Author: Writer Publisher

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ยังคงดิ่งต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกกองทุน Thai ESG Extra มารองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF พร้อมให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนเดิม และ 300,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้กลับช่วยให้ตลาดหุ้นบวกขึ้นเพียงแค่วันเดียว ก่อนร่วงลงต่อ สะท้อนว่านโยบายดังกล่าวแม้จะช่วยชะลอเลือดไหลได้ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดทุนไทยได้ “ตลาดหุ้นไม่ได้แย่เพราะปัจจัยระยะสั้น แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง” ดร.นณริฏ อธิบายว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า กำแพงภาษี และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมานาน “ธุรกิจไทยยังติดอยู่กับอุตสาหกรรมเก่า ยานยนต์สันดาป ปิโตรเคมี ขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ EV และพลังงานสะอาด แต่เราไม่ได้พัฒนาไปกับเขา” นอกจากนี้ยังมีปัญหา “เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญกับราคาหุ้นมากกว่าการสร้างรายได้” ซึ่งนำไปสู่การปั่นหุ้นในระยะสั้นแทนการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน “ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยชัดเจนว่าอยู่ใน ‘ตลาดหมี’ (Bear Market)” ดร.นณริฏ ชี้ว่า ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมากกว่า 30% จากจุดสูงสุดที่เกือบ 1,700 จุด ลงมาอยู่ที่ 1,100 จุด ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดทุนไทยอยู่ในภาวะ “ตลาดหมี” ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ยาก หากไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจครั้งใหญ่ “ตลาดทุนไทยเปิดกว้างขึ้น คนไทยเอาเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ถ้าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ เม็ดเงินลงทุนก็จะไหลออกไปเรื่อย ๆ” ทักษิณ กล่อมตลาดหุ้นไม่ได้?คำพูดของคุณทักษิณ อาจไม่เป็นผล ในช่วงหลังจะเห็นแล้วว่า วิชันกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างกันมาก บอกจะทำโน่น ทำนี่ ทำนั่นเต็มไปหมด สุดท้ายทำเป็นแค่แจกเงิน ในตลาดหุ้นคำพูดไม่มีผล สิ่งที่มีผลคือผลกำไร ผลตอบแทนของตลาดหุ้นจะบอกว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้ายกระดับไม่ได้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางปัจจุบันได้ เศรษฐกิจไทยเสี่ยงล่มสลายหนี้พุ่ง-ขาดดุลหนัก รัฐบาลแจกเพลิน เมินสร้างรายได้ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร.นณริฏ เตือนคือ “รัฐบาลเหมือนกดบัตรเครดิตล่วงหน้า จ่ายแค่ขั้นต่ำ” เพราะมีการกู้เงินจำนวนมากเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างรายได้ที่ยั่งยืน “การแจกเงินไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจ แต่เป็นการใช้เงินอนาคต…

Read More

ดร. ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์กับ The Publisher ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ที่ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร เปิดเผยถึงการยื่นคำร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาผิดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ไม่โปร่งใสและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เขาระบุว่าการเลือก ส.ว. ครั้งล่าสุดขัดต่อมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ และควรถือเป็น “โมฆะตั้งแต่ต้น” เนื่องจากมีการ ใช้เงิน, ฮั้วเลือกสว. และ กกต.ละเลยตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร “ผมจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ กกต. และ ส.ว. ชุดนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างศาลลฯ พิจารณาคำร้อง” แฉคลิปเสียง “อนุทิน” เอี่ยวซื้อเสียง ส.ว.! ดร.ณฐพร เปิดเผยหลักฐานสำคัญเป็น “คลิปเสียงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่พูดคุยกับผู้สมัคร ส.ว. รายหนึ่งเกี่ยวกับ การต่อรองผลประโยชน์ในการเลือกตั้ง ส.ว. “จะให้ 50,000 บาท แต่หากจะเข้ามาเป็นสมาชิก ต้องบริจาคพรรค 200,000 บาท” เขาระบุว่า บุคคลที่อัดคลิปสามารถยืนยันตัวตนได้ชัดเจน และคลิปนี้ได้ถูกส่งไปยังกกต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเชื่อมโยงว่า ส.ว. หลายคนมีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย เช่น นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และได้รับการสนับสนุนจาก เชาวรัตน์ ชาญวีรกูล (บิดาของอนุทิน) ให้เป็นอธิบดีกรมการปกครอง ก่อนขยับขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย “นี่เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยมีบทบาทสำคัญในการครอบงำ ส.ว. และผมมั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้อง เพราะทุกอย่างมีกฎหมายรองรับ ศาลเดียวที่จะบอกได้ว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลฯ ไม่ทำ ผมถามว่าหน่วยงานไหนจะทำ ประชาชนทั้งประเทศก็ยืนยันแล้วว่า การเลือกสว.ครั้งนี้ไม่ชอบ และ DSI ก็อยู่ระหว่างสอบสวนคดีฟอกเงิน แล้วผมถามว่า ศาลฯ จะอยู่ได้ไหมครับ ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นว่า ยังไงศาลรัฐธรรมนูญก็รับและการเลือกสว.ขัดรธน.มาตรา 5 แน่นอน”…

Read More

ฝ่ายค้านเดินหน้าซักฟอกรัฐบาล แม้ถูกบีบให้ ถอดชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ยังมุ่งเป้าไปที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีมวยล้ม” และมีข้อมูลทุจริตที่อาจทำให้ นายกฯ ต้องพ้นจากตำแหน่ง! พร้อมเชิญชวนประชาชนรอดูศึกซักฟอกครั้งนี้ “ข้อมูลเด็ดมีแน่นอน รอฟังได้เลย” เป็นคำยืนยันของ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ให้สัมภาษณ์กับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร“ โดยย้ำว่าฝ่ายค้านไม่มีทางล้มญัตติของตัวเอง และ เตรียมข้อมูลสำคัญที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน “เราก็พร้อมถอย เพื่อให้การอภิปรายเกิดขึ้น แต่เราจะเดินหน้าเรียกร้องให้ตรวจสอบว่าการใช้อำนาจของประธานสภาฯ เป็นไปโดยชอบหรือไม่” ศิริกัญญากล่าว พร้อมระบุว่า พรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เนื่องจากเห็นว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบ เมื่อการเมืองกลายเป็นเกมภาษาประชาชน หลังจากที่ชื่อของ “ทักษิณ” ถูกถอดออกจากญัตติ กลายเป็นกระแสบนโซเชียลว่าควรใช้คำว่าอะไรแทน บ้างเสนอ “ชายคนนั้น” “พี่คนนั้น” “ลุงคนนั้น” หรือแม้แต่ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ศิริกัญญากล่าวว่า เป็นเรื่องน่าสนใจที่ประชาชนร่วมกันเล่นเกมคำแทนชื่อของทักษิณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเด็นนี้เป็นที่จับตาของสังคม ท้าพิสูจน์ ไม่มีดีล-ไม่มีมวยล้ม เมื่อถูกถามถึงข้อครหาว่าฝ่ายค้านอาจ “ล้มญัตติอภิปรายเอง เพราะไม่มีข้อมูลเด็ด” ศิริกัญญาปฏิเสธทันที พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายค้านรอคอยโอกาสนี้มานานกว่าหนึ่งปี และมีข้อมูลสำคัญที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน “เราไม่ได้พูดถึง ‘ทักษิณ’ ขนาดนั้น แต่เน้นไปที่ นายกรัฐมนตรีที่ปล่อยให้ทักษิณบงการ ทำให้เราสงสัยว่าทำไมรัฐบาลถึงกลัวการอภิปรายครั้งนี้นัก” เมื่อถูกถามว่าการอภิปรายครั้งนี้อาจเป็นแค่ “มวยล้มต้มคนดู” หรือไม่ ศิริกัญญา ยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีทาง! “ดิฉันทำงานหนักมาตลอด สามเดือนที่ผ่านมา ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ถ้ามีมวยล้ม ดิฉันจะเป็นคนแรกที่ออกมาโวยวายพรรคตัวเอง!” รอฟังได้เลย ซักฟอกเดือด ปลายมีนา หรือ ต้นเม.ย.นี้ เมื่อถูกถามว่าการอภิปรายครั้งนี้ จะมีข้อมูลที่ “ปิดเกม” ได้เลยหรือไม่ ศิริกัญญาเปิดเผยว่า ข้อมูลที่มีอาจทำให้ถึงขั้นนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เพียงแต่ กระบวนการโหวตในสภา อาจไม่ได้สะท้อนความจริงทางการเมือง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอาจยังเจรจาผลประโยชน์กันอยู่ “ถึงแม้โหวตในสภาอาจไม่ทำให้นายกฯ หลุดจากตำแหน่งทันที แต่เราจะยื่นเรื่องให้…

Read More

วันที่ 13 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลจะนำคณะข้าราชการและสื่อมวลชนไปติดตามกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับเขตปกครองตนเอง ซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า ตนคิดว่าการลงพื้นที่ไปซินเจียงเพื่อไปดูสภาพความเป็นอยู่ต่าง ๆ สาระสำคัญคือสื่อมวลชนที่ไปจะมีอิสระในการทำข่าวมากพอแค่ไหน หากสื่อมวลชนมีอิสระในการทำข่าวโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปกับคณะตลอดเวลา คิดว่าแบบนี้ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่หากต้องไปตามจุดที่วางเอาไว้แตกแถวไม่ได้ ต้องเกาะไหล่กันไป มันก็อาจจะไม่ได้เห็นภาพที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น ตนมองว่าเรื่องนี้ถ้าอยากให้เกิดความคลี่คลาย รัฐบาลไทยต้องคุยกับจีนว่าการมีความร่วมมือในแบบนี้ สังคมไทยฝ่ายการเมืองในไทยในสภาไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นห่วงเพราะสุดท้ายเรากำลังทำผิดกฎหมายในประเทศหรือไม่ เรากำลังทำกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า หากอยากจะมีความร่วมมือก็ต้องสร้างความมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้นในการให้อิสระในการทำข่าว และไม่ได้อยู่แค่ชาวอุยกูร์ที่ไปล่าสุด 40 คน มีความเป็นอยู่อย่างไร ต้องไปดูต่อว่าก่อนหน้านี้ 100 คนที่ถูกส่งไปเมื่อยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะมีรายงานและข้อมูลจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าสถานการณ์ในซินเจียงน่าวิกฤติมากซึ่งต้องดูว่าข้อมูลแหล่งที่มาโดยส่วนมากที่มาจากต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ถ้ามีความน่าเชื่อถือมากทั้งหมดนี้ ตนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่า เราอาจจะได้ทำผิดอีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องการส่งชาวอุยกูร์ไปตาย อาจจะไปเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือกฎหมายระหว่างประเทศ “ต้องไม่ลืมว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันการซ้อมทรมานและการอุ้มหาย เป็นกฎหมายที่เอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ ถ้าเกิดเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อาจจะมีความผิดไปด้วย เพียงเพราะทำตามคำสั่งคนพวกนี้ที่มีอำนาจ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องรอบด้านเลย ต้องอย่าลืมว่าเรื่องนี้ไม่โปร่งใสอย่างแน่นอน เพราะถ้ามีความโปร่งใสจริง จะไม่มีการส่งชาวอุยกูร์ไปช่วงเวลากลางดึก และจะต้องไม่มีการติดสติ๊กเกอร์ และจะต้องแถลงข่าวชี้แจงกับประชาชนไปแล้ว เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นประชาชนคนไทยทั่วประเทศก็ต้องมาแบกรับ” นายรังสิมันต์ กล่าว

Read More

13 มีนาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกบทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยเตือนว่าหากการอภิปรายต้องล้มไปเพียงเพราะการระบุชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตนักโทษในญัตติ จะส่งผลเสียต่อทุกฝ่ายและกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบตรวจสอบรัฐบาลในสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: กลไกตรวจสอบรัฐบาลที่สำคัญ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่สามารถกระทำได้เพียงปีละครั้ง เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะล้มเหลว เนื่องจากข้อโต้แย้งของฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ที่มองว่าการระบุชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ขัดต่อข้อบังคับการประชุม และไม่เป็นธรรมต่อนายทักษิณที่ไม่สามารถชี้แจงได้ รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ชี้ว่า หากเกิดเหตุการณ์นี้จริงจะทำให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบ ดังนี้ ฝ่ายรัฐบาล อาจถูกมองว่ามีเจตนาปกป้อง นายทักษิณ ชินวัตร และไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ประธานสภาผู้แทนราษฎร อาจถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทเอื้อประโยชน์ให้พรรคเพื่อไทย และเลือกปฏิบัติในการพิจารณาญัตติ ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน อาจถูกตั้งคำถามว่ามีข้อตกลงลับกับฝ่ายรัฐบาล หรือจงใจใช้ชื่อ นายทักษิณ เป็นประเด็นให้การอภิปรายล้มไป ประชาชน อาจหมดศรัทธาต่อการทำงานของรัฐสภา และหันไปพึ่งข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย: รัฐธรรมนูญไม่ห้ามอภิปรายบุคคลภายนอก ในบทความของ รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้อ้างอิง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 124 ซึ่งระบุว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถแสดงความคิดเห็นและอภิปรายข้อเท็จจริงได้ โดยได้รับเอกสิทธิ์ในที่ประชุม เว้นแต่เป็นกรณีที่มีการถ่ายทอดสดและมีเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาหรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น นอกจากนี้ ข้อบังคับการประชุมสภายังไม่ได้ห้ามการกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบของความจำเป็นในการอภิปราย ซึ่งหมายความว่า การกล่าวถึง นายทักษิณ ชินวัตร ในการตรวจสอบประเด็นการครอบงำรัฐบาลไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ผู้กล่าวต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ถ้าตรวจดูข้อห้ามที่ปรากฏในข้อบังคับการประชุมละธรรมเนียมปฏิบัติในการอภิปรายคือ” ห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น “เท่านั้น การอ้างของนายกฯ แพทองธารอย่างเลื่อนลอยว่า การระบุชื่อนายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่า” ผิดกฎหมาย “จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นจริง และการอ้างธรรมเนียมปฏิบัติของหลายคนในพรรคเพื่อไทยว่าไม่เคยมีการระบุชื่อบุคคลภายนอกมาก่อน สะท้อนความต้องการปกป้องนายทักษิณผู้เป็นบิดา และผู้บังเกิดผลประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย เสนอแนวทาง: ปรับถ้อยคำเพื่อให้การอภิปรายเดินหน้า เพื่อให้การตรวจสอบรัฐบาลดำเนินต่อไป รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เสนอให้ฝ่ายค้านปรับถ้อยคำในญัตติ โดยอาจใช้ถ้อยคำที่ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง เช่น “นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้ (ชายไทยไม่ทราบชื่อ) ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง…

Read More

เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.68) ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใหม่ในการพยุงตลาดทุนผ่านกองทุน ‘Thai ESG Extra’ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยหวังให้เป็นเครื่องมือช่วยชะลอแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงมาตรการที่ช่วยให้ตลาดหุ้น “เขียว” ได้แค่วันเดียว ก่อนจะร่วงระเนระนาดในวันถัดมา หุ้นเด้งแค่วันเดียว ก่อนร่วงหนักต่อ – สะท้อนอะไร? หลังจากที่มีข่าวอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Thai ESG Extra ในวันที่ 11 มีนาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดที่ 1,187.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.19 จุด หรือ +0.87% จากวันก่อนหน้า นักลงทุนบางส่วนมีความหวังว่ามาตรการนี้อาจช่วยบรรเทาภาวะขายหุ้นที่เกิดจากแรงเทขาย LTF แต่เพียงวันเดียวเท่านั้น (12 มีนาคม) ดัชนีกลับร่วงลงอีกครั้ง ปิดที่ 1,160.06 จุด ลดลง 27.57 จุด หรือ -2.32% โดยตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงเดิม ได้แก่• เงินทุนต่างชาติไหลออก ต่อเนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและความกังวลเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)• ความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้• ความกังวลเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง Thai ESG Extra – มาตรการแก้ปัญหาถูกจุดหรือแค่ประคองสถานการณ์? ย้อนกลับไปดูที่มาของ Thai ESG Extra นี่คือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเงินลงทุนจากผู้ที่ถือ LTF ซึ่งปัจจุบันมีเงินลงทุนค้างอยู่ราว 1.8 แสนล้านบาท และกำลังถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งมีแรงขายออกมาแล้วกว่า 35,000 ล้านบาท รัฐบาลคาดหวังว่า Thai ESG Extra จะช่วยดึงเม็ดเงินเหล่านี้ให้อยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป โดยเสนอ สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่โอนจาก LTF มายังกองทุนใหม่ และให้สิทธิวงเงินลดหย่อนภาษี 300,000 บาทต่อปี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนใหม่…

Read More

“ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ซึ่งเปิดประเด็นการใช้เงินกองทุนประกันสังคม ของสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. ล่าสุดกรณีลงทุน 7 พันล้านบาทซื้อตึกเก่าที่มีมูลค่าประเมิน 3 พันล้านบาท ที่เลขาธิการประกันสังคม ชี้แจงว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วนั้น ไอซ์ รักชนก ได้ขอเอกสารและขอให้ชี้แจงข้อสงสัยเพิ่มเติม มีทั้งทำไมถึงเลือกลงทุนเป็นเจ้าของตึกทั้ง ๆ ที่ไม่มีความพร้อม และประสบการณ์ แทนการลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงเช่นกองทุน Pension fund ทั่วโลกพึงปฏิบัติ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับใคร หรือกลุ่มใดหรือไม่? ทำไมเลือกลงทุนตึก SKYY9 ผ่านช่องทาง PE Trust โดยเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน 99.7% แทนที่เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว หรือเพื่อเลี่ยงไม่ให้ คณะกรรมการฯ และผู้ประกันตนทราบถึงการลงทุนชิ้นนี้? การลงทุนแบบนี้มีภาระผูกพัน เช่นค่าธรรมเนียมจ่ายให้ผู้ดูแลกองทรัสต์ ผู้จัดการกองทรัสต์ และผู้ดูแลอาคาร ปีละ 0.3% ของเงินลงทุน/ปี แม้ในวันที่ยังไม่สามารถหาผู้เช่ามาได้ รวมถึงเป็นการลงทุนแบบเลือนลางว่าการเก็งกำไรซื้อตึกและที่ดินจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตนั้นถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ในยุทธศาสตร์การลงทุน 5 ปีที่นำเงินไปลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดนั้น ผู้ประกันตนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินจะไม่ถูกนำไปลงทุนในตึกราคาแพงที่ไม่ได้สร้างรายได้อีกหลาย ๆ ตึกอีก ไอซ์ รักชนก ยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้กองทุนกำลังจะเพิ่มวงเงินลงทุนนอกตลาด จาก 10,000 ล้าน (ที่ซื้อตึก SKYY8 ไปแล้ว 7000 ล้าน) เป็น 130,000 ล้าน โดยยืนยันไม่ได้ขวางการลงทุนนอกตลาด แต่ที่กองทุนประกันสังคมไม่มีเหมือนกองทุนทั่วโลกคือ กรอบหลักเกณ์หรือมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีอะไรการันตีเลยว่าเคสแบบตึก SKYY9 จะไม่เกิดขึ้นอีก “เงิน 130,000 ล้าน ที่ควรจะเอาไปลงทุนให้ได้กำไรงามๆ จะกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองขนาดมหึมาของใครอีกหรือไม่ ดิฉันไม่อยากจินตนาการ” ไอซ์ รักชนกระบุ ทั้งนี้ ไอซ์ รักชนก ยังจี้ถามกรณีที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการ สปส. ระบุมีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต. ว่าราคาประเมินตามวิธีพิจารณาจากรายได้ประมาณ 7,300 ล้านบาท และประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุนประมาณ 8,000…

Read More

“ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ซึ่งเปิดประเด็นการใช้เงินกองทุนประกันสังคม ของสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. ล่าสุดกรณีลงทุน 7 พันล้านบาทซื้อตึกเก่าที่มีมูลค่าประเมิน 3 พันล้านบาท ที่เลขาธิการประกันสังคม ชี้แจงว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วนั้น ไอซ์ รักชนก ได้ขอเอกสารและขอให้ชี้แจงข้อสงสัยเพิ่มเติม มีทั้งทำไมถึงเลือกลงทุนเป็นเจ้าของตึกทั้ง ๆ ที่ไม่มีความพร้อม และประสบการณ์ แทนการลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงเช่นกองทุน Pension fund ทั่วโลกพึงปฏิบัติ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับใคร หรือกลุ่มใดหรือไม่? ทำไมเลือกลงทุนตึก SKYY9 ผ่านช่องทาง PE Trust โดยเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน 99.7% แทนที่เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว หรือเพื่อเลี่ยงไม่ให้ คณะกรรมการฯ และผู้ประกันตนทราบถึงการลงทุนชิ้นนี้? การลงทุนแบบนี้มีภาระผูกพัน เช่นค่าธรรมเนียมจ่ายให้ผู้ดูแลกองทรัสต์ ผู้จัดการกองทรัสต์ และผู้ดูแลอาคาร ปีละ 0.3% ของเงินลงทุน/ปี แม้ในวันที่ยังไม่สามารถหาผู้เช่ามาได้ รวมถึงเป็นการลงทุนแบบเลือนลางว่าการเก็งกำไรซื้อตึกและที่ดินจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตนั้นถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ในยุทธศาสตร์การลงทุน 5 ปีที่นำเงินไปลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดนั้น ผู้ประกันตนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินจะไม่ถูกนำไปลงทุนในตึกราคาแพงที่ไม่ได้สร้างรายได้อีกหลาย ๆ ตึกอีก ไอซ์ รักชนก ยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้กองทุนกำลังจะเพิ่มวงเงินลงทุนนอกตลาด จาก 10,000 ล้าน (ที่ซื้อตึก SKYY8 ไปแล้ว 7000 ล้าน) เป็น 130,000 ล้าน โดยยืนยันไม่ได้ขวางการลงทุนนอกตลาด แต่ที่กองทุนประกันสังคมไม่มีเหมือนกองทุนทั่วโลกคือ กรอบหลักเกณ์หรือมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีอะไรการันตีเลยว่าเคสแบบตึก SKYY9 จะไม่เกิดขึ้นอีก “เงิน 130,000 ล้าน ที่ควรจะเอาไปลงทุนให้ได้กำไรงามๆ จะกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองขนาดมหึมาของใครอีกหรือไม่ ดิฉันไม่อยากจินตนาการ” ไอซ์ รักชนกระบุ ทั้งนี้ ไอซ์ รักชนก ยังจี้ถามกรณีที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการ สปส. ระบุมีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต. ว่าราคาประเมินตามวิธีพิจารณาจากรายได้ประมาณ 7,300 ล้านบาท และประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุนประมาณ 8,000…

Read More

โครงการแจกเงินหมื่นบาทในกลุ่มอายุ 16-20 ปี กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง หรือเป็นเพียงยุทธศาสตร์สะสมแต้มทางการเมืองโดยมุ่งเป้าไปที่ “นิวโหวตเตอร์” สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570 หรือไม่? เพราะนโยบายนี้มีบทพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามราคาคุยของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ธนาคารโลก (World Bank) ได้ทำการศึกษาพบว่า การใช้มาตรการแจกเงินหมื่นช่วยกระตุ้นจีดีพีได้แค่ 0.3 % แต่มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 0.8% ของ GDP ถ้าอ้างอิงจากตัวเลขนี้ โครงการเฟสสามที่ใช้ 27,000 ล้านบาท อาจสร้างผลตอบแทนกลับมาในระบบเศรษฐกิจเพียง 10,125 ล้านบาท ทำให้เกิดภาระทางการคลังและอาจต้องพึ่งพาการกู้เงินเพิ่ม นี่จึงทำให้เกิดคำถามดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า แจกเงินหมื่นเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมืองที่หวังซื้อใจคนรุ่นใหม่โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่? แจกเงินหมื่น: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือประชานิยมเงินผัน? รัฐบาลให้เหตุผลว่านโยบาย “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งเป้าหมายไปที่การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายในร้านค้าท้องถิ่นและแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ข้อดีที่รัฐบาลนำเสนอ กระตุ้นการบริโภค – เมื่อประชาชนได้รับเงิน พวกเขาจะนำไปใช้จ่าย ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ช่วยธุรกิจรายย่อย – การใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ทำให้ร้านค้าท้องถิ่นได้รับประโยชน์ ผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) – เงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสามารถช่วยให้ GDP เติบโตได้ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากแสดงความกังวลเกี่ยวกับ ความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยมีข้อกังขาว่าผลกระทบที่ได้อาจเป็นเพียง “ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ” ที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาในระยะยาว และมีบทพิสูจน์แล้วว่ากระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้จริงตามที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับสร้างภาระหนี้ระยะยาวให้กับประเทศ เรียกว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” และที่ “ได้” อาจเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อไทย กับเกมการเมืองที่เสี่ยง แม้ว่าพรรคเพื่อไทยคาดหวังว่านโยบายแจกเงินนี้จะช่วยกุมใจฐานเสียงเดิมและดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ แต่บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์มากกว่านโยบายแจกเงิน ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างถล่มทลายจากคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะไม่ได้เสนอ “นโยบายแจกเงิน” ที่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ประชานิยมเงินสดอาจไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินใจหลักของคนรุ่นใหม่ อีกต่อไป นโยบายแจกเงินอาจเป็นดาบสองคม การปรับเปลี่ยนโครงการมาแล้วหลายครั้ง อาจทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับการวางแผนนโยบายของรัฐบาล และสูญเสียความน่าเชื่อถือจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจมองว่านี่เป็นเพียง “สัญญาหาเสียงที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง” ฐานเสียง…

Read More

เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.68) ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใหม่ในการพยุงตลาดทุนผ่านกองทุน ‘Thai ESG Extra’ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยหวังให้เป็นเครื่องมือช่วยชะลอแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงมาตรการที่ช่วยให้ตลาดหุ้น “เขียว” ได้แค่วันเดียว ก่อนจะร่วงระเนระนาดในวันถัดมา หุ้นเด้งแค่วันเดียว ก่อนร่วงหนักต่อ – สะท้อนอะไร? หลังจากที่มีข่าวอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Thai ESG Extra ในวันที่ 11 มีนาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดที่ 1,187.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.19 จุด หรือ +0.87% จากวันก่อนหน้า นักลงทุนบางส่วนมีความหวังว่ามาตรการนี้อาจช่วยบรรเทาภาวะขายหุ้นที่เกิดจากแรงเทขาย LTF แต่เพียงวันเดียวเท่านั้น (12 มีนาคม) ดัชนีกลับร่วงลงอีกครั้ง ปิดที่ 1,160.06 จุด ลดลง 27.57 จุด หรือ -2.32% โดยตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงเดิม ได้แก่ เงินทุนต่างชาติไหลออก ต่อเนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและความกังวลเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ความกังวลเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง Thai ESG Extra – มาตรการแก้ปัญหาถูกจุดหรือแค่ประคองสถานการณ์? ย้อนกลับไปดูที่มาของ Thai ESG Extra นี่คือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเงินลงทุนจากผู้ที่ถือ LTF ซึ่งปัจจุบันมีเงินลงทุนค้างอยู่ราว 1.8 แสนล้านบาท และกำลังถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งมีแรงขายออกมาแล้วกว่า 35,000 ล้านบาท รัฐบาลคาดหวังว่า Thai ESG Extra จะช่วยดึงเม็ดเงินเหล่านี้ให้อยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป โดยเสนอ สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่โอนจาก LTF มายังกองทุนใหม่ และให้สิทธิวงเงินลดหย่อนภาษี 300,000 บาทต่อปี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนใหม่…

Read More