Author: Writer Publisher

เปิดตำนานคดีใหม่เสียชีวิตปริศนา? เรียกว่ากลับมาเป็นที่สนใจของประชาชนอีกครั้งเมื่อกรมราชทัณฑ์ยอมรับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา (7 มี.ค.68) ผู้ต้องขังชาย ธิติสรรค์ หรือ อดีต “ผู้กำกับโจ้” นายตำรวจผู้ฮือฉาวจาก สภ.เมืองนครสวรรค์ กรณีใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ต้องหายาเสพติดจนเสียชีวิต ก่อนที่อดีต ผกก.โจ้ถูกจับกุม และศาลพิพากษาประหารชีวิต และลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเมื่อค่ำวานอดีต ผกก.โจ้เสียชีวิตในเรือนจำ จากแถลงการณ์ของกรมราชทัณฑ์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตคาเรือนจำคลองเปรมว่า พบผ้าขนหนูผืนเล็กผูกที่คอ และเสียชีวิตด้วยท่านั่งตรงประตูห้องขัง ยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่หรือผู้ต้องขังรายใดทำร้าย และจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยรอผลชันสูตรจากแพทย์เพื่อสรุปหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป พร้อมระบุอดีต ผกก.โจ้มีโรคประจำตัวและมีภาวะทางจิตเวช และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ขออายัดศพ คาใจการเสียชีวิต ถูกทำร้ายร่างกาย? ทั้งนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตุถึงช่วงเวลาการเสียชีวิตของอดีต ผกก.โจ้ ประมาณ 2 ทุ่มเศษ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่อยู่กันเต็มไปหมด ทำไมจึงก่อเหตุดังกล่าวได้ สอดคล้องกับที่ทนายความของ อดีต ผกก.โจ้ เปิดเผยว่าญาติได้เข้าเยี่ยมเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ อดีต ผกก.โจ้บอกต้องเข้าไปสอบสวนวินัย เพราะมีความผิดกระด้างกระเดื่อง ก่อนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น จึงติดใจประเด็นนี้ โดยได้แจ้งความที่ สน.ประชาชื่น และขออายัดศพเพื่อไปชันสูตรที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี มีรายงานว่าก่อนหน้านี้เขามอบหมายทนายความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.ประชาชื่น เพราะถูกทำร้ายร่างกาย มีใบรับรองแพทย์ระบุว่ามีรอยฟกช้ำ ตำรวจเคยขอเข้าไปสอบสวนผู้ต้องขังเรื่องการทำร้ายร่างกายถึง 2 ครั้ง มีร่องรอยบาดแผลและฟกช้ำที่ทรวงอก แต่ผู้บัญชาการเรือนจำไม่อนุญาตให้เข้าไปทั้งสองครั้ง และไม่ให้ทนายความเข้าไปด้วย ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น เรื่องนี้ร้อนไปถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ยืนยันตามแถลงการณ์ของกรมราชทัณฑ์ รวมถึงกรณีที่ต้องแยกขังเดี่ยว อดีต ผกก.โจ้ เพราะมีภาวะหวาดระแวง ทำร้ายตัวเองและเป็นผู้ป่วยจิตเวช ส่วนกระแสข่าวว่ามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ จนถูกทำร้ายร่างกาย และญาติได้แจ้งความให้ตรวจสอบถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากทางเรือนจำนั้น พันตำรวจเอกทวีบอกยังไม่ทราบรายละเอียด แต่รับที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อให้ปรากฏต่อสังคม กรณีของอดีต ผกก.โจ้ทั้งก่อนและหลังถูกจำคุกมีประเด็นที่น่าสนใจ และต้องถอดบทเรียน เพราะเชื่อว่ายังคงจะเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงคำถามถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเฉพาะกรณีนี้ที่ถูกตั้งคำถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ผกกโจ้ #กรมราชทัณฑ์ #กระทรวงยุติธรรม

Read More

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกแถลงการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9-26 มิถุนายน 2567 โดยระบุว่า ณ วันที่ 7 มีนาคม 2568 ได้รับคำร้องทั้งหมด 577 คำร้อง ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความไม่ชอบมาพากลในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผลการดำเนินงาน: ร้องเรียน 577 เรื่อง – พิจารณาแล้ว 299 เรื่อง จากคำร้องทั้งหมด 299 เรื่อง ได้รับการพิจารณาแล้ว แบ่งเป็น• 224 เรื่อง ได้รับคำสั่งแล้ว• สั่งไม่รับ / รวบรวมเป็นข้อมูล: 100 เรื่อง• สั่งยกคำร้อง / สั่งยุติเรื่อง: 122 เรื่อง• สั่งเลือกตั้งใหม่: 2 เรื่อง• 75 เรื่อง อยู่ระหว่างพิจารณาคดีอาญา• ส่งฟ้องศาล 6 เรื่อง• เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 6 เรื่อง• สั่งเลือกตั้งใหม่ 2 เรื่อง• ยื่นคำร้องต่อศาล 5 เรื่อง 278 คำร้อง ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะนี้ กกต. ยังคงพิจารณาคำร้องอีก 278 เรื่อง ซึ่งอยู่ในกระบวนการตรวจสอบหลักฐาน รวบรวมข้อมูล และพิจารณาความผิด กกต.แจงขั้นตอนดำเนินการ – เน้นความรวดเร็วและโปร่งใส กกต. ชี้แจงว่า เมื่อได้รับคำร้องแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการสืบสวนและไต่สวนอย่างรวดเร็ว โดยมีคณะกรรมการสืบสวนพิจารณาแต่ละกรณี และส่งเรื่องให้ที่ประชุม กกต. ตัดสินใจ หากพบว่ามีหลักฐานเพียงพอ อาจมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิผู้สมัคร รวมถึงส่งฟ้องศาลในกรณีที่พบการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เอกสารชี้แจงของ กกต. ถูกเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน หลังถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงความล่าช้าในการทำคดี สว. จนมีผู้ไปร้องที่ DSI และ DSI พบปัญหาฮั้วประมูล ฟอกเงิน และพฤติกรรม…

Read More

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดฉาก ไต่สวนคดีชั้น 14 โดยมีการเรียก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ป.ป.ช. เปิดฉากไต่สวนคดีสินบน “ชั้น 14” ตามข้อมูลที่ สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ระบุว่า ป.ป.ช. เอาจริง เดินหน้าสอบคดีสินบนระดับสูงที่ถูกเรียกว่า “คดีชั้น 14” และมีการ เชิญพยานปากเอกเข้าให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ถูกเรียกให้ปากคำคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ประชุมเครียดที่พรรคเสรีรวมไทย – อดีต ผบ.ตร. ตั้งรับแนวสอบสวน นอกจากนี้ มีรายงานระบุว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เข้าประชุมที่พรรคเสรีรวมไทย ชั้น 19 ตั้งแต่ช่วงเช้า ท่ามกลางแรงกดดันจากคดีที่กำลังถูกขยายผล “สมชาย” โพสต์เตือน #งานนี้มีหนาวคุก สมชาย แสวงการ ได้โพสต์ข้อความที่สื่อถึงความเข้มข้นของการไต่สวนครั้งนี้ พร้อมติดแฮชแท็ก #งานนี้มีหนาวคุก #งานนี้มีหนาวคุก #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14โรงพยาบาลตำรวจ

Read More

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมายและอดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงกรณีที่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปอินโดนีเซีย ว่า ศาลฯ ใช้ดุลพินิจตามกรอบของคดี มาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีร้ายแรง และศาลมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะมีเหตุผลจำเป็นที่เพียงพอ “ไม่ใช่จะขอออกพร่ำเพรื่อ เสมือนไม่มีข้อกำหนดของศาลฯ อย่างนั้นไม่ได้!” นิพิฏฐ์กล่าว พร้อมเสริมว่า หากเป็นกรณีเจ็บป่วยที่ต้องรักษาในต่างประเทศ หรือมีเหตุจำเป็นทางครอบครัวหรือหน้าที่ ก็สามารถพิจารณาอนุญาตได้ แต่การขอเดินทางในลักษณะถี่เกินไป อาจทำให้ศาลฯ พิจารณาว่าคำขอไม่มีน้ำหนักพอ “เราเห็นกันอยู่แล้วว่าทักษิณใช้แท็กติกชิมลาง ขอไปมาเลเซีย ไปได้ ก็ตามด้วยบรูไน จากนั้นขอไปอินโดนีเซีย ศาลฯ ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ถ้าขอพร่ำเพรื่อ ศาลฯ ก็หมดความศักดิ์สิทธิ์สิ! และถ้าศาลฯ ให้พร่ำเพรื่อ ทักษิณอาจใช้ช่วงเวลาก่อนตัดสินคดี 112 ขอไปต่างประเทศอีก ถ้าถึงเวลานั้นคดีไม่รอด ก็หนีอีก!” ศาลฯ ใช้ดุลพินิจพิจารณาอะไร? – ทักษิณเคยหนีมาแล้ว ต้องระวังซ้ำรอย! นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ศาลฯ ย่อมต้องคำนึงถึงประวัติการหนีคดีของ ทักษิณ เพราะที่ผ่านมาเคยออกนอกประเทศ แล้วไม่กลับมาฟังคำพิพากษาจนหมดอายุความไปแล้วในคดีที่ดินรัชดา “ศาลฯ น่าจะรู้ทัน เพราะเห็นได้ว่าทักษิณใช้แท็กติกชิมลางมาตลอด และศาลฯ เองก็ดูเหตุผลของคำขอประกอบ ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ ก็ปล่อยผ่าน” จากข้อมูลการขออนุญาตออกนอกประเทศ 4 ครั้งในช่วงปี 2567-2568 ศาลฯ อนุญาต 2 ครั้ง (มาเลเซีย – บรูไน) แต่ปฏิเสธ 2 ครั้ง (ดูไบ – อินโดนีเซีย) นิพิฏฐ์มองว่า “ศาลฯ กำลังส่งสัญญาณว่าการขอพร่ำเพรื่ออาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ตำแหน่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนของทักษิณ ดูเหมือนจะเป็น ‘ยันต์พาออกนอกประเทศ’ แต่พอคดีกระชั้นเข้ามา ยันต์นี้ก็ดูเหมือนจะเริ่มไม่ได้ผล” คดี 112 คืบหน้าถึงไหน?…

Read More

เมื่อสถานพยาบาลที่ควรเป็นที่พึ่งของประชาชน กลับกลายเป็นแหล่งโกงยาขนาดใหญ่ ขบวนการทุจริตที่ดำเนินมานานกว่า 10 ปี จากปรากฏการณ์โกงเป็นขบวนการ ขนยากันเป็นกระสอบที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ไม่เพียงแต่สูบเงินงบประมาณ แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือของระบบสาธารณสุขไทยอย่างรุนแรง ผู้ร่วมขบวนการโกง มีทั้งผู้ป่วย ประชาชนที่ปลอม “ป่วย” ข้าราชการทหารระดับสูง และบุคลากรทางการแพทย์ รวมแล้วหลายร้อยคน มูลค่าความเสียหาย แม้ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนในขณะนี้ แต่คาดว่ามหาศาลเพราะทำต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว และมีการเปิดข้อมูลเพิ่มว่า อาจไม่ใช่แค่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก แต่อาจลามไปถึงโรงพยาบาลภูมิพลด้วย งบประมาณจัดซื้อยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกย้อนหลัง 7 ปี ข้อมูลจาก “สำนักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล” เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2560-2567 มีโครงการจัดซื้อยา 13,668 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 1,606 ล้านบาท งบประมาณการซื้อยาในบางปีที่ระบุได้ชัดเจน ปี 2565 – 298 ล้านบาทปี 2563 – 251 ล้านบาท และ ปี 2566 – 241.1 ล้านบาท ในจำนวนนี้ มีโครงการจัดซื้อที่ไม่ระบุประเภทและชนิดของยา มากถึง 4,142 โครงการ คิดเป็นงบประมาณกว่า 375 ล้านบาท จากงบประมาณที่เห็นหากรั่วไหลไปเพียงแค่ 5 % ในแต่ละปีก็เป็นเงินมหาศาลแล้ว กลโกงที่ถูกเปิดโปง พบว่าวางแผนกันมาอย่างดี แบ่งทีมเป็นระบบ 6 ทีม ทีมละ 60-70 คน รวมกว่า 600 คน วิธีการคือ นำ “ผู้ป่วย” ไปรับยาเกินความจำเป็น ก่อนนำยาไปขายในตลาดมืด ให้ค่าตอบแทนคนที่ปลอมเป็นผู้ป่วยหรืออาจป่วยจริง ครั้งละ 2,000-3,000 บาท แต่คนกำกับบทได้เงินจำนวนมากจากการเบียดบังภาษีประชาชน บทเรียนที่สังคมควรเรียนรู้ ความยากจนไม่ใช่ข้ออ้างในการทุจริต หลายคนอาจบอกว่าคนที่เข้าร่วมขบวนการเหล่านี้ “จำเป็นต้องทำ” เพราะความจน แต่ต้องถามกลับว่า “แล้วคนที่ไม่มีจะกินแต่ยังสุจริตล่ะ?” การทุจริตในระบบสาธารณสุข คือ ความเสียหายที่กระทบทุกคน ทุกงบประมาณที่ถูกโกงไป หมายถึงคนป่วยจริงอาจต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนยา เงินที่รั่วไหลไปอาจกระทบกับระบบสาธารณสุขในระยะยาวซึ่งมีปัญหางบประมาณไม่เพียงพออยู่แล้ว…

Read More

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเลยทีเดียว หลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้ขึ้นตอบกระทู้ นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยนายพิชัย กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยชาวนา ความทุกข์ของชาวนาก็คือความทุกข์ของแผ่นดิน การติดต่อขายข้าวล่วงหน้ากับตลาดรายใหญ่ อีกทั้งปลายเดือนมีนาคมจะไปเซ็นสัญญาซื้อขายข้าว 370,000 ตัน ยืนยันขายได้แน่ ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมแนะชาวนาว่า ในการแก้ปัญหาระยะยาว กระทรวงพาณิชย์จะหาพืชอื่นเพื่อสร้างรายได้ คือ การปลูกกล้วย เนื่องจากตนมองว่าต้องการให้ชาวนาปลูกพืชที่มีรายได้ยั่งยืน และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ Facebook ถึงปมร้อนนี้เช่นเดียวกัน ระบุว่า “#นายพิชัยต้องใช้สมองคิดเรื่องข้าวมาก ๆ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ไปตอบกระทู้ของฝ่ายค้านในสภา กรณีราคาข้าวเปลือกราคาตกต่ำ จะแนะนำให้ชาวนาไปปลูกกล้วยแทนข้าว ไม่แปลกใจเลยที่นายพิชัยตอบแบบนี้ ทำให้พี่น้องชาวนาด่า นายพิชัยกันทั้งประเทศ มีอย่างที่ไหนชาวนาเขาเรียกร้อง แก้ปัญหาข้าวเปลือกราคาตกต่ำ แทนที่นายพิชัยจะหาทางออกที่ดี กลับให้ไปปลูกกล้วย” นพ. วรงค์ แนะ 3 ข้อให้ “พิชัย” ใช้สมองคิดตาม 1.ข้าวเปลือกราคาถูก แต่ทำไมข้าวสารที่คนไทยบริโภคในประเทศราคาแพง นายพิชัยเข้าใจความสัมพันธ์ ของราคาข้าวเปลือกกับราคาข้าวสารในประเทศไหมว่า…มีความไม่ปกติเกิดขึ้น คือฝ่ายพ่อค้าข้าวสารรวยมาก แต่ชาวนาขายข้าวเปลือกมีแต่จนกับจน 2.ข้อมูลในปี2566 ปริมาณต้องการข้าวสารที่ใช้ในประเทศประมาณ60%เศษ หรือประมาณ13.3ล้านตัน ของปริมาณข้าวสารทั้งหมด และในปี2568-ปี2569 ความต้องการข้าวสารในประเทศ คาดว่าประมาณ 14.2-14.6 ล้านตัน มีแนวโน้มสูงขึ้น 3.ไม่ว่าราคาตลาดโลกผันผวน เพราะอินเดียส่งออก แต่ราคาข้าวสารในประเทศไม่เคยถูกลง มีแต่ราคาจะขยับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งตั้งคำถามถึง นายพิชัย ระบุว่า “สิ่งที่ต้องถามนายพิชัย จากข้อมูลคร่าวๆที่ให้ทราบ มองอะไรออกไหมครับ คุณเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบราคาข้าว จะปล่อยให้นักธุรกิจค้าข้าวสารร่ำรวยมากๆ แต่ปล่อยให้ชาวนาขายข้าวเปลือกราคาถูกเช่นนี้อีกหรือ นั่นคือ “ข้าวเปลือกถูกแต่ข้าวสารแพง” นายพิชัยยังมีความคิดที่จะให้ชาวนา ไปปลูกกล้วยอีกหรือ ในเมื่อข้าวเป็นสินค้าควบคุม ทำไมคุณไม่ใช้อำนาจไปควบคุมราคาข้าวเปลือก เพื่อช่วยชาวนาบ้าง โดยเอากำไรจำนวนมาก ของราคาข้าวสารในประเทศ มาคืนให้กับราคาข้าวเปลือกของชาวนา ผมเชื่อว่าชาวนาจะขายข้าวเปลือกได้ตันละ 10,000 บาท…

Read More

เริ่มมีคำถามมากขึ้นว่า “อบายมุขเสรี” กำลังกลายเป็น “ธีมหลัก” ของรัฐบาลแพทองธาร หรือไม่? หลังพรรคเพื่อไทยเดินหน้าเต็มสูบผลักดัน กาสิโนถูกกฎหมาย พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย และ ผ่อนปรนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา จากประเทศที่เคยพยายามควบคุมปัญหาสังคม กำลังกลายเป็น “ดินแดนเสรีอบายมุข”…จากรัฐบาลที่หาเสียงเรื่องปากท้อง กำลังกลายเป็นรัฐบาลที่พยายามทำเงินจากประชาชนด้วยอบายมุขนานัปการ นี่คือการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือกำลังพาประเทศเข้าสู่ยุค “อโคจร” ? กาสิโนถูกกฎหมาย ที่อ้างว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ คิดบ้างหรือไม่ว่ามัอนาจพลิกกลายเป็นหรือศูนย์กลางหนี้สินประชาชน?รัฐบาลผลักดัน “Entertainment Complex” ที่รวมกาสิโน โรงแรม และแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร ด้วยข้ออ้างหลักว่า กระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ สิงคโปร์ แม้มีรายได้มหาศาลจากกาสิโน แต่ต้องออกกฎหมายคุมเข้ม ป้องกันคนติดพนัน มาเก๊า เคยเป็น “สวรรค์ของกาสิโน” ก่อนจะถูกจับตาว่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางฟอกเงินข้ามชาติ แม้แต่กัมพูชา ที่เต็มไปด้วยกาสิโนแต่ประชาชนในพื้นที่กลับไม่ได้ประโยชน์ มีแต่เจ้าของธุรกิจต่างชาติที่ร่ำรวย และเต็มไปด้วยปัญหาค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ รวมถึงแหล่งฟอกเงินด้วย แล้วประเทศไทยจะไปทางไหน? ย้อนดูประเทศไทย นโยบายก็ยังเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง บอกมี กาสิโน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เปิดช่องให้คนไทยเข้ากาสิโนได้ เพราะต้องการดึงเงินไม่ให้ไหลไปบ่อนต่างประเทศ แถมไร้มาตรการดูแลผลกระทบทางสังคม สิ่งที่เห็นชัดคือ “นักลงทุนกาสิโน” รวยขึ้น แต่ “ประชาชนที่เล่น” หมดตัว เศรษฐกิจโตจากเงินอบายมุข แต่ คนไทยเสี่ยงพังเพราะหนี้สินการพนัน พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย สร้างรายได้ หรือ ฟอกเงิน! รัฐบาลแพทองธารพยายามทำให้พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย อ้างว่า “จะควบคุมให้ปลอดภัย” แต่ในความเป็นจริง…เงินพนันออนไลน์หมุนเวียนมหาศาล มักถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงิน เยาวชนเข้าสู่การพนันง่ายขึ้น คนติดพนันมากขึ้น และยังเป็นการสส่งสัญญาณผิด ๆ ให้สังคมว่า การพนันเป็นเรื่องปกติทำได้โดยถูกกฎหมาย หลายประเทศที่เคยทำให้พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย เช่น ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา สุดท้ายต้องกลับมาคุมเข้ม เพราะอาชญากรรมและหนี้สินพุ่งสูง แล้วประเทศไทยจะรับมือยังไง? ยังไม่เห็นพูดถึง เห็นแต่ความกระหี้ยนกระหือรือจะทำ “พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย” ดึงเงินใต้โต๊ะมาอยู่บนโต๊ะแต่ไม่รู้…สุดท้ายเข้ากระเป๋าใคร ประเทศไทยได้แค่เศษเงินหรือเปล่า? คุ้มค่าไหมกับที่เยาวชนไทยจะเข้าถึงการพนันง่ายขึ้น เพราะทุกอย่างเป็นออนไลน์? หนี้พนันจะระบาดไปทุกระดับครัวเรือนรัฐบาลมองปัญหานี้บ้างหรือไม่? ขายแอลกอฮอล์เสรี – กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นปัญหาสังคม? รัฐบาลแพทองธารสนับสนุนให้ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ร้านค้าและภาคธุรกิจได้ประโยชน์…

Read More

ทักษิณ “กินแห้ว” ศาลฯ ไม่อนุญาตให้เดินทางไปอินโดนีเซียร่วมประชุมอาเซียน 7 มีนาคม 2568 ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยได้ไฟเขียวให้บินไป มาเลเซียและบรูไน ด้วยเหตุผลที่ว่ามี “คำเชิญจากประธานอาเซียน” แต่คราวนี้ แม้จะมีจดหมายเชิญจาก ประธานาธิบดีอินโดฯ ศาลฯ กลับไม่ใจอ่อน ชี้ว่า “ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ออกนอกราชอาณาจักร” จะบอกว่าแปลกก็คงไม่ใช่ จะบอกว่า “เกมเปลี่ยน” ก็อาจเป็นไปได้! เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปในเวลานี้คือ คดีมาตรา 112 ที่ยังแขวนอยู่บนคอ ของ “ทักษิณ” ที่กลับบ้านด้วยดีลลับลวงพราง และตอนนี้ถูกจับตามองหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากพฤติกรรม “สทร.” ของเขา และความอหังการ์ในการใช้อำนาจ ที่เริ่มใช้ DSI มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนเริ่มเกิดคำถาม “กำลังจะสร้างรัฐตำรวจอีกแล้วหรือ?” ไม่ได้บินนอก มีนัยยะอะไรที่ต้องถอดรหัส! ปกติแล้ว เรามักเห็น “คนใหญ่คนโต” ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกฎหมายไทย บินไปต่างประเทศง่ายเหมือนไปตลาดนัด แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น นี่อาจเป็นสัญญาณว่า “อภิสิทธิ์ชน” ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอภิสิทธิ์เสมอไป โดยเฉพาะเมื่อคดี 112 กระทบกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ถ้าจะถามว่าทำไมคราวก่อนบินออกได้ แต่คราวนี้ติดขัด? อาจเป็นเพราะตอนนั้นการเมืองยังสมูท มีแรงหนุนจาก “พี่น้องอาเซียน” อย่าง อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ทำให้พอถูไถให้บินลัดฟ้าได้ แต่ตอนนี้ แม้จะเป็นคำเชิญจากประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ก็ไม่สามารถ “ซอฟต์แลนดิ้ง” ออกจากประเทศได้ง่าย ๆ หรือเพราะการตัดสินคดีกำลังกระชั้นเข้ามาแล้ว? หรือเป็นสัญญาณว่า “ลมเปลี่ยนทิศ?“ “สะท้อนภาพใหญ่ – ทักษิณกำลังสูญเสียการควบคุม?” ตั้งแต่กลับไทย แทบไม่เหลือเวลา ”เลี้ยงหลาน“ ที่เคยใช้เป็นเหตุผลให้คนเห็นใจในการกลับประเทศ เพราะมัวทุ่มเวลาไปกับการควบคุมทิศทางการบริหารประเทศ สร้างดีลลับการเมือง ใช้บ้านจันทร์ส่องหล้าเป็นศูนย์กลางอำนาจ จนทำให้ ”ลูกสาว“ กลายเป็น ”นายกฯ หุ่นเชิด“ อยู่ใต้เงาพ่อที่กำลัง ”ติดกับดัก“ ตัวเอง ความอหังการ์ที่คิดว่าทุกอย่างอยู่ใต้ฝ่าเท้า กุมเบ็ดเสร็จได้ทุกองคาพยพ แต่ในความเป็นจริงตรงกันข้าม คดี 112 ยังคาราคาซัง, การบริหารของรัฐบาลลูกสาวไม่ได้เป็นไปตามคาด, นโยบายกาสิโน-พนันออนไลน์ ทำให้ประชาชนเริ่มไม่ทน…

Read More

ดรามาความรักในวงการบันเทิงไทยที่ ควรจบลงแค่ “เรื่องรักสามเส้า” กลับลุกลามกลายเป็น “เกมเงิน 2 ล้าน” “สงครามภาพลักษณ์” และ “เกมกฎหมาย” ที่สะท้อนให้เห็นมิติที่ลึกกว่าการ “นอกใจ” จากที่ ลำไย ไหทองคำ – บอส แดนเซอร์ – โม อดีตแฟนบอส เคยเป็นเพียงเรื่อง “มือที่สาม” ตอนนี้กลับกลายเป็นคำถามที่ซับซ้อนขึ้นว่า “ใครคือเหยื่อ?” และ “ใครกันแน่ที่เป็นผู้กระทำ?” จุดเริ่มต้นของดรามาลำไย ลำไยประกาศเลิกกับแฟนหนุ่ม ปุ้ย L.กฮ.,มีข่าวลือว่าลำไยมีความสัมพันธ์กับบอส แดนเซอร์ของตัวเอง,มีการเปิดเผยว่า ค่ายไหทองคำต้องจ่ายเงิน 2 ล้านให้โม อดีตแฟนของบอส เพื่อให้เรื่องเงียบ และ เกิดประเด็นว่าสัญญานี้อาจมีปัญหาทางกฎหมาย แต่แทนที่เงิน 2 ล้านจะช่วยให้เรื่องจบ ทุกอย่างกลับบานปลาย เมื่อโมออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ แม้ว่าเธอ “ได้รับการเยียวยาไปแล้ว” เกมพลิก! เพจนิกกี้ขยี้ข่าว เปิดอีกมุม “เหยื่อหรือผู้กระทำ?” “ปกติเราจะปกปิดและปกป้องแหล่งข่าว แต่เคสนี้ เรามองว่าคุณทำไม่ถูกต้อง” นี่คือสิ่งที่เพจนิกกี้ขยี้ข่าว ออกมาวิจารณ์พฤติกรรมของ “โม” พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า “คุณไม่เคยบอกว่าคุณรับเงิน” “คุณไม่เคยบอกว่าคุณมีสัญญา” และ “คุณไม่เคยบอกว่าคุณส่งคลิปไปให้แม่ฝ่ายชาย” หากเธอเป็นเหยื่อจริง ทำไมถึงยังเดินเกมแบบนี้อยู่? โม: เหยื่อที่ไม่พูดความจริงทั้งหมด? โมเล่าแต่มุมที่ถูกกระทำ แต่ไม่พูดถึงเงิน 2 ล้าน โมออกมาบอกว่าเธอถูกนอกใจ ถูกหลอก แต่ไม่เคยพูดว่าตัวเอง “ได้รับเงินชดเชย” เมื่อได้รับเงินแล้ว ข้อตกลงก็ควรจบ แต่เธอกลับ ยังเคลื่อนไหวโจมตีลำไยบนโซเชียล อ้างว่าไม่ได้ส่งข้อมูลให้ใคร แต่หลักฐานมันฟ้อง มีคนตั้งข้อสงสัยว่า “ข้อมูลหลายอย่างที่หลุดออกมา มาจากเธอหรือไม่?” เพจนิกกี้ขยี้ข่าวย้ำว่า “หลักฐานบางอย่างจะเปิดในชั้นศาล” 👉 สุดท้ายแล้ว คำถามคือ… โมเป็นเหยื่อจริง หรือกำลังใช้สถานะเหยื่อเพื่อทำลายอีกฝ่าย? ใครกันแน่ที่ควรได้รับความเห็นใจ? ลำไย ไหทองคำ ไม่รู้ว่าบอสมีแฟนแล้ว กลายเป็นเหยื่อของคำโกหก ถูกโจมตีจากสังคม ทั้งที่เธออาจไม่ได้ทำอะไรผิด บอส แดนเซอร์ ตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด ถูกพักงาน…

Read More

รัฐบาลแต่ละประเทศเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและสินค้าเกษตรราคาผันผวน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ “แนวทางแก้ปัญหา” สหรัฐฯ รมว.เกษตร แนะประชาชนเลี้ยงไก่ แก้ปัญหาราคาไข่แพง หลังไข้หวัดนกระบาด ฆ่าไก่ไปแล้ว 158 ล้านตัว และภาวะเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ส่วนประเทศไทย รมว.พาณิชย์ แนะเกษตรกรปลูกกล้วยแทนข้าว เพราะราคาข้าวตกต่ำ คำถามคือ นี่คือ “นโยบายที่ช่วยให้ประชาชนอยู่รอด” หรือ “แค่โยนปัญหาทิ้งให้ประชาชนแก้กันเอง?” “เลี้ยงไก่แก้ไข่แพง” vs “ปลูกกล้วยแทนข้าว” – ใครคิดมาดีกว่ากัน? กรณีของสหรัฐฯ ไข่ไก่แพงขึ้นจากปัญหาไข้หวัดนกและเงินเฟ้อ ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย การที่รมว.เกษตรแนะนำให้ เลี้ยงไก่ในบ้านเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นวิธีที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้ ถือเป็นนโยบายสนับสนุนให้ประชาชน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทันที กรณีของไทย ราคาข้าวตกต่ำ เพราะกลไกตลาด แทนที่จะหาวิธีช่วยพยุงราคาข้าว กลับแนะนำให้เปลี่ยนไปปลูกกล้วยแทน การปลูกกล้วย ต้องใช้เวลา และอาจเจอปัญหาตลาดใหม่ที่ไม่มีการรับประกัน “เลี้ยงไก่แก้ไข่แพง” อย่างน้อยประชาชนยังได้กินไข่ แต่ “ปลูกกล้วยแทนข้าว” แต่ยังไม่มีใครรับรองว่ากล้วยจะขายได้ดี นี่คือความแตกต่างระหว่าง “รัฐที่แนะประชาชนปรับตัว” กับ “รัฐที่บอกให้ประชาชนเปลี่ยนอาชีพไปเลย!” “กันงบฯ ไว้แจกเงินหมื่น…แต่ไม่มีงบฯ ช่วยชาวนา?” รัฐบาลแพทองธาร “ไม่มีงบฯ อุดหนุนข้าว” เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่มีประกันรายได้ มีแต่เงินช่วยเหลือเป็นครั้งคราวตามแต่ปัญหาและข้อเรียกร้อง แต่สามารถกันเงินไว้ แจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทถึง 500,000 ล้านบาท รัฐบาลควรมีนโยบายช่วยให้ชาวนาอยู่รอด ไม่ใช่ให้เปลี่ยนอาชีพเพราะรัฐจัดการตลาดข้าวไม่ได้! ทิ้งข้าวไปปลูกกล้วย?” ฟังดูดี แต่ปลูกแล้วขายให้ใคร? มีคำถามว่าราคาข้าวตกต่ำ” เกิดจากอะไร? ไทยขาดกลยุทธ์การส่งออกหรือไม่? รัฐบาลปล่อยให้พ่อค้ากดราคาข้าวหรือเปล่า? แนวทางแก้ปัญหาอยู่ตรงไหน? “ปลูกกล้วยแล้วขายให้ใคร?” ถ้าทุกคนเลิกปลูกข้าวแล้วไปปลูกกล้วย ตลาดกล้วยจะล้นไหม? ราคากล้วยจะตกต่ำเหมือนราคาข้าวหรือไม่? รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการขายกล้วยจริงจังหรือแค่พูดลอย ๆ? ชาวนาไม่ได้อยากเป็นเกษตรกรที่ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อย ๆ ตามราคาตลาดที่รัฐบาลบริหารล้มเหลว พวกเขาอยากมี “เสถียรภาพ” และ “ความมั่นคง” ในอาชีพตัวเอง ไม่ใช่ถูกบอกให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นตามใจนักการเมือง! วันนี้ให้ทิ้งนาข้าว ปลูกกล้วย พรุ่งนี้อาจให้ทิ้งสวนกล้วย ไปปลูกมันสำปะหลัง? จะง่ายกว่ามั้ย ถ้า “ทิ้งรัฐบาล” แม่มเลย!

Read More