- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
เป็นนัดหมายที่ “อุ๊งอิ๊งค์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์โพรโมทด้วยตนเอง เชิญชวนให้ประชาชนฟังการแถลงผลงานครบรอบ 3 เดือนหลังก้าวขึ้นมาของรัฐบาล ภายใต้หัวข้อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering This: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง” โดยจัดเก้าอี้กว่า 500 ที่นั่งให้คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้ารัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์การมหาชน และสื่อมวลชนมาฟังกันอย่างถ้วนทั่ว พร้อมกับถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และ Facebook ของ NBT นอกจากเป็นการฉายเดี่ยวที่พูดถึงผลงาน 3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว นางสาวแพทองธาร ยังจะพูดถึงทิศทางของประเทศไทยในปี 2568 ที่กำหนดเป็นปีทองของประเทศไทย ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม และการลงทุน เพื่อเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้การแถลงผลงานรัฐบาล ทั้งวันและช่วงเวลากลับไปตรงกับวันแรกของการเปิดสมัยประชุมสภาฯ พอดิบพอดี และกำลังประสานเพื่อขอนายกฯ มาตอบกระทู้สดในประเด็นร้อนๆ อย่าง MOU 44 กรณีว้าแดง หรือประเด็นเศรษฐกิจ แต่นายกฯ เลือกวันเวลาดังกล่าวเท่ากับปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้สอบถาม เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯ ไม่เช่นนั้นก็ควรใช้เวทีสภาฯ แถลงผลงานก็น่าดี และประหยัดงบประมาณจัดงานอีกด้วย ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
จากประเด็นรัฐบาลจ่อขึ้นภาษี VAT15% จนกลายที่ข้อกังขาของประชาชนในประเทศ ร้อนถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาโต้ประเด็นนี้ โดยโพสต์ข้อความผ่าน X @ingshin ระบุข้อความว่า “จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT15% วันนี้ ดิฉันได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับท่านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีเพื่อความชัดเจน ดิฉันขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้ค่ะ ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่นๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทยค่ะขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจค่ะว่า การทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคนค่ะ” ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
สมกับเป็นประเทศที่ใครต่อใครต่างก็อยากเดินทางมาท่องเที่ยว หลังรายงานล่าสุดจาก Euromonitor International บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำระดับโลก ระบุว่า “กรุงเทพมหานครฯ” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของนักท่องเที่ยวโลก ขึ้นแท่นอันดับ 1 เมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 ด้วยอัตราการเข้ามาท่องเที่ยวทะลุ 32.4 ล้านคน! นำโด่งเมืองอิสตันบูลที่มีนักท่องเที่ยว 23 ล้านคน ถึงเกือบ 10 ล้านคน! ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ตรงที่ไม่ใช่แค่ยอดตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงนโยบายที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ด้วยการยกเว้นวีซ่า 60 วัน สำหรับ 93 ประเทศ และการเพิ่มจำนวนประเทศที่มีสิทธิ์ขอวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึงจาก 19 เป็น 31 ประเทศ ทำให้คว้าอันดับ 1 ด้านนโยบายและความน่าดึงดูดด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย ไม่แปลกที่การท่องเที่ยวในประเทศไทยจะเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 30% จากปี 2023 โดย 10 อันดับ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 ได้แก่ กรุงเทพมหานครฯ ประเทศไทย (32.4 ล้านคน) อิสตันบูล ประเทศตุรกี (23 ล้านคน) ลอนดอน ประเทศอังกฤษ (21.7 ล้านคน) ฮ่องกง เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (20.5 ล้านคน) เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย (19.3 ล้านคน) อันตัลยา ประเทศตุรกี (19.3 ล้านคน) ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (18.2 ล้านคน) มาเก๊า เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (18 ล้านคน) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส (17.4 ล้านคน) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (16.5 ล้านคน) ขอบคุณที่มา : Euromonitor International
“ผมไม่ได้บอกว่าฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมกลายเป็นมะเร็งปอด เพราะก็มีคนอื่นที่สูดฝุ่นเหมือนกัน การเกิดมะเร็งในปอดผมมันเกิดจากหลายปัจจัยรวมๆ กัน โดยเฉพาะตัวหลักคือกรรมพันธุ์ของครอบครัวผมแต่กรรมพันธุ์มันก็เหมือนกับลูกโม่ที่อยู่ในปืนแหละครับ ส่วนสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมันก็เหมือนคนลั่นไกปืนนั้น เราเปลี่ยนพันธุกรรมและสายเลือดเราไม่ได้ก็จริง แต่เราน่าจะจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้นะครับเพราะผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องฝุ่นควันนี่แหละที่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอดครับ” เป็นส่วนหนึ่งหมอกฤตไท ธนกฤตสมบัติ เล่าเรื่องราวไว้ผ่านเฟซบุ๊กเพจ “สู้ดิวะ” หลังพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามช่วงปลายปี 2565 ก่อนจากไปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น การจากไปของ “หมอกฤตไท” นำมาซึ่งความตื่นตัวในการเรียกร้อง “อากาศสะอาด” อยู่พักใหญ่ ก่อนกระแสจะจางจายไป พร้อมเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาทดแทน The Publisher ตรวจสอบสถานะของ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นความหวังในการต่อสู้กับฝุ่น PM2.5 หลังการจากไปของหมอกฤตไท ครบรอบ 1 ปี ในวันที่ 5 ธันวาคม พบว่า ไทม์ไลน์การขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้มีการผ่านสภาฯวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 โดย กมธ.ฯ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่ 8 ซึ่งรวบรวมจาก 7 ฉบับก่อนหน้า เพื่อให้ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งกลางเดือนธันวาคมนี้ จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จากนั้นปลายเดือนธันวาคม นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ วาระที่ 2 และ 3 ก่อนชงเข้าวุฒิสภาในช่วงต้นปี 2568 และคาดว่าจะประกาศใช้บังคับได้ภายในปีเดียวกัน 1 ปีกับการจากไปของ “หมอกฤตไท” ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่กับฤดูเผา-ฤดูฝุ่น กับความหวังว่า ปัญหาจะไม่รุนแรงยิ่งขึ้น จนเราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจ อย่างที่ “หมอกฤตไท” เคยตั้งคำถามไว้. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #หมอกฤตไท #พรบอากาศสะอาด #มะเร็งปอด
คนไทยได้เฮทั้งประเทศ หลัง “ต้มยำกุ้ง” อาหารจานเด็ดรสชาติแซ่บถึงเครื่องของไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนราและสงกรานต์ในปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการ วธ.กล่าวต่อว่า ในการเสนอ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นทะเบียนมรดกกับยูเนสโกนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 เห็นชอบให้ วธ. โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เสนอขอขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ.2003 ของยูเนสโก หลังจาก “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ.2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทอาหารและโภชนาการ ด้วย “ต้มยำกุ้ง” เป็นมรดกภูมิปัญญาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยที่มีความเรียบง่าย มีสุขภาวะทั้งกายและใจที่แข็งแรง รู้จักการพึ่งพาตนเองด้วยวิธีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เป็น “กับข้าว” ที่คนในชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำในพื้นที่ภาคกลาง นำวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยชื่อ ต้มยำกุ้ง เกิดจากการนำคำ 3 คำมารวมกัน ได้แก่ “ต้ม” “ยำ” และ “กุ้ง” ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำอาหารที่นำเนื้อสัตว์ คือ กุ้ง ต้มลงในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรซึ่งปลูกไว้กินเองในครัวเรือนอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และปรุงรสจัดจ้านแบบยำ ให้มีรสเปรี้ยวนำด้วยมะนาว ตามด้วยรสเค็มจากเกลือหรือน้ำปลา รสเผ็ดจากพริก รสหวานจากกุ้ง และขมเล็กน้อยจากสมุนไพร
ช็อกวงการบันเทิงเกาหลีใต้ เมื่อนักแสดงหนุ่มชื่อดังมากความสามารถ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเกาหลี “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันในวัย 32 ปี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ณ ประเทศจีน สร้างความเศร้าใจอย่างมากต่อครอบครัว คนใกล้ชิด และแฟนคลับ ยิ่งได้ทราบสาเหตุของการเสียชีวิตก็ยิ่งเศร้า ตามข้อมูลของสื่อเกาหลีได้รายงานว่า “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” ผู้เสียชีวิต ได้จากไปด้วยอาการ “หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ทั้งนี้ พิธีศพของ “พัคมินแจ (Park Min-Jae)” จะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม เวลา 09:30 น. โดยยังไม่ได้ระบุสถานที่ฝังร่างของนักแสดงหนุ่ม ทางทีมข่าว The Publisher ของร่วมแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจให้กับครอบครัวได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้ได้โดยเร็ว
ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งตีปี๊บเป็นปลื้มไทยได้รับเลือกเป็นคณะมนตรี UNHCR ด้วยคะแนนสูงสุด พร้อมประกาศจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งเพิ่งได้รับคำชื่นชมจากยูเอ็นว่าหยุดภาวะไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ด้วยการให้สัญชาติไทยกับกลุ่มผู้อพยพมากกว่า 4.8 แสนคน สูงสุดในโลก แต่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวเหตุการณ์กลับตาลปัตร รัฐบาลไทยถูกประณามจากทั้ง UN กลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR) และ Human Rights Watch จากการส่งตัวนักกิจกรรมฝ่ายค้านชาวกัมพูชากลับประเทศโดยรัฐบาลไทยจุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับการเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แม้จะมีกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ชัดเจน แต่การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลของรัฐบาลในการละเมิดหลักการพื้นฐานเหล่านี้ ทั้งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย” แต่เมื่อเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับรัฐบาลกัมพูชา “รัฐบาลประชาธิปไตย” ของ แพทองธาร ชินวัตร กลับเลือกที่จะส่งตัวนักกิจกรรม 6 คน และเด็กชายวัน 5 ขวบกลับกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา จนเกิดเสียงประณามดังไปทั่วโลก น่าประหลาดใจที่ “รัฐบาลปชต.” ของ “แพทองธาร” กลับไม่นำพาต่อสิ่งที่น่าจะคาดการณ์ได้ว่า ทั้งนักกิจกรรม 6 คน และเด็กชายวัย 5 ขวบ อาจเผชิญกับการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติมิชอบ ซึ่งการกระทำนี้ไม่เพียงละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน แต่ยังขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหายของไทยเองด้วย รัฐบาลแพทองธารใช้ข้อหาคนเข้าเมืองเป็นเครื่องมือในการส่งตัวผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาในการปราบปรามผู้เห็นต่าง การกระทำเช่นนี้เป็นการบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของการลี้ภัย ขัดต่อการยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติตามที่ประกาศไปหรือไม่ รัฐบาลต้องทบทวนดู ขณะที่รัฐบาลกัมพูชามีแนวโน้มที่จะออกกฎหมายใหม่ ยัดข้อหาก่อการร้ายให้กับฝ่ายค้านหัวรุนแรงในต่างแดน นี่คือพฤติการณ์ของรัฐบาลที่มีสายสัมพันธ์ดียิ่งกับรัฐบาล ปชต.ของแพทองธาร เกิดคำถามว่าผู้ลี้ภัยก็ส่งตัวให้ ผลประโยชน์ทางทะเลก็พร้อมเจรจา หรือนี่จะเป็น มิตรภาพสีเทาระหว่างทักษิณ-ฮุนเซน เป็นสายสัมพันธ์บนผลประโยชน์ที่ไร้ซึ่งคำอธิบาย นอกจากความลงตัวที่ตกลงส่วนตัวได้ทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าจะกระทบส่วนรวมใช่หรือไม่
คดีทุจริตระบายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “บุญทรง” กับพวก ดังนี้◾ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ถูกชี้มูลความผิด ฐานทุจริตทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) 7 สัญญา มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท◾ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ถูกชี้มูลความผิด ด้วย◾ มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โดนชี้มูลความผิดถึง 3 สำนวน◾ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา พ้นข้อกล่าวหา สาระสำคัญของคดี◾ ป.ป.ช. ชี้ว่าการทำสัญญา G to G ทั้ง 7 สัญญากับบริษัทจีน ไม่ใช่การทำสัญญากับรัฐบาลจีนโดยตรง แต่เป็นการทำกับรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน◾ มีการขายมันสำปะหลัง ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้รัฐเสียหายกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท สถานะปัจจุบัน◾ ป.ป.ช. ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว◾ บุญทรง ได้รับการพักโทษ คดีระบายข้าวแบบ G to G◾ มนัส สร้อยพลอย น่าจะได้รับการพักโทษ คดีระบายข้าวแบบ G to G เช่นเดียวกับ บุญทรง◾ วีระวุฒิ ถูกตัดสินจำคุก 72 ปีแต่จำคุกตามกฎหมายได้ 50 ปี อยู่ระหว่างหลบหนี
สถานการณ์การปะทะคารมทางการเมืองระหว่าง อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และ แพทองธาร ชินวัตร เป็นประเด็นที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ “วาทกรรม” ในโลกออนไลน์เพื่อสร้างความชอบธรรมและโจมตีฝ่ายตรงข้าม จุดเริ่มต้นมาจาก คำให้สัมภาษณ์ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “สามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ หรือไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้” ถูก “เจี๊ยบ” อมรัตน์ วิจารณ์ว่าเป็นคำตอบที่ไม่เกินชายคาบ้าน “เฉิ่ม” และ “เอาตัวเองเป็นแกนกลางของจักรวาล ตามมาด้วยการฟาดแรงว่า “ตอบคำถามยังไงให้มีความเสี่ยงต้องมีผัวให้ครบทุกภาค“ ทำเอานายกฯ คุณหนูนั่งไม่ติด มีการตอบโต้ผ่าน Instagram Story ด้วยข้อความภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยได้ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง” และ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น” แม้จะไม่ระบุว่ากล่าวถึงใครแต่การแชร์คำคมทั้งสองประโยคในห้วงเวลานี้ทำให้มองเป็นอื่นไปได้ยาก นอกจากตอบโต้ ”เจี๊ยบ อมรัตน์“ หากเราวิเคราะห์จะเห็นว่า นายกฯ คุณหนู ใช้วาทกรรมเชิงอำนาจตบด้วยการใช้ภาษาอังกฤษ อาจตีความได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเหนือกว่า หรือการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำยุคใหม่ ไปจนถึงการกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้าม “ไม่มีความมั่นใจ” เป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือ การตีความคำพูดของนายกฯ คุณหนู จึงอาจตีความได้หลายแง่มุม เช่น เป็นการแสดงความมั่นใจในตนเอง ปฏิเสธคำวิจารณ์โดยไม่ชี้แจงเหตุผล และ โจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยอ้อม แม้จะดู “เฟียส” ถูกใจผู้สนับสนุนแบบฟาดมาฟาดกลับ แต่ก็มีสิ่งที่ควรคำนึงถึง โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่ลดตัวไปปะทะคารมกับ “เจี๊ยบ อมรัตน์” ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในทางการเมือง ยกเว้นปากที่ยังแซบแบบเต็มสิบไม่หัก เหตุการณ์นี้ยังเป็นตัวอย่างของการใช้วาทกรรมในโลกออนไลน์เพื่อสร้างความชอบธรรม โจมตีฝ่ายตรงข้าม และช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของโซเชียลมีเดียต่อการเมืองไทยที่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นสื่อกระแสรองหรือกระแสหลัก เพราะประโยคจากโซเชียลถูกนำไปขยายความต่อจากสื่อหลักอยู่เป็นประจำ สิ่งสำคัญคือประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และไม่ตกเป็นเครื่องมือของวาทกรรมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายใดก็ตาม
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ได้จุดชนวนความตึงเครียดครั้งใหม่บนเวทีเศรษฐกิจโลก ด้วยการประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย ขู่ขึ้นภาษีศุลกากร 100% กับกลุ่มประเทศ BRICS หากกลุ่มประเทศดังกล่าวดำเนินการใด ๆ ที่บ่อนทำลายค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คำขู่ของทรัมป์พุ่งเป้าไปที่ 9 ประเทศสมาชิก BRICS ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอธิโอเปีย ซึ่งล้วนเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่กำลังพิจารณาเข้าร่วมกลุ่ม BRICS เช่น ไทย มาเลเซีย และตุรกี ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้เช่นกัน ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ BRICS สร้างสกุลเงินใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินใดๆ เพื่อทดแทนดอลลาร์สหรัฐฯ โดยขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอย่างรุนแรง หาก BRICS ฝ่าฝืนคำเตือน การขู่ครั้งนี้ของทรัมป์ สอดคล้องกับท่าทีของเขาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่เน้นนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) และมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และอาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ BRICS แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงเป็นสกุลเงินหลักในการค้าระหว่างประเทศ แต่กลุ่ม BRICS และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เริ่มแสดงความไม่พอใจต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ที่มีต่อระบบการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการกดดันประเทศอื่น ๆ จนนำไปสู่ความพยายามของ BRICS ที่จะลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ มองหาทางเลือกอื่น ๆ เช่น การสร้างระบบการชำระเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ กลายเป็นการท้าทายตรงไปยังดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะยังไม่มีสกุลเงินใดที่สามารถทดแทนดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สั่นคลอนความเป็นหนึ่งที่เคยดำรคงอยู่มานาน สำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับทั้งสหรัฐฯ และ BRICS เนื่องจากไทยเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น การค้าระหว่างประเทศอาจได้รับผลกระทบ การลงทุนจากต่างประเทศอาจลดลง หรือค่าเงินบาทอาจมีความผันผวนมากขึ้น ประเทศไทยจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป