- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยแนวทางการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญเพื่อลดปัญหาการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น และป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ปัญหาการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยา จากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. พบว่ามีการใช้สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการในลักษณะที่อาจไม่สมเหตุสมผล รวมถึงกรณีที่มีการจ่ายยาหรือเวชภัณฑ์เกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดภาระทางการเงินต่อภาครัฐ และอาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มบุคคล 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยา ที่อาจมีพฤติกรรมส่งเสริมการขายเกินควร บุคลากรทางการแพทย์ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ่ายยาที่ไม่จำเป็น ผู้มีสิทธิ์เบิกจ่าย ที่อาจใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ มาตรการที่ ป.ป.ช. เสนอ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ป.ป.ช. ได้กำหนดข้อเสนอแนะเชิงระบบและเชิงการบริหารจัดการ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเชิงระบบ• ผลักดันนโยบายส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (Rational Drug Use – RDU)• กำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด ห้ามมีเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง• พัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลยาแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ข้อเสนอแนะเชิงการบริหารจัดการ• บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่มีพฤติกรรมทุจริต• ให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติตามหลักจริยธรรม• สร้างระบบติดตามและควบคุมการใช้สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ แนวทางการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช. ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม และลดช่องว่างของการใช้สิทธิ์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ป.ป.ช. ยืนยันว่าจะเดินหน้าผลักดันมาตรการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐ แต่ยังช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการทุจริตเบิกจ่ายยาครั้งมโหฬารทำอย่างเป็นระบบที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 600 คน
กรุงเทพฯ – สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่บนถนนพระราม 2 ผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊ก ระบุว่า แม้โครงการจะแล้วเสร็จ แต่ยังมี “โอกาสถล่มลงมาได้ในอนาคต” เนื่องจากปัจจัยด้านโลกร้อน น้ำทะเลหนุน และแผ่นดินทรุดตัว ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างถนนพระราม 2 แผ่นดินทรุดตัวต่อเนื่อง – พื้นที่ถนนพระราม 2 เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ดินบริเวณนี้เป็นดินเหนียวอ่อนนุ่ม ซึ่งทรุดตัวโดยธรรมชาติทุกปี ประมาณ 1-2 เซนติเมตร หรือในบางพื้นที่อาจทรุดได้ถึง 1-2 นิ้วต่อปี โดยเฉพาะในเขตบางนา บางกะปิ มีนบุรี และสมุทรสาคร โลกร้อนทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้น – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นปีละ 5.8 มิลลิเมตร และคาดว่าที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 0.39 ม. ในปี 2573, 0.73 ม. ในปี 2593 และ 1.68 ม. ในปี 2643 ซึ่งจะทำให้ดินอ่อนตัวและน้ำอาจท่วมขังใต้ดิน แรงกดจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ – หากถนนพระราม 2 ต้องรองรับโครงสร้างขนาดใหญ่และเกิดแรงกดทับจากทางยกระดับและทางด่วนในอนาคต อาจทำให้เกิดการทรุดตัวของดินเร็วขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่โครงสร้างจะพังถล่มลงมา โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่บนถนนพระราม 2 ปัจจุบันมี 3 โครงการหลักที่กำลังก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ได้แก่ โครงการทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 (สายธนบุรี-ปากท่อ) ตอนบางขุนเทียน-เอกชัย โดยกรมทางหลวง โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว) ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว โดยกรมทางหลวง โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกฯ โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) คาดว่าจะเปิดทดลองใช้ในปี 2568 นักวิชาการแนะต้องประเมินความเสี่ยงรอบด้าน สนธิ คชวัฒน์ เตือนว่า “ต้องมีการประเมินผลกระทบทางวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมให้รอบคอบก่อนการก่อสร้าง” และต้องนำปัจจัยด้านโลกร้อน ภัยพิบัติ และสภาพดินอ่อนในพื้นที่มาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อป้องกันปัญหาถนนทรุดตัวและความเสี่ยงต่อโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมที่เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งนี้…
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามนี้หลังไม่เข้าใจการตัดสินใจของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยบอกแปลกใจที่อนุญาตให้พรรคฝ่ายค้าน ใช้คำว่า สทร. ในญัตติแทนชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในการอภิปรายจะใช้คำย่อหรือคำเต็มคือเสือกทุกเรื่อง และหากผู้อภิปรายพูดคำเต็มว่า นางสาวแพทองธาร ถูกครอบงำและบงการโดยนายเสือกทุกเรื่อง จะมีการประท้วงว่าผิดข้อบังคับการประชุม ในการใช้คำเสียดสีอีกหรือไม่ เมื่อประธานสภาฯ อนุญาตให้ใช้คำว่า สทร. หรือเสือกทุกเรื่องได้ ก็ต้องรับประกันว่าจะไม่มี สส.ฝ่ายรัฐบาลหรือองครักษ์ประท้วงเมื่อมีผู้อภิปรายใช้คำนี้เด็ดขาด ทั้งนี้เมื่อประเด็นเรื่องการใส่ชื่อนายทักษิณลงไปในญัตติเคลียร์กันได้แล้ว ยังคงเหลือเรื่องจำนวนวันเวลาการอภิปรายฯ ที่ฝ่ายค้านยืนยันที่ 30 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาลจะให้ 20 ชั่วโมง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติได้ง่ายๆ หากจะให้วิป 3 ฝ่ายตกลงกันเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก จึงขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะประธานสภาฯ ไกล่เกลี่ยและตัดสินใจกำหนดวันอภิปรายที่เหมาะสม ถ้าหากไม่ทำหน้าที่นี้ ปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่ายถกเถียงกันไม่ได้ข้อยุติ ก็ไม่รู้ว่า “มีประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้ทำไม”
กรณี ตั๋วสัญญาใช้เงิน 4,400 ล้านบาท ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ใช้ซื้อหุ้นจากสมาชิกครอบครัว ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย มีคำถามสำคัญเกิดขึ้นว่า นี่เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินปกติ หรือเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษี? “จากซุกหุ้น สู่ตั๋วเงิน 4,400 ล้าน” วงจรเดิมกลับมาอีกครั้ง? ย้อนกลับไปในอดีต “ซุกหุ้น” เคยเป็นประเด็นร้อนที่ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องเผชิญเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยถูกกล่าวหาว่า ใช้บริษัทนอมินีถือหุ้นแทน เพื่อเลี่ยงการเปิดเผยทรัพย์สิน และหลีกเลี่ยงภาษี มาวันนี้ ลูกสาวของเขา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กำลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจใช้วิธีการคล้ายกัน โดยออก “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” มูลค่า 4,400 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นจากครอบครัว ข้อมูลจาก “สำนักข่าวอิศรา” ระบุว่า น.ส.แพทองธาร ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว ใช้ “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” เป็นหลักประกันการชำระเงินแทนการจ่ายเงินสด ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า แหล่งที่มาของเงิน มาจากไหน หากเป็นการ “ให้หุ้นโดยไม่เสียภาษี” อาจเข้าข่ายการทำนิติกรรมอำพราง ทำไมเรื่องนี้สำคัญ? หากเป็น “การซื้อขายจริง” ต้องมีการชำระเงินที่โปร่งใส และชี้แจงที่มาของเงินอย่างชัดเจน หากเป็น “นิติกรรมอำพราง” อาจเข้าข่ายการหลีกเลี่ยงภาษี คล้ายกับกรณี “ทักษิณ” ในอดีต ตั๋วเงิน 4,400 ล้าน = ซื้อหุ้นจริง หรือแค่เอกสารเพื่อเลี่ยงภาษี? นักกฎหมายบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินอาจเป็นเพียง “เอกสารทางบัญชี” ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นธุรกรรมการซื้อขาย แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นการโอนหุ้นให้กันในครอบครัว โดยไม่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายภาษีการให้ทรัพย์สิน หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่คือ “การหลีกเลี่ยงภาษี” หรือ “การบริหารทรัพย์สินอย่างชาญฉลาด” ? บทเรียนจากอดีต: นิติกรรมอำพรางทำให้ทักษิณเสียอะไรไปบ้าง? ปี 2544-2549: ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ใช้บริษัทนอมินีถือหุ้นแทน ปี 2549: คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบพบว่า ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก โดยใช้ “บริษัทนอมินี” ปี 2551: ศาลฎีกาพิพากษา ยึดทรัพย์ 46,000…
เสียงกดดันจากนานาชาติถาโถมเข้าใส่รัฐบาลไทยอีกครั้ง เมื่อ สภายุโรปลงมติประณามไทยเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน และ สหรัฐฯ ประกาศมาตรการจำกัดวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ไทย ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว นี่เป็นเกมการเมืองระหว่างประเทศที่ไทยถูกบีบ หรือไทยเดินพลาดเองจนเปิดช่องให้โดนกดดัน? สภายุโรปลงมติ 482 เสียง ประณามไทย: เครื่องมือกดดันทางการเมือง? เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 สภายุโรปลงมติ 482 ต่อ 57 เสียง “ประณาม” ไทย กรณีส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีน โดยอ้างว่า “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” แต่มติดังกล่าวมีผลจริงแค่ไหน? รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ เปิดเผยกับ The Publisher ว่า “มติดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้โดยตรง แต่เป็นเครื่องมือกดดันทางการเมือง” “สภายุโรปมีสมาชิกกว่า 720 คน จาก 27 ประเทศ แต่ไม่มีอำนาจโดยตรงในการบังคับให้แต่ละประเทศดำเนินการ เว้นแต่จะออกกฎหมายร่วมกัน การลงมติลักษณะนี้เป็นการใช้ ‘เกมกดดัน’ เพื่อให้ไทยเปลี่ยนนโยบาย โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไทยกำลังถูกใช้เป็น ‘หมากตัวหนึ่ง’ บนกระดานเกมของยุโรป ทำไมไทยถึงถูกโจมตี? แค่เรื่องอุยกูร์จริงหรือ? มติของสภายุโรปครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องอุยกูร์ แต่ยังพ่วงประเด็น มาตรา 112 ของไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คำถามคือ ยุโรปเข้าใจบริบทไทยจริงหรือ? หรือกำลังใช้หลักประชาธิปไตยแบบตะวันตก กดดันประเทศที่มีโครงสร้างการปกครองต่างกัน? รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ว่า “เสียงข้างมากในยุโรปมีแนวคิดเสรีนิยม ซึ่งมองประชาธิปไตยในกรอบตะวันตกเป็นหลัก และมักใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือกดดัน ในหลายกรณี สภายุโรปขาดความเข้าใจบริบทไทย เช่น กรณีอุยกูร์ ฝั่งยุโรปเองก็ไม่ได้รับผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ทั้งหมด แต่กลับกดดันไทยให้แบกรับปัญหา ขณะที่เรื่องมาตรา 112 พวกเขามองจากกรอบเสรีนิยม โดยไม่เข้าใจบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ไทยควรยอมจำนน หรือสู้กลับในเกมการทูต? รศ.ดร.ปณิธาน เตือนว่า ไทยต้องตอบโต้ แต่ไม่ใช่แบบดันทุรัง ต้องเล่นเกมให้เป็น “เราต้องฟังเสียงสภายุโรป แต่ไม่ใช่การยอมจำนน ต้องสื่อสารให้รอบด้านขึ้น เพื่อให้ยุโรปเข้าใจไทยมากขึ้น” โดยเสนอ 2 วิธีหลักในการต่อสู้ คือ เจาะกลุ่มสภายุโรปโดยตรง…
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์บทความ “ทักษิณจะถูกจับ ฐานเป็นอาชญากรต่อมนุษยชาติหรือไม่?” มีเนื้อหาเทียบเคียงพฤติกรรมของประธานาธิบดีโรคริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ในการทำสงครามกับยาเสพติดที่จบลงด้วยการสังเวยชีวิตคนในชาติจำนวนมาก อาจารย์เจิมศักดิ์ เริ่มต้นบทความด้วยการตั้งคำถามว่า หลังจาก โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกจับกุมตามหมายจับของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ฐานก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” จากนโยบาย “สงครามยาเสพติด” ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนหลายพันคน คำถามที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ “แล้วนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย จะถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันหรือไม่?” ดูเตอร์เตถูกจับ คดีสงครามยาเสพติด แล้วทักษิณล่ะ? เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 CNN รายงานว่า ดูเตอร์เต ถูกคุมตัวที่สนามบินมะนิลา หลังเดินทางกลับจากฮ่องกง เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้รับหมายจับจาก ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ข้อหา “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” อันเกิดจากแคมเปญ “สงครามยาเสพติด” ที่ดำเนินการในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2559-2562 สถิติความรุนแรงในยุคดูเตอร์เต ตำรวจฟิลิปปินส์ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการนี้ กว่า 6,000 ราย องค์กรสิทธิมนุษยชนเชื่อว่าจริง ๆ แล้วอาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่านั้นหลายเท่า มีหลักฐานว่าตำรวจและกองกำลังติดอาวุธได้รับ “ไฟเขียว” ให้สังหารผู้ต้องสงสัยได้ ในขณะที่คดีของดูเตอร์เตกำลังเดินหน้าใน ICC คำถามสำคัญที่หลายคนเริ่มตั้งคือ “นโยบายสงครามยาเสพติดของไทยในยุครัฐบาลทักษิณล่ะ?” นโยบาย “สงครามยาเสพติด” ในยุคทักษิณ: ฆ่าตัดตอนเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไม่? ในปี 2546 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศ “สงครามยาเสพติด” อย่างแข็งกร้าว โดยกำหนดเป้าหมายว่าต้องกำจัดผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้หมดไป “ถ้าไม่ไปวัด ก็ให้ไปคุก” ผลของมาตรการนี้ มี “บัญชีดำ” รายชื่อผู้ต้องสงสัยกว่า 46,000 คน มีผู้เสียชีวิตในช่วงแรกของปฏิบัติการ มากกว่า 3,000 ราย หลายกรณีถูกมองว่าเป็น การฆ่าตัดตอน ที่เจ้าหน้าที่ใช้เป็นข้ออ้างกำจัดผู้ต้องสงสัย มีรายงานว่า มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกสังหาร โดยไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นธรรม แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับนายทักษิณในระดับสากล แต่แนวทางและผลกระทบของสงครามยาเสพติดในไทย…
ฉากอันน่าระทึกกับศึกซักฟอกที่อาจเกิดขึ้นเร็วสุดได้ในวันที่ 24 มีนาคม 2568 แม้ยังไม่รู้จะจบกันที่กี่ชั่วโมง ฝ่ายค้านจะได้ 30 ชม.ตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือจะได้เต็มที่แค่ 23 ต่อ 7 ตามที่รัฐบาลต่อรองและยืนกรานเสียงแข็งจากปาก” วิสุทธิ์ ไชยณรุณ “ประธานวิปรัฐบาลว่า” ได้สุด ๆ แค่นี้ถอยสุดกระดานแล้ว “ผลเป็นอย่างไร ยังต้องรอลุ้น 19 มีนาคม 2568 ขณะที่การเมืองไทยกลายเป็นเกมภาษาสุดสร้างสรรค์ เมื่อ ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกตัดออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะถือเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่สามารถถูกอภิปรายในสภาได้ แต่ฝ่ายค้านไม่ยอมแพ้ เมื่อพูดชื่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็น “สทร.” เอาซะเลย! ประธานสภาอนุญาตให้ใช้คำนี้ได้ แต่ให้ประชาชนไปตีความกันเอง (นี่มันเกมใบ้คำหรือสภาแห่งชาติ?) เกมภาษากับเกมอำนาจ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นทางเทคนิค แต่มันสะท้อนถึงความพยายามควบคุมวาทกรรม และจำกัดพื้นที่การอภิปราย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือของฝ่ายที่กุมอำนาจ การอ้างห้ามพาดพิงบุคคลภายนอก เป็นปราการปกป้อง “ทักษิณ” ที่คนทั้งชาติรู้ดีว่า “เขาไม่เพียงไม่ใช่บุคคลภายนอก” แต่เป็น “มากกว่าคนในเพราะได้ชื่อว่าชี้นิ้วสั่งได้ทั้งรัฐบาล” ประกาศตัวชัดเป็น “สทร.” เสือกทุกเรื่อง และเจ้าตัวก็ทำตามนั้นจริง ๆ ซะด้วย องครักษ์พิทักษ์ “พ่อลูก” แต่ประชาชนล่ะ? ในขณะที่ พรรคเพื่อไทยตั้งองครักษ์เพื่อปกป้อง “แพทองธาร-สทร.” ฝ่ายค้านเองก็เตรียมรุกไล่เต็มที่ คำถามคือ ใครกันแน่ที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน? ฝ่ายรัฐบาลดูเหมือนจะทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ และอดีตนายกฯ มากกว่าปกป้องประชาชน ส่วนฝ่ายค้านยังต้องพิสูจน์ตัวเองว่า จะทำได้ดีแค่ไหนกับเดิมพันที่มีศรัทธาประชาชนวางอยู่ตรงหน้า บิ๊กป้อม: จาก “ไม่รู้” สู่ “รู้ว่าไม่ควรไว้วางใจแพทองธาร” อีกหนึ่งความน่าสนใจของการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้คือการพลิกบทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป้อม” ที่เปลี่ยนจากคนที่เคยตอบคำถามนักข่าวว่า “ไม่รู้ ไม่รู้” มาตลอด แต่คราวนี้กลับรู้ทันทีว่าแพทองธารไม่ควรได้รับความไว้วางใจ เกิดอะไรขึ้น? ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ถูกถามเรื่องทุจริตหรือการบริหารราชการ “บิ๊กป้อม” มักจะตอบว่า “ไม่รู้ ๆ ๆ” แต่พอถึงคราวอภิปราย จู่ ๆ ก็รู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ว่าแพทองธารไม่ควรได้เป็นนายกฯ ถึงขั้นประกาศจะ…
เราอาจมีสมุดพกตัดสิทธิ์ผู้รับเหมา แต่เรามีสมุดพกตัดสิทธิ์ รมว.คมนาคมบ้างไหม? พระราม 2 ไม่ได้เป็นแค่ถนน แต่กลายเป็นสนามรบชีวิตของประชาชน ที่ต้องฝ่าดงก่อสร้างหลบแท่นปูน โครงเหล็ก และเครนล้มกันทุกวัน ผ่านกันทีไรต้องเปิดบทสวดมนต์ย้อมใจ ด้วยความหวังเพียงแค่ว่า “ขอให้วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายของฉัน” ย้อนรอยอุบัติเหตุ: พระราม 2 หรือหลุมดำของความสูญเสีย? ถนนเส้นนี้ถูกสาปหรือความล้มเหลวของการบริหารกันแน่? ในปีที่ผ่านมา อุบัติเหตุจากโครงการก่อสร้างมีให้เห็นแทบทุกเดือน ตั้งแต่แผ่นปูนร่วงทับรถ เครนล้มกลางถนน ไปจนถึงคานสะพานถล่มใส่คนงาน! ล่าสุด 15 มีนาคม 2568 โครงสร้างทางยกระดับดาวคะนองพังถล่ม พรากชีวิต 6 ศพ บาดเจ็บอีกมากกว่า 20 ราย และแน่นอน คนที่เสียชีวิตไม่ใช่ผู้บริหารโครงการ แล้วเราได้อะไรกลับมาบ้างจากเหตุสลดนี้? คำขอโทษ? แถลงข่าวว่าจะลงโทษผู้รับเหมา? คำสัญญาว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก? อุบัติเหตุใหม่อีกไม่นานหลังจากนั้น? มาตรการใหม่ของรัฐ: “สมุดพกผู้รับเหมา” … เอ๊ะ แล้วใครตรวจสมุดพกรัฐมนตรี? สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาแถลงหลังโศกนาฏกรรมว่า “ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป จะใช้มาตรการสมุดพกผู้รับเหมา ใครผิดพลาดมาก ๆ จะถูกตัดสิทธิ์รับงาน” ฟังดูดีใช่ไหม? แต่ถ้าเราจะทำ “สมุดพก” ให้กับผู้รับเหมาได้ ทำไมเราไม่มีสมุดพกตัดสิทธิ์รัฐมนตรีที่บริหารล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ลองจินตนาการดูว่า ถ้า รมว.คมนาคม ต้องส่งสมุดพกให้ประชาชนตรวจสอบแบบที่ผู้รับเหมาถูกตรวจ คุณคิดว่าเขาจะได้เกรดอะไร? ความปลอดภัยถนน: F (อุบัติเหตุร้ายแรงเกิดซ้ำทุกปี) กำกับดูแลงานก่อสร้าง: F (โครงสร้างพังจนมีคนตายหาคนรับผิดชอบยากเย็น) แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน: F (สร้างทีไร ประชาชนต้องเสี่ยงชีวิต) ความรับผิดชอบต่อประชาชน: F (คำสัญญามีเยอะแต่การกระทำไม่เปลี่ยน) ถ้าเป็นเด็กนักเรียนที่ได้ F ทุกวิชา คงถูกไล่ออกไปนานแล้ว แต่ในแวดวงการเมือง คนได้ F ซ้ำ ๆ กลับได้อยู่ต่อ? คำสัญญาที่ฟังจนเบื่อ: หรือเราต้องรอให้พังอีกกี่ครั้ง? สุริยะย้ำว่า “ทุกโครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 จะแล้วเสร็จทั้งหมดก่อนสิ้นปี 2568” ประโยคนี้คล้ายกับคำพูดของรัฐมนตรีหลายคนก่อนหน้า ราวกับใช้สคริปต์เดิมเปลี่ยนแค่ชื่อ “จะแล้วเสร็จเร็ว…
ในแวดวงการถ่ายภาพชื่อของ “ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะช่างภาพฝีมือระดับโลก ผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายแนว Pictorial Art ที่งดงามและทรงคุณค่า หลายครั้งของการถ่ายภาพยังมีบุคคลสำคัญที่คอยสนับสนุนและร่วมเดินทาง นั่นก็คือ “คุณอนันต์ จิรมหาสุวรรณ” สหายร่วมทริปผู้รู้ใจ คุณอนันต์ จิรมหาสุวรรณ นักธุรกิจและช่างภาพที่หลงใหลในศิลปะการถ่ายภาพเช่นเดียวกับคุณชัยโรจน์ ทั้งสองสนิทสนมกันมายาวนาน และสิ่งที่ทำให้คุณอนันต์เป็นสหายร่วมทริปที่รู้ใจคุณชัยโรจน์ คือความต้องการ และความเข้าใจในสไตล์การถ่ายภาพ จึงช่วยจัดเตรียมอุปกรณ์ วางแผนเดินทาง และพร้อมลุยไปด้วยกันในทุกสถานการณ์ เรียกเพื่อนร่วมทริปถ่ายภาพ และผู้ร่วมผจญภัย นอกจากการเป็นสหายร่วมทริปแล้ว คุณอนันต์ยังคอยบันทึกภาพเบื้องหลังการทำงานของคุณชัยโรจน์ในแต่ละทริป ภาพถ่ายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และความมุ่งมั่นของคุณชัยโรจน์ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ อย่างการบุกป่าฝ่าดงลุยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อถ่ายภาพเห็ดป่าเป็นเวลาถึง 4 ปี แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความหลงใหลในธรรมชาติอย่างแท้จริงของทั้งคู่ เพราะการถ่ายภาพเห็ดป่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความอดทน ความช่างสังเกต และความรู้เกี่ยวกับเห็ดป่าเป็นอย่างดี แสดงถึงมิตรภาพและความชื่นชอบในสิ่งที่เหมือนกันได้อย่างดี เพราะการเดินทางเข้าไปถ่ายภาพเห็ดในป่าเขาใหญ่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภูมิประเทศที่ยากลำบาก และอันตรายจากสัตว์ป่า เช่นครั้งหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับโขลงช้างป่าที่กำลังลงมากินดินโป่ง หรือเหตุการณ์งูเหลือมขนาดใหญ่กำลังกลืนกินกวางป่า นั่นทำให้การมีเพื่อนร่วมเดินทางที่รู้ใจช่วยให้การสำรวจและถ่ายภาพเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ภาพที่ต้องการ โดยเฉพาะการถ่ายภาพเห็ดป่าที่เขาใหญ่ ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์มีขนาดเล็กแทบจะมองไม่เห็น และแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะ มีช่วงการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน การตามหาและถ่ายภาพเห็ดป่าแต่ละชนิดจึงต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ และหากเป็นช่วงฤดูฝน การถ่ายภาพต้องวางแผน เพื่อให้ได้ภาพเห็ดป่าที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุด นั่นทำให้ผลงานภาพถ่ายเห็ดป่าของคุณชัยโรจน์ เป็นที่ยอมรับในวงการถ่ายภาพธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงความงดงามและความหลากหลายของเห็ดป่าในเขาใหญ่ อีกทั้งยังมีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเห็ดป่าในประเทศไทย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นหันมาสนใจและอนุรักษ์ธรรมชาติ “เราบุกป่าฝ่าดง มุ่งมั่นไปข้างหน้าเพื่อตามล่าให้ได้ภาพตามที่เราต้องการ” คุณอนันต์กล่าวถึงความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางกั้นการถ่ายภาพ แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้เขาและคุณชัยโรจน์ย่อท้อเลย ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นตัวอย่างของมิตรภาพและความร่วมมือ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายที่ทรงคุณค่าและเป็นที่จดจำในวงการถ่ายภาพของประเทศไทย ซึ่งพวกเขาก็พร้อมจะถ่ายทอดความรู้ และแรงบันดาลใจให้กับคุณรุ่นใหม่ที่จะมารับช่วงต่อไป
เป็นเหตุการณ์คานสะพานโครงสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทรุดตัวบริเวณหน้าด่านฯ ดาวคะนอง บนถนนพระราม 2 กรุงเทพมหนานคร เมื่อวันที่ 15 มีนาคม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ขณะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยและเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเรียกประชุมรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่รับผิดชอบด่วนที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคมนี้ ซึ่งนอกจากติดตามสาเหตุของการทรุดตัวของคานสะพาน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและป้องกันเหตุซ้ำรอย ยังจะหารือมาตรการความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เชนนี้ และตรวจสอบโครงการก่อสร้างอื่อนๆ รวมถึงมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกบนถนนพระราม 2 เมื่อโครงสร้างถนนยกระดับ และโครงสร้างสะพานขนาดใหญ่บนถนนนี้ถล่มหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และทุกครั้งเป็นเหมือนเป็น แพทเทิร์น คือเป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ทุกรัฐบาลใช้กัน และดูเหมือนได้ผล คือเมื่อข่าวนี้จางหายไปจากหน้าข่าว มาตรการที่ดูเข้มแข็งเข้มข้นก็ลดลงเหมือนเดิม กระทั่งเกิดเหตุใหม่ก็มาทำ แพทเทิร์นนี้อีกครั้ง ครั้งนี้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ยังไม่แอ๊กชันกระทั่งวันพรุ่งนี้ และคาดกันว่าการประชุมจะใช้เวลาไม่นาน และเนื้อหาน่าจะไม่แตกต่างจากที่ผ่านๆ มา แสดงความเสียใจ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาสาเหตุ และแก้ไขปัญหา เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตรวจสอบหาสาเหตุ และถอดบทเรียนไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ หักเรตติง หรือขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมา รับช่วง ส่วนเรื่องการเอาผิด ดำเนินคดีผู้รับเหมารับช่วงก็ดำเนินการไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าสาเหตุมีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเกี่ยวข้องหรือไม่ สุดท้ายเหตุการณ์จะค่อย ๆ เงียบหายไป ไม่มีผู้รับผิดชอบ ผู้รับเหมาและผู้รับช่วงงานที่กระทำผิดก็ยังคงเป็นปริศนา การควานหาสาเหตุของอุบัติเหตุก็ไม่หยุดเสียดื้อๆ ไม่ต้องพูดถึงมาตรการป้องกันในอนาคต ก็คลุมเครือ และเมื่อมีข่าวอื่นๆ มากลบกระแสเรื่องนี้ก็จะหายไป ทิ้งไว้แต่ความโศกเศร้าเสียใจของญาติและครอบครัวผู้เสียชีวิต รอจนวันหนึ่งที่เกิดเหตุอีกถึงจะมาถอดบทเรียนกันอีก นี่คือสังคมไทยที่ต้องทนๆ กันไป และลุ้นว่าเมื่อไหร่ ใครจะเจอแจ็กพอต คำถามชีวิตคนไทย เมื่อไหร่จะมีหลักประกันเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หรือคำตอบอยู่ในสายลมอีกเช่นเคย #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#พระราม2#รัฐบาลแพทองธาร#คอร์รัปชัน
