Browsing: News

กลายเป็นประเด็นที่สร้างการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์หนาหู หลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำความผิดของแรงงานต่างด้าว หลังมีประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกระทุ่มแบน ว่ากลุ่มแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มีการขายของแบ่งอาชีพคนไทย เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบพบร้านขายของชำ โดยมีแรงงานสัญชาติเมียนมา 2 ราย กำลังขายของให้แรงงานต่างด้าวด้วยกัน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อจับกุม และตรวจสอบเอกสารของแรงงานต่างด้าวที่อยู่ภายในร้านทั้งหมด จากการตรวจสอบพบว่าแรงงานเมียนมาที่เข้ามาซื้อของใบอนุญาตอยู่ในประเทศได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนแรงงานเมียนมา 2 ราย ที่ขายของให้ลูกค้า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานพบว่า ใบอนุญาตทำงานระบุเป็นกรรมกร แต่มาทำงานขายของ ซึ่งถือเป็นความผิดในลักษณะการทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่มี จึงคุมตัวแรงงานเมียนมาทั้ง 3 ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม โดยสินค้าภายในร้านพบมีสินค้าประเภทอาหาร ไม่มีเลขที่ อย. ติดสลากภาษาเมียนมา ไม่มีสลากภาษาไทยวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมียาชนิดต่าง ๆ ทั้งยาสามัญประจำบ้าน ยาอันตราย ยาสมุนไพร ยาหยอดตา ยาคุม ฯลฯ โดยยาส่วนใหญ่ติดสลากภาษาประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการจำหน่ายบุหรี่ในลักษณะฉีกซองแบ่งขายเป็นมวน ๆ นางมินตรา ผู้เป็นเจ้าของร้าน และเป็นนายจ้างของแรงงานชาวเมียนมาทั้ง 2 จึงถูกแจ้งข้อกล่าวหา จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่มี อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท จำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเภสัชกรประจำร้าน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท จำหน่ายยาสมุนไพร โดยไม่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีความผิดตาม พรบ.ยาสูบ ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท ส่วนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ประเทศไทยโดยใบอนุญาตสิ้นสุดลง มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินไม่เกิน 20,000 บาท และแรงงานต่างด้าวที่ขายของภายในร้าน มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท พร้อมถูกส่งตัวกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุม เพื่อส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

นายสมชาย แสวงการ อดีต สว.และอดีตประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา เปิดเอกสารที่อ้างว่าเป็นรายละเอียดการกำหนดโทษ การเลื่อนขั้นผู้ต้องขัง เพื่อเข้าหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยลดโทษ พร้อมข้อความระบุว่า ราชทัณฑ์อ้างหน้าที่บริหารโทษคดีทุจริตจำนำข้าว คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร แบบสุดซอย โดยลดโทษคำพิพากษาศาลฎีกา 48 ปีเหลือ 5 ปี และลดโทษคำพิพากษาศาลฎีกา 50 ปี เหลือ1 ปี ทำได้ไง? จากตัวอย่างในเอกสารหลักฐาน ศาลยุติธรรม อัยการ ป.ป.ช. ท่านจะคิดอ่านอย่างไรดีครับ1 ) คดีจำนำข้าว ปปช อัยการทำงานหนักกว่าจะฟ้องได้ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 48 ปี เมื่อวันที่ 27 ต.ค 2561 ราชทัณฑ์จำคุกจริงแค่ 5 ปี พ้นโทษ 26 ธ.ค 25662) คดีบ้านเอื้ออาทร ศาลให้จำคุก 50 ปี ให้นับโทษต่อเมื่อ 26 ธ.ค 2566 ราชทัณฑ์ลดเหลือ 14 ปี กำหนดพ้นโทษ 7 ก.ย 2579 แต่ติดคุกจริง 1 ปี ก่อนให้พักโทษกลับไปอยู่บ้าน ตั้งแต่ ต.ค 2567 ปีที่แล้ว คำตอบ เพราะเทคนิคง่ายนิดเดียว ใช้อำนาจเลื่อนนักโทษทุจริตเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วลดโทษทันที 1 ใน 3 แบบฮวบฮาบ 3-4 ครั้ง ภายในแค่ 1 ปี จากนั้นใช้ดุลยพินิจพักโทษให้ไปนอนบ้าน ไงครับ พร้อมติดแฮชแท็ก ร่วมทวงคืนความยุติธรรมให้สังคมไทย นายสมชายยังโพสต์ภาพของนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมข้อความระบุว่า นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ได้รับอภัยโทษติดกัน 4 ครั้ง เรื่องนี้เรื่องใหญ่ หากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่มีใครเกรงกลัวเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์…

Read More

หลังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโยนกันไป-มาเรื่องมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าในเมียนมาจุดที่คาดว่าเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกระทำการผิดกฎหมาย กระทั่งต้องงัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ออกมา และชี้ 6 ประการความเป็นไปได้ว่าการจ่ายไฟฟ้าดังกล่าวไปในเมียนมาอาจมีเชื่อมโยงและใช้ในกิจการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สุดท้ายอีหรอบเดิม โยนให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.ไปพิจารณาเองว่าจะตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่ง กฟภ.ก็บอกต้องจัดคณะใหญ่ไปลงพื้นที่ดูว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ จากนนั้นค่อยท้วงติงไปทางคู่สัญญา และทางการเมียนมา เพราะต้องทำทุกอย่างรอบคอบ เรียกว่าวนกันต่อไป รวมไปถึงท่าทีของคนในรัฐบาลอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็บอกจะทำจากเบาไปหาหนัก คือให้เมียนมาแก้ไขก่อน หากไม่สำเร็จก็จะตัดไฟฟ้าครึ่งหนึ่ง และดำเนินการได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแล กฟภ.ยืนยันหากให้หยุดจ่ายไฟฟ้าก็ต้องนำเข้า ครม. เมื่อที่ประชุมรับทราบก็สามารถตัดไฟได้ทันที ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ได้ตัดไฟฟ้าไปแล้วที่เมืองชเวโก๊กโก่ และ KK park แต่คราวนี้ ทำให้วันนี้การประชุม ครม.ต้องดูว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่วางท่าทีนิ่งเงียบว่าจะขยับอย่างไร จะมีข้อสั่งการใดหรือมติใหม่ๆ หรือไม่ หลังจากปล่อยให้โยนกันไป-มาจนไม่รู้ว่าจะตัดกระแสไฟฟ้าสลายยุทธปัจจัยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้กี่โมง

Read More

วันนี้ (3 ก.พ. 68) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับบิ๊กตำรวจรายหนึ่ง ฐานเรียกรับส่วย 660 ล้านบาท นายอัจฉริยะกล่าวว่า ตนเองได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งภาพ เสียง ไฟล์วิดีโอ และบัญชีม้า ที่เชื่อว่าเป็นหลักฐานการเรียกรับส่วยของบิ๊กตำรวจคนดังกล่าว “ก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนเรื่องการปล่อยตัวและอายัดทรัพย์สินของกลาง 700 ล้านบาท แต่เรื่องกลับเงียบหาย วันนี้จึงมายื่นเรื่องใหม่ หลังพบเงินโอนเข้าบัญชีบิ๊กตำรวจ 660 ล้านบาท ซึ่งจากการสืบสวนคดีเป้รักผู้การ 140 ล้าน พบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของบิ๊กตำรวจรายนี้ ก่อนโอนต่อไปยังบัญชีม้าอีกจำนวนมาก เชื่อว่าเป็นเงินที่ได้จากการเรียกรับผลประโยชน์ หรือรับจ้างฟอกเงิน” นายอัจฉริยะกล่าว นายอัจฉริยะกล่าวเพิ่มเติมว่า เงิน 660 ล้านบาท เป็นการโอนเข้าบัญชีเดียวทุกเดือน เป็นเวลากว่า 2 ปี ในลักษณะของการรับส่วยรายเดือน หรือเก็บเงินตามสายงานต่างๆ ทั่วประเทศ ก่อนโอนเข้าบัญชีม้าให้กับผู้ใหญ่ “สมัย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เคยตรวจพบเงินจำนวนนี้แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ถูกนำเข้าสำนวนการสอบสวน” นายอัจฉริยะกล่าว นายอัจฉริยะ ระบุด้วยว่า มีข้อมูลตำรวจรับส่วยตั้งแต่ระดับ ผบช., รอง ผบช., รอง ผบก. จนถึงระดับ ผกก. โดยเฉพาะหน้าเสื่อ รวมถึงบัญชีม้าของนายตำรวจอีกหลายนาย และจะติดตามว่านายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแล ตร. และ ผบ.ตร. จะมีการปราบปรามเรื่องนี้จริงจังอย่างไร ที่ผ่านมาร้องเรียนไป 10 กว่าเรื่อง แต่ไม่มีการสอบสวน หากไม่มีความคืบหน้า จะนำป้ายรายชื่อพร้อมบัญชีรับส่วยมาติดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Read More

วันนี้ (3 ก.พ. 86) นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ได้มอบหมายให้กลุ่มงานป้องกันการทุจริตลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างถนนที่ไม่ได้มาตรฐาน บริเวณเขตเทศบาลตำบลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จากการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการปรับปรุงถนนสายปฐมพร ซอย 1 ซึ่งเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กกว้าง 4.50 เมตร พบว่าโครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา และยังไม่มีการตรวจรับงาน สภาพถนนพบว่าผิวถนนไม่ได้คุณภาพจริง เมื่อวัดความหนาพบว่าได้ตามมาตรฐานที่กำหนด 15 ซม. แต่ร่องรางระบายน้ำตัววีริมถนนไม่ได้ตามแบบมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพบว่าโครงการดังกล่าว ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทางเทศบาลตำบลบ้านบึงให้ข้อมูลว่า โครงการดังกล่าวยังไม่มีการตรวจรับงาน เนื่องจากต้องแก้ไขหลายจุด ทั้งผิวถนน และร่องรางระบายน้ำตัววี ซึ่งในส่วนของผิวถนนทางเทศบาลได้แจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขใหม่ทั้งหมด สำหรับระยะเวลาที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญานั้น ทางเทศบาลได้ปรับตามสัญญา ซึ่งปัจจุบันก็ปรับไปเกินร้อยละ 10 ของมูลค่าสัญญาแล้ว และเทศบาลตำบลบ้านบึงจะกำชับผู้รับเหมาให้แก้ไขโครงการดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนทำการตรวจรับอย่างเคร่งครัด สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี จะติดตามโครงการนี้จนกว่าจะแล้วเสร็จ และในวันส่งมอบงานตรวจรับ จะลงไปสังเกตการณ์ว่าโครงการก่อสร้างดังกล่าวแล้วเสร็จอย่างถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ พร้อมขอบคุณภาคประชาชนที่แจ้งเบาะแสโครงการฯ ของหน่วยงานภาครัฐ ที่อาจจะส่อว่าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสในทุกโครงการ

Read More

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนธิกำลังกับตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล 5 จับกุมนายจักรกริศน์ คำพิมพ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 ประกอบมาตรา 86 และ 91 และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีที่เทศบาลตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาซ่อมแซมถนนลูกรัง 33 โครงการ งบประมาณ 2,984,000 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 แต่จากการไต่สวนพบว่าไม่มีการดำเนินโครงการจริง โดยนายจักรกริศน์ คำพิมพ์ เป็นเจ้าของร้านแม่โขงวัสดุบริการ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างโครงการดังกล่าว 2 โครงการ ได้แก่ (1) บันทึกตกลงการจ้าง เลขที่ 129/2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 และ (2) บันทึกตกลงการจ้าง เลขที่ 151/2558 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 แต่กลับมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในโครงการดังกล่าวครบถ้วน โดยระบุว่านายจักรกริศน์เป็นผู้รับเงินจำนวน 2 โครงการ มูลค่าความเสียหาย 159,390 บาท ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายจักรกริศน์มีมูลความผิดทางอาญา จึงได้ออกหมายจับและประสานกับตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล 5 เพื่อติดตามจับกุมตัว จนกระทั่งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.20 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้พบตัวนายจักรกริศน์ฯ บริเวณถนนสาธารณะหน้าบ้านเลขที่ 66/93 ท้ายซอย RCA นวนคร 5 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี…

Read More

นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ Facebook ส่วนตัว แสดงความผิดหวังต่อผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการตัดไฟฟ้าประเทศเมียนมาเพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีเนื้อหาระบุว่า สารภาพตามตรง ผมคาดหวังการประชุมวันนี้ไว้ค่อนข้างมาก เพราะหน่วยงานอย่างสภาความมั่นคงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นตามแนวชายแดน ผมเข้าใจดีว่าท่านไม่มีอำนาจในการสั่งการให้มีการตัดไฟฟ้า แต่ท่านก็ควรจะพูดให้ชัดเจนว่าการแก้ไขเพื่อจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ก้าวแรกคือการตัดไฟ” มิเช่นนั้นการซีลชายแดนต่างๆที่เป็นนโยบายของรัฐบาลก็ไม่มีทางได้ผลอย่างแน่นอน เต็มที่ก็อาจจะจับกุมได้บางส่วน แต่โครงสร้างของเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ยังมีอยู่และดำเนินต่อไป จากท่าขี้เหล็ก สู่เมียวดี จนถึงพญาตองซู ผลประโยชน์มันเยอะ ทุนไทยเทาคงได้มาก บรรดาข้าราชการระดับสูงจนถึงนักการเมืองก็อาจจะมีเส้นเงินถึงด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้มันถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ คนไทยก็คงต้องดูแลตัวเองกันต่อไป “ท่านจะโยนกันไปกันมา ต้องไปถามบริษัทอาชญากร ซึ่งเค้าคงบอกมั้งครับว่าเขาคืออาชญากร สมคบคิดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในส่วนความร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมาที่ สมช. ก็รู้ดีว่า ทุกวันนี้เค้าคุมพื้นที่ในเมียนมา ไม่ถึง 40% ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศ ปัญหาของประเทศไทยแต่ต้องรอให้ประเทศอื่นมาแก้ให้ ทำไมรัฐบาลถึงใจดำกับคนไทยแบบนี้ ด้อยประสิทธิภาพมาก ๆ ผมไม่ยอมแพ้หรอกครับในเรื่องนี้ ท่านคงอยากให้คนไทยเลิกสนใจ เพราะเหนื่อยหน่ายกับการตามความชัดเจนของพวกท่านว่าจะเอายังไง แต่ผมคงต้องสู้ต่อ วันพฤหัสบดีนี้ กรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ จะเชิญ รัฐมนตรีมหาดไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาพิจารณาเรื่องการตัดไฟฟ้าที่เอื้อประโยชน์ต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเวลา 11.30-13.00 น. มาชี้แจงต่อพวกเราหน่อยว่าที่ท่านทำไปทั้งหมดมันเป็นไปโดยกฎหมายอย่างไร ทำไมผลประโยชน์ของคนไทยจึงถูกเพิกเฉยขนาดนี้ อ้อ แล้วสะกิด ผบ.ตร. หน่อย ดูลูกน้องตัวเองด้วย ปล่อยให้มีการลักลอบเข้าออกประเทศผิดกฎหมายผ่านทีาข้ามไปเล่นการพนันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ ทำได้ด้วยหรือครับ เงินที่ได้มามันชอบด้วยกฎหมายหรือ ผิดฟอกเงินหรือเปล่า อย่าลืมขยายผลด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังบ้าง“ นายรังสิมันต์ โรม ระบุทิ้งท้าย

Read More

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติปมตัดไฟฟ้าเมียนมาว่า มีการตั้งคณะทำงานร่วม ไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่มีปัญหาและหาทางแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และจะมีการตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ต้องสงสัย เพื่อหาความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากนั้นจะมีการพูดคุยกับบริษัทคู่สัญญาที่จ่ายไฟฟ้าให้กับเมียนมา เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา และพิจารณาตัดไฟในบางส่วนของพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกันในวันพรุ่งนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2568) จะมีการหารือกับ นายหลิว จง อี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงความมั่นคงและสาธารณะประชาชนจีน เพื่อหาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา และจะเดินทางลงพื้นที่จ.ตาก ด้วยตัวเอง ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และสั่งการมาตรการเพิ่มเติม โดยจะมีการดำเนินการซีลพื้นที่ชายแดน 2 ชั้น ตามนโยบายของรัฐบาล “เมื่อเช้านี้ได้มีการสั่งให้ประชุม ซึ่งผลออกมาเป็นเอกภาพไม่โยนไปโยนมา สิ่งที่สำคัญคือให้ดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมดโดยจะให้มีการประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ สมช. และกระทรวงมหาดไทย โดยจะให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อประสานงานกับทางเมียนมาร์ เพื่อให้ดำเนินการตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก คือให้ทางการเมียนมาดำเนินการพูดคุยกับบริษัทเอกชนในพื้นที่ ว่าถ้ายังมีปัญหาแล้วไม่ดำเนินการแก้ไข ทั้งนี้ฝ่ายไทย ได้แจ้งกับทางการเมียนมาในฐานะเป็นเจ้าของพื้นที่ เพื่อให้ไปดำเนินการแก้ไขต่อ ซึ่งไทยอาจจะต้องดำเนินการตัดไฟครึ่งหนึ่ง เพื่อให้กระแสไฟตกในจุดที่ยังใช้งานอยู่” นายภูมิธรรม กล่าว

Read More

ชุดปราบปรามยาเสพติด กก.ดส. นำโดย พ.ต.ต.ยศชนินทร์ ประเสริฐโสภา สว.กก.ดส.บช.น. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชปส.ดส. เข้าจับกุม นายทศพร หรือบาส อายุ 28 ปี และนายวีระศักดิ์ หรือช็อป อายุ 32 ปี ในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ และร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่ 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลาง คีตามีน บรรจุอยู่ในถุงชาสีเขียว น้ำหนักรวม 5.5 กิโลกรัม, ยาบ้า ห่อในกระดาษไข ปั๊มตรา UFO 999 รวม 48,000 เม็ด, ยาไอซ์ น้ำหนักรวมถุง 0.7 กรัม จำนวน 1 ถุง และอุปกรณ์การเสพ การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่า มีชายต้องสงสัยขับรถจักรยานยนต์ส่งยาเสพติดให้กับผู้เสพรายย่อย จึงได้ทำการติดตามสืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง ต่อมาสืบทราบว่าจะมีการนัดรับยาเสพติดที่บ้านพักแห่งหนึ่งในย่านพระสมุทรเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์อยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้พบเห็นนายทศพร หรือบาส กำลังเดินถือถุงสีดำเข้าไปในบ้าน โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือช็อปคอยเปิดประตูให้ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น เมื่อผู้ต้องหาทั้งสองเห็นเจ้าหน้าที่ก็แสดงอาการตกใจและพยายามวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้เสียก่อน จากการตรวจค้นพบเคตามีนซุกซ่อนอยู่ในถุงสีดำที่นายทศพรณ์ถืออยู่ และจากการตรวจค้นภายในบ้านพักยังพบยาบ้าอีก 48,000 เม็ด เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.พระสมุทรเจดีย์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

คดีแก๊งโอริโอ้ที่ก่อเหตุอุกอาจ ทำร้ายผู้อื่นอย่างเหี้ยมโหด ท้าทายอำนาจกฎหมาย กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงแค่พฤติกรรมที่รุนแรงของแก๊งวัยรุ่นกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อกล่าวหาที่ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ กระทำผิดด้วย พฤติกรรมสุดเหี้ยมของแก๊งโอริโอ้แก๊งโอริโอ้เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยมีพฤติกรรมที่ท้าทายสังคมอย่างมาก พวกเขามักจะรวมตัวกันทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และยังมีการถ่ายคลิปวิดีโอการกระทำของตนเองไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอย่างโจ๋งครึ่ม หนึ่งในคดีที่โด่งดังของแก๊งโอริโอ้คือการทำร้ายร่างกายเหยื่ออย่างทารุณ บังคับให้กินหญ้า และเปลือยกาย ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ข้อกล่าวหาตำรวจเอี่ยวช่วยที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือมีคลิปเสียงที่สมาชิกแก๊งโอริโอ้พูดถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามามีส่วนช่วยเหลือพวกเขา ซึ่งหากเป็นเรื่องจริง นี่ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เพราะเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด สนับสนุนให้กลุ่มอาชญากรรมลอยนวล พฤติกรรมของแก๊งโอริโอ้และข้อกล่าวหาเรื่องตำรวจที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง กำลังส่งผลกระทบต่อสังคมในหลายด้าน กล่าวคือ ความรู้สึกไม่ปลอดภัย: ประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง เพราะไม่มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถปกป้องพวกเขาได้จริง ความเสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม: เมื่อตำรวจซึ่งมีหน้าที่ในการรักษากฎหมายกลับกลายเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิดเสียเอง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม การเลียนแบบพฤติกรรม: พฤติกรรมที่รุนแรงของแก๊งโอริโอ้อาจกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชนรุ่นหลัง ทำให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้ความเป็นธรรมกลับคืนมา และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างละเอียด โปร่งใส และเป็นธรรม หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำความผิดจริง จะต้องลงโทษสถานหนักโดยไม่มีข้อยกเว้นนอกจากนี้ ยังต้องมีการแก้ไขปัญหาการรวมกลุ่มของวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมรุนแรงอย่างจริงจัง โดยการส่งเสริมให้เยาวชนมีกิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสังคม รวมถึงการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับเยาวชน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาก้าวพลาดไปในทางที่ผิด คดีแก๊งโอริโอ้เป็นเครื่องเตือนใจว่าสังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคน

Read More