือง” และการบริหารประเทศต้องยึดหลักคุณธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อประชาชน การลดลงของคะแนน CPI เป็นเครื่องเตือนว่า ประเทศไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน “หากต้องการเห็นประเทศไทยก้าวพ้นวงจรทุจริต เราต้องสร้างระบบที่เปิดเผย ตรวจสอบได้ และให้ประชาชนมีส่วนร่วม” พรรคไทยสร้างไทยประกาศ พร้อมย้ำว่าจะเป็น พลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้โปร่งใสและเป็นธรรมสำหรับทุกคน #ไทยสร้างไทย #การเมืองสุจริต #การเมืองคุณธรรม #หยุดคอร์รัปชัน #CPI

Read More

สำนักงาน ป.ป.ช. โดย สำนักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อป้องกันและลดทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 ณ จังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดราชบุรี การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ STRONG: Together against Corruption (TaC) ที่มุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน หน่วยงานรัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนามาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่เสี่ยง เปิดเวทีถกปัญหา หาทางออกการทุจริตทรัพยากรธรรมชาติ พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ว่าที่ร้อยตรีศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบนโยบายลดความเสี่ยงการทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยมี นายอภินันท์ ศิวิโรจน์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วม 3 สำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม เวทีอภิปรายในวันแรก มุ่งเน้น กลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการต้านและลดทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติ นำโดย นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ สปท. นายธีรพงษ์ บุญทองล้วน นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ นายวิเชษฐ จินานุรักษ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลเชียงรากน้อย และผศ. ดร.กิติชัย รัตนะ อาจารย์คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ช่วงบ่ายเป็นการ แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ ให้เครือข่ายภาคประชาชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันการทุจริตและสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง เดินหน้าสร้างแนวร่วม ปูทางสู่การเปลี่ยนแปลง วันที่สองของการประชุม ยังคงเน้นการ แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ และการระดมความคิดเห็น โดยเครือข่ายภาคประชาชนได้นำเสนอ ผลการถอดบทเรียน และแผนปฏิบัติการนำร่อง เพื่อป้องกันทุจริตในพื้นที่จริง การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ ป.ป.ช. และเครือข่ายภาคประชาชน ในการ สร้างระบบป้องกันการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยเน้นการ บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการปกป้องจากการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ #ปปช #ต้านทุจริต #STRONG #สิ่งแวดล้อม #ทรัพยากรธรรมชาติ #ภาคประชาชน

Read More

14 กุมภาพันธ์ นอกจากจะเป็นวันวาเลนไทน์ ยังเป็น วันสุดท้ายของการเปิดรับฟังความคิดเห็น ต่อสองร่างกฎหมายใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจไทยไปตลอดกาล – ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ที่เปิดทางให้มี เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การพนัน ที่เตรียมเปิดไฟเขียวให้ การพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ในขณะที่เสียงสนับสนุนและคัดค้านยังคงดังอยู่ทั่วประเทศ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาย้ำว่า เศรษฐกิจไทยต้องการแรงขับเคลื่อนใหม่ พร้อมหนุนให้รัฐบาล ปลดล็อกข้อจำกัดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร โดยเชื่อว่า จุดหมายของนักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่กาสิโน แต่คือการพักผ่อน การกิน ดื่ม ช็อป และท่องเที่ยวในมิติที่กว้างขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่อง กาสิโนและการพนันออนไลน์ ทวีความเข้มข้นขึ้น โดยฝ่ายสนับสนุนชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเสียโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าการเปิดเสรีการพนันอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมและอาชญากรรม พิชัยมองว่า การตั้ง เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ควรถูกมองเป็น แพลตฟอร์มท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่าการเป็นศูนย์กลางของการพนัน และอ้างอิงโมเดลจากต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นกิจกรรมพักผ่อน มากกว่าการเข้าไปเล่นพนัน ขณะเดียวกัน กระแสเรื่อง การปลดล็อกเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษา มาตรการยกเลิกข้อห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00 – 17.00 น. และการห้ามขายในวันสำคัญทางพุทธศาสนา โดยชี้ว่า หากการปรับเปลี่ยนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และมีผลดีมากกว่าผลเสีย ก็ควรเดินหน้า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เสนอให้รัฐบาล นำร่องเพียงแห่งเดียวก่อน แทนที่จะเปิดถึง 4 แห่ง ซึ่งพิชัยระบุว่า “ก็รับไว้พิจารณา” ท่ามกลางการถกเถียงอย่างเข้มข้น หนึ่งในคำถามใหญ่ที่หลายคนตั้งไว้คือ รัฐบาลจะต้องทำประชามติหรือไม่? พิชัยตอบว่า มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าประเด็นนี้ต้องถึงขั้นทำประชามติหรือไม่ 14 กุมภาพันธ์จึงไม่ใช่แค่วันแห่งความรัก แต่ยังเป็นวันแห่งการตัดสินใจ ว่า เสียงของประชาชนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือเป็นเพียงพิธีกรรมหนึ่งในกระบวนการทางกฎหมาย สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ รัฐบาลจะเดินหน้าต่ออย่างไร? และความคิดเห็นของประชาชนจะมีผลต่อการตัดสินใจมากน้อยแค่ไหน? #เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ #การพนันออนไลน์ #ปลดล็อกแอลกอฮอล์ #เศรษฐกิจไทย #ประชามติ

Read More