Author: Writer Publisher

หมดอนาคต! ครูสาวคณิตศาสตร์โรงเรียนดัง หลงเสน่ห์สาวหล่อชาวจีน ถูกชักชวนให้ออกจากอาชีพครู เข้าสู่วงการ “ฟิวแฟนสแกมเมอร์” เปิดเซฟเฮ้าส์ในไทย ทำบัญชีรับโอนเงินให้ขบวนการแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ล่าสุด “บิ๊กหวาน” พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ นำทีม PCT บุกทลายรังรัก รวบขบวนการ 5 ราย พบของกลางมหาศาล รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 91 ล้านบาท! ปมร้อน! อดีตครูสาวกับรักต้องห้าม สู่วงการสแกมเมอร์ฟิวแฟน ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ ชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (PCT) ร่วมกับ ตำรวจนครบาล (บช.น.) นำหมายค้นจากศาลจังหวัดสมุทรปราการ บุกเข้าตรวจค้นบ้านหรูในหมู่บ้านย่านบางนา กม.7 พบ Miss. ZHOU ZHOU หรือ “บอสโจว” หัวหน้าขบวนการสแกมเมอร์ชาวจีน อยู่กับ น.ส.อลิษา หรือ “เล็ก” อดีตครูสาวที่ผันตัวมาเป็นซ้อบอส พร้อมผู้ร่วมขบวนการอีก 3 ราย ในเซฟเฮ้าส์ลับแห่งนี้ ถูกใช้เป็นศูนย์กลางการเงิน ของขบวนการฟิวแฟนสแกมเมอร์ โดยมีการทำบัญชีโอนเงินจากเหยื่อ ก่อนแปลงเป็นเงินดิจิทัลเพื่อฟอกเงินไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับรายชื่อผู้ต้องหาและบทบาทในขบวนการมีดังนี้ 1. Miss. ZHOU ZHOU หรือ “บอสโจว” (29 ปี, สัญชาติจีน) เป็นหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์ หลอกเหยื่อด้วยแผน “ฟิวแฟน” ชวนลงทุนออนไลน์ ก่อนเชิดเงินหนี 2. น.ส.อลิษา หรือ “เล็ก” (31 ปี, อดีตครูคณิตศาสตร์) ลาออกจากอาชีพครู ผันตัวเป็นซ้อบอส ทำหน้าที่จัดหาบัญชีม้าและดูแลเส้นทางการเงิน 3. นายสุกฤษฏิ์ หรือ “ฟรุ๊ค” (26 ปี) ทำหน้าที่หาคนเปิดบัญชีธนาคาร บัญชีดิจิทัล เพื่อใช้รับโอนเงินจากเหยื่อ 4. น.ส.อาทิตยา หรือ “เปรม”…

Read More

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พูดถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กำหนดให้ผู้ที่จะเข้าเล่นต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยบอกเป็นข้อเสนอที่ต้องมีการพูดคุยกัน เพราะหลักคิดนี้แตกต่างกับรัฐบาลบางส่วน เพราะรัฐบาลต้องการ กระตุ้นเศรษฐกิจ และลงทุนจากต่างชาติ ที่สำคัญคือแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมาย นายจุลพันธ์บอกหากกำหนดที่ 50 ล้านบาท ซึ่งคนไทยมีเงิน 50 ล้านบาทประมาณ 1 หมื่นบัญชี เท่ากับ ผลักดันกลุ่มคนหนึ่งที่ปัจจุบันยังไปเล่นตามชายแดน และเล่นในลักษณะผิดกฎหมายออกไป แทนที่จะดึงเข้าสู่ระบบ ทำให้เป็นหลักคิดที่แตกต่างกัน ต้องหารือกันต่อไป อีกทั้งยังมีขั้นตอนของทางสภาฯ อีก ส่วนตัวเลขเป็นเท่าไหร่ ต่ำกว่า 50 ล้านบาทหรือไม่ นายจุลพันธ์บอกยังไม่มีข้อสรุป ต้องหารือกับกฤษฎีกาก่อน เมื่อได้ข้อสรุปก็นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาฯ เพื่อพิจารณาเป็นลำดับสุดท้ายที่จะลงมติอย่างไร

Read More

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เผยยอดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาญี่ปุ่ จำนวน 3.78 ล้านคน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นยอดรายเดือนที่มากที่สุดตั้งแต่มีรายงานมา ปัจจัยที่กระตุ้นการเติบโตคือจำนวนนักท่องเที่ยวจากแดนมังกร หรือจีนแผ่นดินใหญ่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเพิ่มมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบเฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 980,300 คน และอาจเกิดจากความกังวลต่ออุบัติเหตุทางเครื่องบินที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ จึงทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมีจุดมุ่งหมายไปที่ประเทศญี่ปุ่น

Read More

สำนักข่าวซินหัวรายงาน บล็อกเกอร์ชาวจีนรายหนึ่ง ในนครฉงชิ่ง สะบัดแปรง เปลี่ยนลุคคุณพ่อ วัย 67 ปี เป็นตัวละคร “อ๋าวกวง” ราชามังกรในตำนาน ของภาพยนตร์แอนิเมชัน เรื่อง นาจา 2 ที่กำลังเป็นที่นิยมในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ในตตอนนี้ สร้างความตกตะลึงในความสามารถกับการพลิกโฉมสุดเท่ของคุณพ่อให้ หล่อ เท่ สมาร์ท สมกับตัวละครในตำนวนจริงๆ

Read More

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุม น.ส.ณิษฐ์รฐา สุขธนาทิพย์ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1832/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหาเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชน และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยจับกุมตัวได้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง จากการสืบสวนของ กก.3 บก.ปอศ. พบว่า น.ส.ณิษฐ์รฐา เป็นหนึ่งในสมาชิกเครือข่ายที่มีทั้งบุคคลสัญชาติมาเลเซียและไทย ซึ่งร่วมกันหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนผ่านแอปพลิเคชันปลอมเกี่ยวกับหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยขบวนการนี้ใช้วิธีการสร้างแพลตฟอร์มที่ดูน่าเชื่อถือให้เหยื่อลงทุน ก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ จากนั้นเงินจะถูกแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลและส่งต่อไปยังกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ในมาเลเซีย กลุ่มอาชญากรดังกล่าวมีพฤติกรรมฟอกเงินผ่านบัญชีม้านิติบุคคลและบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล โดย น.ส.ณิษฐ์รฐา มีบทบาทสำคัญในการจัดหาและเปิดบัญชีธนาคาร รวมถึงบัญชีคริปโตที่ใช้เป็นช่องทางรับเงินจากผู้เสียหาย ก่อนจะผ่องถ่ายไปเป็นทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่ออำพรางเส้นทางการเงิน เธอหลบหนีไปอาศัยอยู่ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซียได้ให้ความร่วมมือในการติดตามข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับขบวนการนี้ และมีการประสานให้ผู้ต้องหารายนี้เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมอบตัวกับตำรวจสอบสวนกลาง โดยเมื่อเดินทางมาถึงไทย เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนและยืนยันตัวตน ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้น น.ส.ณิษฐ์รฐา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ยอมรับว่าได้เปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลและบัญชีธนาคารให้สามีของตนใช้งานจริง ซึ่งตำรวจจะทำการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างตำรวจสอบสวนกลางของไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม

Read More

สำนักงาน ป.ป.ช. เผยแพร่เอกสารแนวทางป้องกัน “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ชี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทุจริต โดยได้เผยแพร่เอกสาร “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ” โดยเน้นย้ำว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest – COI) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่การทุจริตในภาครัฐ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” จุดเริ่มต้นของการทุจริตที่มองไม่เห็น เอกสารของ ป.ป.ช. ระบุว่า การขัดกันแห่งผลประโยชน์ เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐตัดสินใจเรื่องใด ๆ โดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้การใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นธรรม หรืออาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ป.ป.ช. ชี้ว่าปัญหานี้มีความซับซ้อนและอาจอยู่ใน “พื้นที่สีเทา” (Gray Area Corruption) เพราะแม้ว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อาจยังไม่ถือเป็นการทุจริตโดยตรง แต่เป็น ช่องทางหรือโอกาสที่ทำให้เกิดการทุจริตในอนาคต “เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่หลีกเลี่ยงการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพราะเมื่อใดที่ประโยชน์ส่วนตัวเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของภาครัฐ เมื่อนั้นย่อมมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การทุจริต” เอกสารระบุ ป.ป.ช. แยก 3 ประเภทหลักของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในเอกสารดังกล่าว ป.ป.ช. ได้จำแนกประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน ออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ 1 ผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงเศรษฐกิจเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนได้เสียกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการของรัฐ ใช้อำนาจหน้าที่ล็อบบี้โครงการหรือแทรกแซงการจัดซื้อจัดจ้าง 2 ผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงนโยบาย นักการเมืองใช้อำนาจแทรกแซงการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ตัดสินใจในเรื่องที่อาจมีผลต่อทรัพย์สินหรือธุรกิจของตนเอง และ 3 ผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงอำนาจหน้าที่ เจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่ช่วยเหลือญาติ พวกพ้อง หรือพรรคพวกทางการเมือง มีการเจรจาเพื่อต่อรองหรือช่วยเหลือให้พ้นจากการถูกตรวจสอบ “จริยธรรม – ผลประโยชน์ทับซ้อน – การทุจริต” ความสัมพันธ์ที่ต้องแยกให้ออก เอกสาร ป.ป.ช. ยังได้อธิบายถึง ความสัมพันธ์ระหว่าง “จริยธรรม” “การขัดกันแห่งผลประโยชน์” และ “การทุจริต” โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ“จริยธรรม” (Ethics) – กรอบทางสังคมที่เป็นรากฐานของแนวคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนและการทุจริต ,“การขัดกันแห่งผลประโยชน์” (COI) – สถานการณ์ที่อาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริต แม้จะยังไม่ผิดกฎหมายโดยตรง และ “การทุจริต” (Corruption) – การกระทำที่ผิดกฎหมายโดยชัดเจน และมีบทลงโทษตามกฎหมาย ป.ป.ช. แนะกลไกป้องกัน COI ก่อนนำไปสู่การทุจริต…

Read More

“ผมคิดถึงประชาชน” นี่คือคำพูดที่หลุดออกจากปาก สส.ปูอัด ไชยามวาน มั่นเพียรจิตพร้อมดรามาร้องไห้โฮ ระหว่างแถลงข่าวกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวไต้หวัน คำพูดดูดี น้ำเสียงดูเศร้า แต่ฟังแล้วขัดใจ “เพราะถ้าคิดถึงประชาชนจริง คงไม่ทำแบบนี้!” พฤติกรรมสวนทางกับคำพูด ประชาชนเลือกคุณมาเพื่อเป็นตัวแทนในสภา ไม่ใช่เพื่อให้ไปพัวพันกับคดีฉาวโฉ่แบบนี้ ถ้าคิดถึงประชาชนจริง สิ่งที่ควรทำคือ ทำตัวให้สมกับที่ประชาชนไว้วางใจ ไม่ใช่มานั่งแถลงข่าวร้องไห้ ขอความเห็นใจในวันที่ตัวเองตกที่นั่งลำบาก อย่าลืมว่าการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไม่ได้หมายความว่ามีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมาย แต่หมายถึงต้อง รับผิดชอบต่อทุกการกระทำของตัวเองมากกว่าคนทั่วไป เพราะนี่คือคนที่ประชาชนมอบอำนาจให้เข้าไปทำงานแทนพวกเขา แต่สิ่งที่ สส.ปูอัดทำมันตรงข้ามกับคำว่า “คิดถึงประชาชน” โดยสิ้นเชิง ส.ส. ที่ดีต้องทำตัวให้เป็นตัวแทนประชาชน ไม่ใช่ตัวแทนความเสื่อม หน้าที่ของ ส.ส. คือเป็นปากเสียงให้ประชาชน เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม ไม่ใช่เป็นข่าวฉาวที่คนทั้งประเทศต้องอับอาย ส.ส. ที่ดีต้อง มีศีลธรรม มีวินัย และมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่มีแต่ตำแหน่ง แต่ไร้ความน่าเชื่อถือ• ถ้าคิดถึงประชาชนจริง คงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเป็นข่าวฉาวแบบนี้• ถ้าคิดถึงประชาชนจริง คงไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงขนาดนี้• ถ้าคิดถึงประชาชนจริง คงทำตัวให้สมกับที่ประชาชนเลือก ไม่ใช่ทำลายความศรัทธาของประชาชน จากพฤติกรรมฉาวเรื่องเพศทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม ๆ ถ้าคิดถึงประชาชนจริง คงไม่ทำแบบนี้!

Read More

ดีกรีการเมืองไทยตอนนี้อาจเรียกได้ว่าร้อนแรงปรอทแทบแตก เมื่อ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาต่อ 44 อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล จากปมเสนอแก้ไข มาตรา 112 ว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การ ตัดสิทธิทางการเมือง หรือแม้แต่การดำเนินคดีทางกฎหมาย แต่เรื่องนี้ ไม่ได้จบแค่ที่ฝั่ง ส.ส. ฝ่ายค้าน เพราะล่าสุดพรรคประชาชนเตรียม ยื่นสอบจริยธรรม สุชาติ ตระกูลมหาเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 จากคลิปฉาวเจรจาในทำนองขอให้ยุติคำร้องของ บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) กับ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา คำถามใหญ่จึงเกิดขึ้นว่า… นี่คือกระบวนการตรวจสอบ หรือเป็นเกมเอาคืนกันแน่? ป.ป.ช. แจ้งข้อหาอดีต ส.ส. ฝ่ายค้าน แต่ตัวเองก็โดนสอบจริยธรรม 44 อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง จากการเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่ง ป.ป.ช. อ้างว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจนำไปสู่การถูก ถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมือง แต่ป.ป.ช. ที่ตรวจสอบคนอื่น วันนี้กลายเป็นฝ่ายถูกตรวจสอบเสียเอง เมื่อคนตรวจสอบ กลายเป็นผู้ถูกตรวจสอบสุชาติ ตระกูลมหาเกษมสุข ซึ่งเป็นคนมีอำนาจสูงสุดใน ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวในดีลลับกับวันนอร์ หลังจากมีคลิปเสียงหลุดออกมาที่ชวนให้สงสัยว่า มีการเจรจาต่อรองเพื่อให้ ป.ป.ช. ยุติการสอบสวนคดีของบิ๊กโจ๊ก การที่ สุชาติ คือคนที่มีหน้าที่ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนจริยธรรม ส.ส. แต่ตัวเขาเองกลับถูกกล่าวหาว่าทำผิดจริยธรรมเสียเอง นี่จึงเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่เกมการเมือง แต่มันคือปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่สั่นคลอน เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อจะตรวจสอบ สุชาติ ยังต้องส่งเรื่องให้วันนอร์ ซึ่งก็คือบุคคลในคลิปฉาวที่ถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมเช่นเดียวกัน เปิดรธน.ม. 236 กลไกตรวจสอบองค์กรอิสระ ที่เต็มไปด้วยช่องโหว่การยื่นสอบจริยธรรม สุชาติ อิงตาม มาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดขั้นตอนการกล่าวหา “กรรมการ ป.ป.ช.“ มีรายละเอียด ดังนี้ สส.หรือสว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ…

Read More

กระแส ชาวอิสราเอลหลั่งไหลเข้าปาย จ.แม่ฮ่องสอน กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของไทย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกมาเตือนผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ว่ารัฐบาลต้อง เร่งจัดระเบียบก่อนเมืองปายจะเปลี่ยนไปอย่างไร้การควบคุม “ต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ อาจตกเป็นเป้าของฝ่ายปาเลสไตน์ หรือถูกก่อกวนโดยกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันแต่เนิ่นๆ รัฐบาลจะรับมือไม่ทันแน่นอน!” สมช.ต้องรุก! หยุดปล่อยปายขยายตัวแบบไร้ทิศทาง พล.ท.ภราดร ย้ำว่า สมช. ต้องเป็นเจ้าภาพกำหนดแนวทาง และให้ กอ.รมน. กับผู้ว่าฯ บูรณาการเจ้าหน้าที่ความมั่นคงลงพื้นที่จัดระเบียบ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม “ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องท่องเที่ยวแล้ว! มีการเปิดร้านอาหาร คาเฟ่ โฮมสเตย์ เช่ารถ แต่ผิดกฎหมาย หรือใช้คนไทยเป็นนอมินี เราจะปล่อยให้เกิด ‘ธุรกิจเถื่อน’ โดยไม่ทำอะไรเลยหรือ?” ปายอาจเสียเอกลักษณ์ – ท่องเที่ยวไทยอาจพัง! อย่าลืมว่า จุดขายของปายคือวัฒนธรรมและความสงบ แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? สูบกัญชา เล่นดนตรีเสียงดัง ละเมิดกฎจราจร จัดปาร์ตี้ ลักขโมย ทะเลาะวิวาทกันในโรงพยาบาล แถมผู้หญิงแต่งกายไม่เหมาะสม มันกำลังไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ถ้ารัฐไม่เร่งมือ ไม่ใช่แค่เสียตลาดนักท่องเที่ยวชาติอื่น เพราะแม้แต่คนไทยก็เริ่มลังเลที่จะไปเที่ยวปายแล้ว! ปายไม่ใช่ที่เดียว! “รัสเซียไปภูเก็ต มาเฟียอินเดียยึดพัทยา จีนเทาบุกกทม.” พล.ท.ภราดร ยังชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของปายที่เดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ “ปายกำลังเป็นศูนย์กลางของอิสราเอล พัทยาเดิมเป็นรัสเซีย ตอนนี้เป็นมาเฟียอินเดีย ส่วนรัสเซียไปอยู่ภูเก็ต กรุงเทพฯ ก็เต็มไปด้วยกลุ่มทุนจีน แล้วถามว่าฝ่ายความมั่นคงทำอะไรอยู่? เรื่องนี้สำคัญมาก เราจะปล่อยให้ต่างชาติแทรกแซงอาชีพของคนไทยแบบนี้ไม่ได้ ปัญหานี้จะยิ่งแย่ถ้าไม่มีมาตรการคุมเข้มจริงจัง” ต้องจัดระเบียบ – สะสาง “ไทยเทา” และระบบส่วย! อดีตเลขาฯ สมช. ระบุด้วยว่า ถ้าไม่มีพวก ‘ไทยเทา’ หรือเจ้าหน้าที่นอกแถวรับส่วย ปัญหาคงไม่บานปลายขนาดนี้ ระบบมันผิดตั้งแต่โครงสร้าง เจ้าหน้าที่บางคนวิ่งหาประโยชน์ในพื้นที่มีรายได้ดี แต่รัฐไม่เคยคิดเรื่องกระจายอำนาจที่แท้จริง การทุจริตคือรากของปัญหานี้ รัฐบาลอย่าประมาท! ไทยอาจกลายเป็นจุดเสี่ยงก่อการร้าย “รัฐบาลต้องจริงจัง เพราะชาวอิสราเอลมีศัตรูทางการเมือง และไทยอาจกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อเหตุร้าย “เราเคยเห็นมาแล้วว่าการล้างแค้นบางครั้งทำในประเทศเขาไม่ได้ แต่อาจไปเกิดที่ประเทศอื่น ถ้าเกิดเหตุในไทย…

Read More

น.ส. สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงกรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เซ็นรับรองร่างกฎหมายบำนาญประชาชน 3 ฉบับ และร่างกฎหมายสหภาพแรงงาน 1 ฉบับ ซึ่งรวมถึงร่างพระราชบัญญัติบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า พ.ศ. ที่นำเสนอโดย นายเซีย จำปาทอง อดีตสส.พรรคก้าวไกล ว่า ไม่เซอร์ไพรส์! เพราะรัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญกับ “บำนาญปชช.” ไม่แปลกใจมากนัก เพราะการทำบำนาญไม่ใช่ทิศทางและแนวนโยบายของพรรครัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งจากการบริหารประเทศที่ผ่านมา ได้มีการแจกเงินหนึ่งหมื่นใช้ไป 3-4 แสนล้านบาท และในปีงบประมาณนี้ตั้งงบฯ จ่าายบำนาญให้ข้าราชการเกษียณประมาณ 3 แสนล้านบาท “ถามว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการดูแลประชาชนที่อยู่ในวัยสูงอายุหรือไม่ คำตอบคือน้อยมาก ที่เคยรับปากว่าจะเพิ่มเบี้ยยังชีพก็ยังไม่ได้ดำเนินการ “บำนาญ” ไม่ใใช่การสงเคราะห์ แต่คือหลักประกันชีวิต สำหรับเนื้อหาในร่างกฎหมายที่ถูกปัดตกไปเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดว่า “ไม่ใช่การสงเคราะห์” ผู้สูงอายุ แต่เป็นการสร้างหลักประกันทางรายได้เมื่อสูงวัยให้กับประชาชน ในลักษณะรัฐสวัสดิการ โดยอ้างอิงเส้นความยากจนไม่เกินสามพันบาทต่อปี แต่รัฐบาลไม่ทำ พูดอย่างไรก็คงไม่ทำ จึงต้องมองไปข้างหน้าว่า เราจะรณรงค์และสร้างความเข้าใจกับผู้สูงอายุในประเทศไทยว่า ต้องมองไปที่รัฐบาลหน้า “ต้องได้รัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่สนใจปัญหานี้ และเสนอนโยบายนี้อย่างชัดเจนเพื่อเราจะได้ติดตามได้” งบฯ 3 แสนล้านจ่าย ขรก.ได้ แต่งบบำนาญปชช.เป็นภาระ? ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า “บำนาญประชาชน” จะเป็นภาระงบประมาณมากเกินไปนั้น น.ส.สุรีรัตน์ ไม่คิดเช่นนั้น โดยเห็นว่า หากเทียบกับการที่รัฐบาลจ่ายบำนาญให้ข้าราชการ 4-5 แสนคน เป็นเงินราว 3 แสนล้านบาท ก็ต้องถามว่าถ้าคุณใช้เงินสามแสนล้านจ่ายให้ข้าราชการ ใช้เงินอีกสองแสนกว่าล้านทำระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การทำระบบเหล่านี้ลดความเหลื่อมล้ำได้ทันที ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียมเสมอภาค ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน สามารถนำเงินไปทำอย่างอื่นให้เศรษฐกิจเติบโตได้ เช่นเดียวกับระบบบำนาญใช้เงิน 3-4 แสนล้านบาท ถือเป็นระบบพื้นฐาน ถ้ารัฐขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการที่จะจ่ายภาษี ก็ต้องนำเงินภาษีเหล่านั้นมาเฉลี่ยคืนให้กับประชาชนที่ไม่ได้รับการคุ้มครองดูแลจากรัฐบาล “บำนาญ” ต้องเป็นสิทธิ ไม่ใช่แค่โชคชะตา ดันหวยบำนาญ “คิดง่ายเกินไป” ”มันไม่มีเหตุผลใดที่จะพูดว่าเป็นภาระงบประมาณ ในขณะที่คุณภาพชีวิตการทำให้ผู้สูงอายุอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน จะทำให้เกิดสปริงบอร์ดให้คนรุ่นนี้สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ เพราะไม่ต้องมีภาระดูแลพ่อแม่อย่างเดียว นี่คือเหตุผลที่ทั่วโลกก็มองว่าการจัดสวัสดิการที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน…

Read More