- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
ป.ป.ช. สนธิกำลังตำรวจ บุกรวบ “คมกริช พิชิตสุวรรณ” อดีตนักวิชาการเงิน มหาวิทยาลัยพะเยา ทุจริตโกงเงินมหาวิทยาลัยกว่า 10 ล้านบาท แถมยังมีหมายจับติดตัวอีก 2 คดี! ถูกจับได้ขณะโผล่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน แผนฉ้อโกงเงินทุนการศึกษา – ทำรัฐเสียหาย 10 ล้านบาท! วานนี้ (3 มีนาคม 2568) สำนักงาน ป.ป.ช. นำโดย นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. และ นายวิวัฒน์ เจริญฉ่ำ รองเลขาธิการฯ ได้สั่งการให้ หน่วยสืบสวนคดีทุจริต ภาค 5 และ ภาค 7 สนธิกำลังร่วมกับ ตำรวจ สน.เทียนทะเล เข้าจับกุม นายคมกริช พิชิตสุวรรณ อายุ 48 ปี อดีตนักวิชาการและบัญชี มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งมีหมายจับ ศาลอาญาคดีทุจริต ภาค 5 ในข้อหาทุจริตเงินมหาวิทยาลัย โดยมีพฤติกรรมฉ้อโกงขณะดำรงตำแหน่ง นักวิชาการเงินและบัญชี ม. พะเยา นายคมกริช เป็นผู้มีหน้าที่ จัดการจ่ายเงินทุนการศึกษาและงบประมาณของมหาวิทยาลัย ใช้อำนาจในหน้าที่ เบียดบังเงินทุนเป็นของตัวเอง ผ่านช่องทางเบิกจ่ายที่ผิดกฎหมาย ทำให้มหาวิทยาลัยพะเยา เสียหายกว่า 10,005,000 บาท! ไม่ใช่แค่คดีเดียว! หมายจับติดตัวอีกเพียบ! โดยนายคมกฤช มีหมายจับติดตัวถึง 2 หมาย ประกอบด้วยหมายจับที่ 1 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี คดีลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หมายจับที่ 2 ศาลจังหวัดนครสวรรค์ คดีร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ หลังหลบหนีนานหลายเดือน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และตำรวจสืบทราบว่า นายคมกริชอยู่ในกรุงเทพฯ และปรากฏตัวที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โดยเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตาม ก่อน เข้าจับกุมได้ทันควัน ขณะกำลังเดินออกจากโรงพยาบาล! หลังจากจับกุม ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวส่งอัยการคดีปราบปรามการทุจริต ภาค…
ตลาดหุ้นไทยยังคง “แดงเถือก” ไม่เห็นแววจะฟื้น แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ จะเคย “เป่ามนต์” ปลุกตลาดหุ้น ก็ยังทำอะไรไม่ได้! รอบนี้…มนต์เสื่อม หรือหมดศรัทธา? “หุ้นไทยทรุด” – นักลงทุนหนี กองทุนใหญ่เทขาย ความเชื่อมั่นหดหาย!SET Index รูดหนัก ดิ่งต่ำสุดรอบหลายปี ไม่มีแรงซื้อพยุง หุ้นไทยอาการหนัก นักลงทุนต่างชาติถอนทุนต่อเนื่อง บาทอ่อน ศรัทธาตลาดหาย นักลงทุนมองว่าประเทศขาดเสถียรภาพ “การเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจไม่เดิน” ทักษิณคัมแบ็ก เป่ามนต์ปลุกหุ้น – แต่ดัชนีไม่สนใจ! ย้อนกลับไปในยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจ ตลาดหุ้นไทยเคยทะยานขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน (หรืออย่างน้อยก็ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ามีแผนจริง!) แต่วันนี้ ตัวพ่อมาแล้ว หุ้นก็ยังดิ่ง…เพราะอะไร? “มนต์เสื่อมหรือหมดยุค?”อาจเป็นไปได้ว่านักลงทุนไม่อินกับคำพูดแล้ว “ต้องการการกระทำ ไม่ใช่แค่สัญญา” ศรัทธาในฝีมือทักษิณยังพอมี แต่ “ศรัทธาในทีมบริหาร?” นักลงทุนส่ายหัว! นายกฯ – หุ้นลงเหว! ผู้นำ Gen Y หรือ Gen Why? การเมืองไทยเข้าสู่ยุค “นายกฯ ลูกทักษิณ” แต่ตลาดหุ้นกลับให้คำตอบชัดเจนว่า “ตลาดทุนไม่เชื่อมั่น” สาเหตุเป็นเพราะ ไร้แผนเศรษฐกิจที่ชัดเจนพูดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ แต่ผลงานยังไม่เห็น ปัญหาแรงงาน-ค่าครองชีพหนักขึ้น ตลาดหุ้นไม่ได้ต้องการแค่ภาพลักษณ์ Gen Y แต่ต้องการผู้นำที่มีความสามารถบริหารเศรษฐกิจ! จากยุคหุ้นพุ่งสู่ยุคหุ้นฟุบ – เพราะลูกสาวบริหาร หรือเพราะยุคของพ่อมันจบแล้ว? สุดท้าย…นักลงทุนไม่ได้ดูว่า “ใครเป็นพ่อ” แต่ดูว่า “ใครบริหารประเทศ!”วันนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่า มนต์ทักษิณปลุกหุ้นไม่ขึ้นแล้ว! ศรัทธาในรัฐบาลลูกสาว…ไม่มี! ถ้าทีมเศรษฐกิจยังเดินแบบไม่มีแผน นักลงทุนนั่งมองหุ้นแดงต่อไปแน่นอน! ศรัทธาตลาดทุน ไม่ได้อยู่ที่ “ชื่อ” หรือ “สกุล” แต่มันอยู่ที่ “ฝีมือ”…ร่ายมนต์ก็แล้ว…ไม่ได้ผล ลองเปลี่ยนนายกฯ ดูมั้ย? เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น!
กาสิโนในไทย เรื่องที่รัฐบาลบอกว่าทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่ดูเหมือนทุกอย่างที่ออกมาจะย้อนแย้งกันเองไปหมด! ตั้งแต่ประเด็น “คนไทยจะเล่นได้หรือไม่?” “ต้องมีเงินฝาก 50 ล้าน?” “หรือต้องตรวจภาษีย้อนหลัง?” เล่นไปเล่นมา กฎเปลี่ยนเป็นว่า…ยังไม่ชัวร์อะไรเลย! ที่สำคัญคือรัฐบาลเคยประกาศไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน แต่การเปิดช่องให้คนไทยเข้าเล่นได้ง่ายขึ้น ด้วยการยกเลิกเงินในบัญชี 50 ล้าน มันคืออะไร? นโยบายลักลั่น – พูดอย่าง ทำอีกอย่าง! ตอนแรกบอกว่า…คนไทยจะต้องมี เงินฝาก 50 ล้านบาท ติดต่อกัน 6 เดือนถึงจะเล่นกาสิโนได้ แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนใหม่…เงินฝาก 50 ล้าน? ตัดออก! เปลี่ยนเป็นต้องตรวจภาษีย้อนหลัง 3 ปีแทน แต่แล้วกฎ 50 ล้านยังไม่หายไปไหน…แถมยังอยู่ในร่างกฎหมาย! สรุปแล้ว…ตกลงรัฐบาลจะให้คนไทยเล่นกาสิโน หรือแค่ให้คนบางกลุ่มเล่น? สำคัญที่สุดระหว่างเถียงเรื่องนี้จะแก้ปัญหาคนไทยกลายเป็นผีพนันได้ยังไง กลับไม่เคยถูกพูดถึง เราอาจเห็นรัฐบาลย้อนแย้งอยู่ตลอด ที่แทงตรงอย่างเดียวคือ “ผลประโยชน์” แต่ของใคร?
ในเพจเฟซบุ๊กของนายไพศาล พืชมงคล เผยแพร่ภาพและบทสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างเดินทางเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของ กวางโจเดลี่ โดยมีประธานกรรมการให้การต้อนรับ และสัมภาษณ์พิเศษอดีตนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ ในประเด็นความสัมพันธ์ไทยจีนครบรอบ 50 ปี และการฉลองใหญ่ในปี 2568 นี้ ตอนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ จากทางการไทย ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเป็นการขัดหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และได้รับการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์บอกขั้นตอนการส่งตัวกลับประเทศต้นสังกัด เสร็จสิ้นไปแล้ว จากนี้ไปถ้าประเทศจีนเผยแพร่ข่าวสารชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ ก็จะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แก่ผู้สนใจในประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ นายไพศาล ในฐานะเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ยังบอกด้วยว่ากำลังอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อนำคณะของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จากเครือผู้จัดการเดินทางไปมณฑลซินเกียง เพื่อเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่รัฐบาลไทยส่งกลับ และนำเสนอข่าวสภาพความเป็นอยู่ในซินเกียงเปิดเผยให้โลกรู้ โดยคาดว่าจะเป็นช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ อย่างซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องขออนุมัติต่อรัฐบาลจีน ทั้งนี้ทางสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน จะส่งกรรมการวัฒนธรรมร่วมคณะไปด้วย 2 คน เพื่อช่วยประสานงานและสนับสนุนการเดินทาง
“วันนี้ประเทศอาการหนัก” คือคำพูดของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย แต่ถ้ามองลึกลงไป คนที่กำลังอาการหนักจริง ๆ อาจไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นเพื่อไทยเอง เมื่อมองไปที่สถานการณ์รอบด้าน พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมืองจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นแพ้เกมในสภาฯ เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนต้องคว่ำองค์ประชุมถึง 2 ครั้ง ถูกภาคประชาสังคมกดดันเรื่องกาสิโน และพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ต้องงัดข้อกับภูมิใจไทย และถูกกดดันจากผู้มีอำนาจ ปมฮั้ว ส.ว. นอกจากนี้กำลังจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยพุ่งเป้าเน้น ๆ ไปที่กล่องดวงใจของ “เพื่อไทย” คือ “แพทองธาร-ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดนี้ทำให้รัฐบาลที่นำโดยเพื่อไทยดูสั่นคลอนและไร้เอกภาพมากกว่าที่เคย แพ้เกมในสภาฯ แก้รัฐธรรมนูญล่มเอง คว่ำองค์ประชุมสองรอบ แก้รัฐธรรมนูญคือหัวใจหลักของรัฐบาลเพื่อไทย แต่พอถึงเวลาจริง กลับแพ้เกมในสภาฯ กุมสภาพไม่ได้ เสียรังวัดไปแบบล้มไม่เป็นท่า ทำร่างแก้รัฐธรรมนูญค้างเติ่ง เพราะส.ว. จับมือภูมิใจไทยสยบอหังการ์ สะท้อนไร้อำนาจบารมี ถึงขั้นต้องใช้วิธี “คว่ำองค์ประชุม” สองรอบ หวังพลิกเกมกลับ แต่ก็ดูเหมือนแค่ “ไปตายเอาดาบหน้า” กาสิโน-พนันออนไลน์ เพื่อไทยถอยหลังหรือแค่ถ่วงเวลา? กระแสผลักดันให้ “กาสิโน” และ “พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย” กลายเป็นประเด็นร้อน ภาคประชาสังคมออกมาต่อต้านหนักว่าการทำให้พนันถูกกฎหมายจะทำลายสังคมไทย แม้รัฐบาลไม่ใส่เกียร์ถอย แต่เมื่อถึงทางโค้งก็ไม่แน่ว่าจะไม่เสียหลัก นี่คือระเบิดเวลาที่อาจระเบิดใส่รัฐบาลเองในอนาคต อภิปรายไม่ไว้วางใจ: ฝ่ายค้านจ้องถล่ม รัฐบาลพร้อมรับมือหรือไม่? เพื่อไทยกำลังเผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกในรัฐบาล นายกฯ คุณหนู จุดอ่อนของรัฐบาลที่อาจถูกขุดขึ้นมา ได้แก่ ความล้มเหลวในการแก้รัฐธรรมนูญ การบริหารแบบไร้เอกภาพของรัฐบาล การปล่อยให้ทักษิณเข้ามาชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นนายกฯ เงา ส่วนแพทองธาร เป็นได้แค่หุ่นเชิด “วันนี้ประเทศอาการหนัก” หรือเป็นเพื่อไทยที่กำลังทรุด? ภูมิธรรมบอกว่า “วันนี้ประเทศอาการหนัก” แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นพรรคเพื่อไทยที่กำลังอาการหนักที่สุด มรสุมทางการเมืองพัดถล่มรอบด้าน ทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเริ่มปะทุขึ้นชัดเจน และฝ่ายค้านกำลังรอซ้ำเติมด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันนี้ประเทศอาจจะอาการหนัก แต่สิ่งที่หนักกว่าคือเส้นทางข้างหน้าของพรรคเพื่อไทยเอง!
“รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันระหว่างสองขั้วอำนาจ—จีนและสหรัฐฯ” นี่คือมุมมองของ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” กรณีไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 48 คนกลับจีน ซึ่งเป็นจุดที่ต้องจับตามองว่าไทยได้อะไรจากดีลนี้ และจะต้องจ่ายอะไรในภายหลัง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ชาวอุยกูร์กว่า 300 คนเดินทางเข้าสู่ไทยโดยหวังลี้ภัยไปประเทศที่สาม แต่ไทยกลับดำเนินการส่งตัวเป็นกลุ่มๆ โดยมีทั้งการส่งไปตุรกี (173 คน) และจีน (109 คน) ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมระดับนานาชาติ ทั้งความตึงเครียดกับตุรกี และการโจมตีไทยที่สถานทูตในตุรกี ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดรุนแรงที่ราชประสงค์ในปี 2558 ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวโยงกับปมอุยกูร์ รัฐบาลไทยเสี่ยงอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้? ครั้งนี้แตกต่างจากอดีต เพราะมีการยืนยันจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่ารัฐบาลจีนได้ร้องขออย่างเป็นทางการ ซึ่งเกิดขึ้นหลังการเยือนจีนของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำถามคือ เมื่อมีการร้องขอ—ไทยได้อะไรตอบแทน? รศ.ดร.ปณิธาน ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจต้องเตรียมรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ การกีดกันทางการค้า ลดสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) หรือแม้แต่การลดระดับไทยในบัญชีค้ามนุษย์จาก Tier 2 ไปสู่ Tier 3 ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไทยโดยตรง “เรากำลังเล่นเกมใหญ่กับจีน ขณะเดียวกันก็หักหน้าสหรัฐฯ ที่ร้องขอให้เราชะลอการส่งตัว แต่เราไม่ทำตาม…สิ่งนี้อาจย้อนกลับมาเป็นแรงกดดันต่อไทยในเวทีโลก ประธานาธิปบดีทรัมป์เพิ่งออกปากชม มาร์โก รูบิโอ ว่าเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ทำงานดีที่สุด รูบิโอเป็นคนที่ดูแลเรื่องบัญชีค้ามนุษย์โดยตรง และตอนนี้หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเพราะไทยไม่ฟังคำขอของเขา เขาน่าจะจัดการเราแน่” อุยกูร์ปลอดภัย…หรือแค่ภาพลวงตาทางการทูต? การที่รัฐบาลไทยดำเนินการแบบ “เงียบที่สุด” และไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อตกลง อาจช่วนให้ปฏิบัติการนี้ราบรื่น แต่ไม่ได้ช่วยให้ความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงหมดไป “ภาพที่จีนเผยแพร่ออกมาว่า อุยกูร์กลับไปอยู่กับครอบครัว เป็นเพียงภาพจากบางส่วนของกลุ่มที่ถูกส่งกลับ ไม่ได้สะท้อนชะตากรรมของทุกคน” ยังมีคำถามด้วยว่า ทำไมรัฐบาลไม่เปิดเผยว่าประเทศที่สาม เช่น ตุรกี หรือสหรัฐฯ ปฏิเสธรับอุยกูร์กลุ่มนี้หรือไม่? ถ้ามีการเจรจาแล้วแต่ไม่มีประเทศใดยอมรับ ก็ควรชี้แจงให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ไทยถูกมองว่าทำผิดหลักมนุษยธรรมโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ยังอาจส่งผลต่อบทบาทของไทยใน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งเพิ่งเริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อต้นปี 2025 และอาจต้องเผชิญกับการตั้งคำถามจากนานาชาติว่าไทยเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่ “รัฐบาลไทยต้องอธิบายให้ชัดว่ามีการพูดคุยกับประเทศที่สามใดบ้าง…
ตั้ง 3 คณะทำงาน มี DSI ร่วม – ส่งศาลฎีกาแล้ว 3 คดี “แสวง” ย้ำ กกต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ! เดินหน้าสอบสวนคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. ตั้งคณะกรรมการ 3 ชุด พร้อมหน่วยงานความมั่นคงร่วม DSI – ปปง. – สตช. เผยพิจารณาคดีแล้ว 109 เรื่อง ส่งศาลฎีกา 3 คดีจากคำร้องทั้งหมด 220 เรื่อง กกต.เดินหน้า! คดีฮั้ว ส.ว. ไม่ปล่อยผ่าน วันนี้ (28 ก.พ.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณี ฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยืนยันว่า กกต.ให้ความสำคัญอย่างมาก และไม่ได้เพิกเฉยต่อการร้องเรียน โดยแยกคดีเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ คดีซื้อเสียง และทุจริตการเลือกตั้งทั่วไป และ คดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. ที่มีการ จ้างจัดตั้งกลุ่ม, จัดทำโพยเลขชุด, บล็อกโหวต, และคะแนน 0 ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็น ลักษณะพิเศษและกระทำเป็นขบวนการ ทั้งนี้มีคำร้องเกี่ยวกับ ฮั้วเลือก ส.ว. รวม 220 เรื่อง พิจารณาแล้วเสร็จ 109 เรื่อง ส่งศาลฎีกาดำเนินคดีแล้ว 3 คดี กกต.ตั้ง 3 คณะทำงานพิเศษ ร่วมกับ DSI – สตช. – ปปง. นายแสวง ชี้แจงว่า เพื่อให้การสอบสวนโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ กกต. ได้ตั้งคณะทำงาน 3 ชุดหลัก ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการพิเศษ ทำหน้าที่ที่ปรึกษาและประสานงานการสืบสวน มีตัวแทนจาก…
นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายชัยชนะ เดชเดโช ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เบื้องหลังหรือได้รับผลประโยชน์จากขบวนการดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เดินทางมาประเทศไทย และลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การค้ามนุษย์และเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบนำคนไทยไปทำงานผิดกฎหมายในเมียนมา โดยมีรายงานว่าทางการจีนอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ไทยที่พัวพันกับเครือข่ายดังกล่าว เสนอเชิญ “รมต.จีน” ให้ข้อมูล ลั่นต้องขุดรากถอนโคน นายวัชระเสนอให้คณะกรรมาธิการการตำรวจประสานสถานเอกอัครราชทูตจีน เพื่อเชิญนายหลิว จงอี มาให้ข้อมูล หรือส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ไทยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชายแดนเมียนมา เพื่อให้มีหลักฐานชัดเจนในการดำเนินคดีและป้องกันปัญหานี้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเสนอให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เลขาธิการ กสทช. และผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ใช้ช่องทางใดในการดำเนินการ และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐรายใดเกี่ยวข้อง วัชระลั่น! ประชาชนต้องได้รับความเป็นธรรม นายวัชระ ย้ำว่า ประชาชนไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงและทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล หากพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็นหรือสนับสนุนขบวนการดังกล่าว ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมเรียกร้องให้ กมธ.ตำรวจเร่งดำเนินการและรายงานผลให้ประชาชนทราบโดยเร็ว “เรื่องนี้กระทบความเชื่อมั่นของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ จึงต้องเร่งตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ใครผิดต้องถูกลงโทษ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม” นายวัชระกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่หลายประเทศในเอเชียเริ่ม “รื้อโครงสร้างข้าราชการ” อย่างจริงจัง ลดขนาดภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระทางการคลัง ไทยยังคงติดกับดักระบบราชการเทอะทะ งบประมาณส่วนใหญ่หมดไปกับเงินเดือนข้าราชการ สะท้อนปัญหาที่รัฐบาลไม่กล้าแตะต้อง! เวียดนาม – รื้อใหญ่ ปลดข้าราชการนับแสน รัฐบาลเวียดนามเพิ่งประกาศ “ผ่าตัดใหญ่” ปรับลดข้าราชการกว่า 100,000 ตำแหน่ง พร้อมยุบรวมกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อน และตัดทิ้งองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพ นี่คือการปฏิรูปที่รัฐบาลกล้าหาญ เพราะพวกเขารู้ว่า “รัฐเทอะทะ = ประเทศถอยหลัง” กระทรวงหลายแห่งถูกควบรวมเพื่อลดภาระ เช่น กระทรวงการคลังถูกจับรวมกับกระทรวงการวางแผน รัฐบาลยุบเลิกสื่อของรัฐที่ซ้ำซ้อน หยุดใช้งบประมาณโฆษณาเกินจำเป็น ตั้งเป้าลดงบประมาณข้าราชการ และนำเงินไปพัฒนาประเทศแทน Nguyen Hoa Binh รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ถึงกับกล่าวว่า“เราต้องไม่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐกลายเป็นที่หลบภัยของคนขี้เกียจ”นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า เวียดนามกำลังเอาจริง! ฮ่องกง – ลดข้าราชการ ทุ่มงบ AI ฮ่องกงไม่ใช่ประเทศที่มีข้าราชการมากเกินจำเป็น แต่พวกเขายังกล้าที่จะลดขนาดระบบราชการ! รัฐบาลประกาศแผนตัด 10,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2027 เป้าหมายชัดเจน – ลดภาระงบประมาณ แล้วโยกเงินไปลงทุนกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยมีแผนลดขนาดข้าราชการลง 2% ของทั้งหมด พร้อมทั้งทุ่มเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง พัฒนา AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อลดการใช้แรงงาน เพิ่มการใช้เทคโนโลยี ไทย… ระบบราชการใหญ่เทอะทะ แต่ไม่มีใครกล้าแตะ! ตรงกันข้ามกับเวียดนามและฮ่องกง ระบบราชการไทยยังคงเป็น “ปัจจัยฉุดรั้ง” การพัฒนาประเทศ ด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อน ล้าสมัย ใช้งบประมาณมหาศาลไปกับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยไม่มีแผนปฏิรูประยะยาว งบประมาณประจำ (เงินเดือน-สวัสดิการข้าราชการ) กินส่วนแบ่งราว 70% ของงบประมาณทั้งหมด หน่วยงานรัฐมีอำนาจทับซ้อน ทำให้การดำเนินงานล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ และระบบราชการกลายเป็นที่พึ่งของกลุ่มผลประโยชน์ มากกว่าจะทำเพื่อประชาชน หากนำโมเดลของเวียดนามมาใช้ “ข้าราชการที่ขี้เกียจจะไม่มีที่ซ่อน” แต่คำถามคือ รัฐบาลไทยกล้าพอไหม? ทำไมไทย “ลดข้าราชการ” ไม่ได้? ระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึก การเป็นข้าราชการยังถูกมองว่าเป็น “อาชีพตลอดชีวิต” และหลายตำแหน่งได้มาเพราะเส้นสาย ไม่ใช่ความสามารถ นักการเมืองไม่กล้าแตะ เพราะพึ่งพาฐานเสียงข้าราชการ…
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International – TI) ได้ประกาศผลดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ประจำปี 2567 ซึ่งประเทศไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก และอันดับที่ 5 ในอาเซียน คะแนนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่ยังสะท้อนว่าปัญหาทุจริตยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศ จากรายงานพบว่า คะแนนที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ภาครัฐมีความจริงจังมากขึ้นในการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาสินบนในการอนุมัติ/อนุญาต และพัฒนาระบบบริการภาครัฐให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดช่องโหว่ในการทุจริต อย่างไรก็ตาม ปัญหาสินบนในภาคธุรกิจยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ศูนย์ให้คำปรึกษาธุรกิจต้านสินบน: ตัวช่วยภาคเอกชนรับมือกฎหมายทุจริต ป.ป.ช. ได้จัดตั้ง ศูนย์ให้คำปรึกษาสำหรับนิติบุคคลเพื่อป้องกันการให้สินบน (ANTI – BRIBERY ADVISORY SERVICE: ABAS) ซึ่งทำหน้าที่ให้คำแนะนำด้านกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการป้องกันสินบน พร้อมกับกำหนด 8 หลักการสำคัญ ที่องค์กรธุรกิจควรนำไปปรับใช้เพื่อป้องกันการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เอกสาร ป.ป.ช. ระบุ 8 หลักการป้องกันการให้สินบนภาคธุรกิจ ประกอบด้วย ผู้นำองค์กรต้องชัดเจนเรื่องการต่อต้านสินบน ระดับผู้บริหารสูงสุด เช่น CEO หรือคณะกรรมการบริษัท ต้องประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านสินบน และปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส,ธุรกิจต้องประเมินความเสี่ยงเรื่องสินบน บริษัทต้องวิเคราะห์โอกาสและจุดเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การให้สินบน เพื่อออกแบบมาตรการควบคุมที่เหมาะสม,มีมาตรการควบคุมกรณีเสี่ยงสูง เช่น ของขวัญ การเลี้ยงรับรอง การบริจาค ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางในการติดสินบน,มาตรการต้องครอบคลุมคู่ค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต้องกำหนดเงื่อนไขให้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เช่น ตัวแทน หรือที่ปรึกษา ปฏิบัติตามมาตรการต่อต้านสินบน ,ระบบบัญชีต้องโปร่งใส ห้ามมีบันทึกทางการเงินนอกระบบ และต้องมีการตรวจสอบบัญชีอย่างอิสระ,นโยบายทรัพยากรบุคคลต้องสอดคล้องกับการต่อต้านสินบน ตั้งแต่ขั้นตอนการรับสมัคร จ่ายค่าตอบแทน ไปจนถึงการเลื่อนตำแหน่ง ต้องสะท้อนนโยบายต้านทุจริต,ต้องมีช่องทางให้พนักงานแจ้งเบาะแส ควรมีระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ปลอดภัย และมีการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และ องค์กรต้องทบทวนมาตรการต้านสินบนเป็นระยะ ต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงมาตรการตามสภาพแวดล้อมธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ภาคธุรกิจต้องร่วมมือ: “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย” ต่อการทุจริต ป.ป.ช. เน้นย้ำว่า การป้องกันสินบนไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ภาคธุรกิจต้องมีมาตรการควบคุมภายในที่ชัดเจน และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นการเรียกรับสินบนจากเจ้าหน้าที่รัฐ…