Author: Writer Publisher

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 2.7% ดีกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก การพลิกฟื้นของการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 3.0% หลังจากติดลบ -1.6% ในปี 2567 ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการฟื้นตัวของภาคการลงทุน คือ การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่ญี่ปุ่นในฐานะแหล่งลงทุนหลักในไทย โดยธุรกิจ นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มนี้ จีนแซงญี่ปุ่น! เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไทยสูงกว่าหลายเท่าตัว นาย กณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในการลงทุนไทย โดยข้อมูลล่าสุด FDI จากจีนในปี 2567 มีมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนถึง 1.75 แสนล้านบาท สูงกว่า FDI จากญี่ปุ่น 3-4 เท่าตัว “Krungthai COMPASS มองว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากจีน เนื่องจากมีศักยภาพที่โดดเด่นไม่แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนจากรายงานของ Milken Institute ที่จัดให้ไทยเป็นประเทศอันดับ 2 ในกลุ่ม Emerging and Developing Asia รองจากมาเลเซีย” การลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะหนุน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม – ความต้องการซื้อที่ดินและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ,ก่อสร้าง – ความต้องการสร้างโรงงานเพิ่มปีละ 0.85-1.05 แสนล้านบาทและ อสังหาริมทรัพย์ – ต่างชาติสนใจซื้อคอนโดฯ ในไทย โดยเฉลี่ย 4.7 ล้านบาทต่อยูนิต สูงกว่าคนไทยถึง 114% 5 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบเม็ดเงิน FDI ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เตือนว่า…

Read More

ปาย-ความมั่นคงไทย แรงกดดันใหม่ ที่ต้องเร่งรับมือก่อนเสียสมดุล รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” วิเคราะห์ถึงปัญหาชาวอิสราเอลหลั่งไหลไป อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีแนวโน้มกลายเป็นชุมชนขยายที่ภาครัฐยังไร้มาตรการรับมือ ส่งผลให้เกิดความกังวลในมิติด้านความมั่นคงและการบริหารจัดการประชากรข้ามชาติ ปัจจุบันมีชาวอิสราเอลเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ยปีละกว่า 200,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจรับใช้ชาติ และต้องการพักผ่อนจากความเครียดของภารกิจรบ โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอยู่ในช่วงสงบ ทำให้มีการเดินทางมาพักผ่อนจำนวนมาก หลายคนเลือกแต่งงานกับชาวไทย และบางส่วนเริ่มตั้งรกรากถาวร “ขณะนี้มีชาวอิสราเอลแต่งงานกับคนไทยหลายสิบครอบครัว และมีการจัดตั้งสถานประกอบศาสนกิจ ส่งผลให้เกิดชุมชนที่มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น หากไม่มีมาตรการควบคุมอาจเกิดปัญหาทางสังคมและความมั่นคงในอนาคต” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว มาตรการต้องมาทันก่อนวิกฤติรศ.ดร.ปณิธาน แนะนำว่ารัฐต้องเร่งกำหนดแนวทางควบคุมอัตราการขยายตัวของชุมชนชาวอิสราเอล และให้ประชาชนใน อ.ปาย มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีประชากรเพียงสองหมื่นกว่าคน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานอาจไม่สามารถรองรับได้ แม้ว่าการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ต้องมีแผนบริหารจัดการด้านความมั่นคงควบคู่ไปด้วย“ภาครัฐต้องทำงานร่วมกันระหว่างการเมืองท้องถิ่น ระดับชาติ สมช. และ กอ.รมน. เพื่อวางแนวทางรักษาความปลอดภัยและกำหนดแนวทางที่ชัดเจน หากมีชุมชนขนาดใหญ่ ควรพิจารณาตั้งสถานกงสุล หรือกำหนดมาตรการเข้ามาควบคุมให้เป็นระบบ” ความล้มเหลวของการบริหารความมั่นคง – บทเรียนที่รัฐต้องตื่นตัว“ไม่ใช่เรื่องคิดมากเกินไปหากจะมองว่าการตั้งรกรากของชาวอิสราเอลอาจนำมาซึ่งปัญหาความมั่นคง เพราะในอดีตมีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยง เช่น การเคลื่อนไหวของชาวอิสราเอลบนถนนสุขุมวิท หรือเหตุการณ์ที่สถานทูตอิสราเอลเคยเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย” รศ.ดร.ปณิธาน เตือน พร้อมระบุว่า ชุมชนมุสลิมสายจีนฮ่อที่มีอยู่เดิมในปาย ต้องได้รับการดูแลเพื่อให้เกิดความสมดุลและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางศาสนาและวัฒนธรรม การขยายตัวของกลุ่มอิสราเอลอาจทำให้เกิดปัญหาการอยู่ร่วมกัน หากไม่มีแนวทางการจัดการที่เหมาะสม ภูมิธรรมถูกวิจารณ์หนัก – ขาดวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคงรศ.ดร.ปณิธาน ยังตอบคำถามเกี่ยวกับเสียงวิจารณ์บทบาทของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่ายังไม่สามารถดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนายกฯ มากกว่าดูแลงานด้านความมั่นคงว่า “นายภูมิธรรมอาจมีภารกิจมากในฐานะรองนายกฯ แต่ต้องไม่ลืมว่าความมั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการกำกับดูแล 24 ชั่วโมง การลงพื้นที่และเฝ้าระวังต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากฝ่ายบริหาร บทบาทของนายภูมิธรรมควรปรับให้ชัดเจนขึ้น เพราะนายกฯ ก็มีทีมงานจำนวนมากช่วยอยู่แล้ว จึงควรหันมาดูแลเรื่องความมั่นคงอย่างจริงจัง เพราะภัยคุกคามข้ามชาติ รวมถึงสถานการณ์ในปาย และบริเวณชายแดน ที่กำลังทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ” TBC กับบทเรียนปราสาทตาเมือนธม – จุดอ่อนที่ต้องแก้ รศ.ดร.ปณิธาน ยังยกกรณีทหารกัมพูชามาร้องเพลงชาติที่ปราสาทตาเมือนธม ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ของคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC)…

Read More

ภาพพยาบาลถูกญาติผู้ป่วยตบหน้าต่อหน้าผู้คนกลางโรงพยาบาลระยองเรียกอารมณ์เดือดจากสังคมได้อย่างรวดเร็ว จนคลิปกลายเป็นไวรัล ทุกกระแสพุ่งเป้าไปที่คนก่อเหตุ เห็นใจพยาบาลที่ถูกทำร้ายร่างกายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เพราะคลิปไร้เสียง เห็นแต่ภาพการทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่เมื่อเสียงเริ่มถูกสะท้อนออกมาว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่พยาบาลคนดังกล่าวใช้คำพูดที่รุนแรงในลักษณะกึ่งตะคอกใส่ ญาติผู้ป่วยที่พาเด็กเข้าห้องไอซียูเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยติดเชื้อลงปอดก “ถ้าไม่พร้อมสูญเสียทั้งคู่ ก็เอาเด็กออกไป” นี่คือคำพูดที่ถูกถ่ายทอดจากปากของพยาบาลที่ถูกทำร้าย แต่คำพูดเดียวกันจากการบอกเล่าของผู้ก่อเหตุกลับแตกต่างออกไปแม้ความหมายจะคล้ายกันก็ตาม เขาเล่าว่าอาการหัวร้อนจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ถึงขั้นออกหมัดมาจากการที่พยาบาลพูดใส่หน้าภรรยาเขาว่า “เดี๋ยวก็ตายกันทั้งแม่ทั้งลูก” จากความรุนแรงในคำพูด พัฒนากลายเป็นความรุนแรงด้วยการทำร้ายร่างกาย พยาบาลผิดหรือไม่? ญาติคนไข้ผิดหรือเปล่า? ในมุมของพยาบาล พวกเขาต้องเผชิญกับภาระงานที่หนักหน่วง วันหนึ่งเจอผู้ป่วยนับสิบ ต้องให้ข้อมูล ต้องควบคุมสถานการณ์ และต้องแบกรับอารมณ์ของญาติที่วิตกกังวล การพูดตรงและเด็ดขาดอาจเป็นสิ่งที่คนในวิชาชีพนี้คุ้นเคย แต่การใช้คำพูดที่แรงเกินไป อาจทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายทางอารมณ์ ในมุมของญาติคนไข้ พวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ความเครียด ความกังวล และความกลัวว่าคนที่รักจะจากไป ทำให้ทุกคำพูดที่ได้ยินมีน้ำหนักมากกว่าปกติ คำเตือนที่ฟังดูเย็นชาอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย บาดลึกไปถึงจิตใจที่กำลังเปราะบางจากความกังวลว่าจะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด มีแต่ระบบที่ทำให้เราต้องปะทะกันเอง คำถามที่เราควรถามกันทุกคนคือ นอกจากการไม่ยอมรับความรุนแรงจากการทำร้ายร่างกาย และต้องดำเนินคดีกันไปตามกฎหมายแล้ว พยาบาลควรเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้? จะมีการปรับวิธีการสื่อสารหรือไม่? หรือว่ายังเป็นวัฒนธรรมเดิมที่คนไข้ต้องทำความเข้าใจเองว่าพวกเขาเหนื่อย ต้องอดทนกับคำพูดที่อาจฟังดูรุนแรง? พยาบาลต้องทำงานภายใต้ความกดดันสูง แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่อนุญาตให้เข้าข้างตัวเองว่า สื่อสารโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ป่วยและญาติกลายเป็นเรื่องปกติ การแจ้งข้อมูลสำคัญสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำเสียงข่มขู่หรือประชดประชัน แล้วประชาชนเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้? ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ ไม่ว่าคุณจะโกรธแค่ไหน การใช้กำลังไม่เคยแก้ปัญหาให้ดีขึ้น เราอาจไม่พอใจพยาบาลได้ สามารถเรียกร้องให้มีการปรับปรุงบริการได้ แต่การลงมือทำร้ายคนที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้เรื่องราวแย่ลงไปอีก ระบบสาธารณสุขไทยดีพอหรือยัง? นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาระหว่างคนไข้กับพยาบาล แต่เป็นปัญหาระบบที่บีบให้ทั้งสองฝ่ายต้องมาเผชิญหน้ากันในสถานการณ์ที่ไม่มีใครได้เปรียบ• บุคลากรทางการแพทย์ถูกกดดันให้ทำงานหนักเกินไป จนบางครั้งลืมไปว่าคำพูดของตัวเองส่งผลต่อจิตใจคนฟังแค่ไหน• ผู้ป่วยและญาติเข้าถึงข้อมูลที่ดีพอหรือไม่? พวกเขาเข้าใจมาตรการทางการแพทย์อย่างถ่องแท้ หรือแค่รับรู้ผ่านการบอกกล่าวที่รีบเร่งของพยาบาลที่ต้องดูแลคนไข้หลายสิบคนในเวลาเดียวกัน?• เรามีระบบป้องกันความรุนแรงในโรงพยาบาลที่ดีพอแล้วหรือยัง? หรือจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก? บทเรียนจากหมัดและคำพูดที่แทงใจ เหตุการณ์นี้ไม่ได้สอนแค่เรื่องความอดทนระหว่างพยาบาลกับญาติผู้ป่วย แต่มันสะท้อนปัญหาที่ลึกกว่านั้น เราต้องสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่ดีกว่าเดิม ในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนเจ็บป่วยและคนที่กำลังสูญเสีย เราต้องเลือกใช้คำพูดที่เยียวยามากกว่าทำร้ายกัน และทำให้โรงพยาบาลเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

Read More

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ประโยชน์ของวัคซีนได้รับการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปากมดลูกไปได้อย่างมาก” “งานวิจัยจากประเทศสวีเดน ศึกษาในกลุ่มประชากรกว่า 1.67 ล้านคน ชี้ให้เห็นว่า incidence rate ratio 0.12 (95% CI, 0.00 to 0.34) หากฉีดก่อนอายุ 17 ปี และ 0.47 (95% CI, 0.27 to 0.75) หากฉีดในช่วงอายุ 17-30 ปี” “เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine ปี 2020” “มะเร็งปากมดลูก” คืออะไรมะเร็งปากมดลูก คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นในเซลล์ปากมดลูก ซึ่งอยู่บริเวณช่วงล่างของมดลูกและเชื่อมต่อกับช่องคลอด ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดฮิวแมนแปปปิโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือเอชพีวี (HPV) ซึ่งมักจะติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งโรคนี้สามารถตรวจคัดครองมะเร็งปากมดลูก และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ในระยะแรกที่เป็นโรคนี้ มักจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ แต่ภายหลัง หากเป็นหนักขึ้น ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือ ตกขาวผิดปกติ และมีอาการปวดร่วมด้วย ปัจจัยเสี่ยง การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ อย่างเช่น โรคติดเชื้อคลามีเดีย (chlamydia) โรคหนองในแท้ (gonorrhea) โรคซิฟิลิส (syphilis) และโรคติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ (HIV/AIDS) ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดีจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่าคนทั่วไปโดยเฉพาะหากระบบภูมิคุ้มกันต่ำ สูบบุหรี่ การป้องกัน มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ เริ่มจากแนะนำให้ลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และงดสูบบุหรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (HPV vaccine)…

Read More

วันนี้ (19 ก.พ. 68) ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แถลง ว่าตามที่หนังสือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขออนุญาตจับกุมตัวนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.พรรคไทยก้าวหน้า เข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรคหนึ่ง และประธานสภา บรรจุเป็นวาระเรื่องด่วนในวันวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อขออนุญาตจากสภาผู้แทนราษฎร ความคืบหน้าในเวลา 13.35 น. นายไชยามพวาน ได้ส่งตัวแทนยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติขออนุญาตจับกลุ่มตัว เมื่อวาน (18 ก.พ.) ได้ขอเข้าพบพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาโดยระบุว่าสมัครใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในการเข้าพบพนักงานสอบสวนช่วงบ่าย จึงแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อทราบและพิจารณา สอดคล้องกันเมื่อวานนี้สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยรองผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 5 ปฏิบัติราชการตำรวจภูธรเชียงใหม่ ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่าตามที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้มีหนังสือขออนุญาตจับกุมตัว สส. ระหว่างสมัยประชุมนั้น ในเวลา 13:35 น. นายไชยามพวานได้ทั้งมอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนแล้ว และพนักงานสอบสวนด้านการสอบสวนจึงไม่มีความจำเป็นต้องขออนุญาตต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจับกุมในสมัยประชุม “ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทราบและพิจารณาดำเนินการผู้เกี่ยวข้องต่อไป โดยทางสำนักงานจะทำบันทึกเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทำเรื่องดังกล่าวออกจากวาระการประชุมตามข้อบังคับการประชุม 187 วรรคสอง เมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องวาระที่จะขออนุญาตดำเนินจับกุมสส. คือหมดความจำเป็นได้รับแจ้งจากศาลสถานีตำรวจภูธรเชียงใหม่ หมดความจำเป็นตามข้อบังคับมีอำนาจที่จะนำเรื่องดังกล่าวออกจากระเบียบวาระการประชุมได้“ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์กล่าว

Read More

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ แต่แทนที่รัฐบาลจะวางรากฐานให้ประชาชนมีหลักประกันความมั่นคงยามแก่เฒ่า กลับเลือกเดินเส้นทางสาย “ประชานิยม” ทุ่มเงินแจกสารพัด แต่เมื่อถึงคราวต้องเซ็นรับรอง “กฎหมายบำนาญประชาชน” ที่จะช่วยให้ผู้สูงวัยมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี กลับปัดตกแบบไม่แยแส! “ไม่เซ็น ไม่สน ไม่แคร์?”ล่าสุด นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ไม่รับรอง ร่างกฎหมายบำนาญประชาชน ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภา ทั้ง ๆ ที่ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายชัดเจน “ให้ผู้สูงอายุมีบำนาญพื้นฐานที่เพียงพอ ไม่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพในวัยเกษียณ” แต่นายกฯ กลับตีตก โดยไม่แม้แต่จะชี้แจงเหตุผลชัดเจน ว่า “ทำไมถึงไม่เซ็น?” แจกเงินทีเป็นหมื่น แต่เบี้ยยังชีพยังเท่าเดิม! ตลอดปีที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้า แจกเงินประชาชนอย่างไม่หยุดหย่อน• แจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (แต่หนี้ประเทศก็พุ่งไปด้วย)• เพิ่มเงินช่วยเหลือรายกลุ่ม ทั้งเด็กแรกเกิด แม่เลี้ยงเดี่ยว เกษตรกร ฯลฯ• อุดหนุนราคาสินค้า พยุงค่าไฟ ค่าแก๊ส ฯลฯ แต่พอมาถึง “ผู้สูงอายุ” ที่ต้องการบำนาญพื้นฐาน รัฐบาลกลับ ไม่สนใจ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังคง 600-1,000 บาท/เดือน แล้วแบบนี้จะให้พวกเขาอยู่ยังไง? รัฐบาลอ้าง “ไม่มีเงิน” แต่แจกเก่งทุกโครงการ เวลาพูดถึงบำนาญประชาชน รัฐบาลบอกไม่มีงบ ต้องรัดเข็มขัด ต้องคิดให้รอบคอบ แต่พอเป็นนโยบายแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลอนุมัติงบเป็นแสนล้านได้สบาย ๆ ถ้ารัฐบาลมีเงินแจกเงินดิจิทัล 2-3 แสนล้านบาท แล้วทำไมไม่มีเงินจ่ายบำนาญให้คนแก่? ในหลายประเทศ รัฐดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนแก่ ไม่ใช่แค่ช่วงเลือกตั้ง!• ญี่ปุ่น มีเงินบำนาญผู้สูงอายุขั้นต่ำกว่า 30,000 บาท/เดือน• สิงคโปร์ มีระบบเงินสะสมเกษียณที่รัฐบาลสมทบให้• ประเทศในยุโรป ผู้สูงอายุได้รับสวัสดิการดูแลสุขภาพแบบเต็มที่ แต่ในไทย ผู้สูงอายุถูกปล่อยให้หาเลี้ยงตัวเองต่อไป บางคนต้องออกมาทำงานล้างจาน ขายของข้างถนน ทั้งที่อายุ 70-80 ปี ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ขยัน แต่เพราะระบบรัฐไม่เคยให้หลักประกันชีวิตที่มั่นคงแก่พวกเขา! กฎหมายบำนาญไม่เซ็น ทีประชานิยมละแจกไม่หยุด ถ้าเป็นนโยบายแจกเงินที่ช่วยกระตุ้นคะแนนเสียง ทำอย่างไว แต่ถ้าเป็นนโยบายระยะยาวที่สร้างหลักประกันให้ประชาชน กลับถูกเมินเฉย! หรือนี่คือบทสรุปของรัฐบาลแพทองธาร?

Read More

การเมืองไทยหนึ่งวันพันกว่าเรื่องของแท้ โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามาเกี่ยว ล่าสุด น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ออกโรงซัด “งบประกันสังคมถูกใช้ฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่าเงินของผู้ประกันตน” งานนี้ทำเอา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ต้องรีบออกมาปัดฝุ่นเอกสาร ป้องกันตัวเองแบบไม่ให้ถูกน็อกกลางเวที! มาดูกันว่า หมัดต่อหมัด ในศึกงบประกันสังคมรอบนี้ ใครออกอาวุธได้เฉียบคมกว่ากัน 🥊 หมัดที่ 1: “เงินค่าตั๋วเครื่องบินหรู ๆ เอามาจากไหน?” 👉 รักชนก ซัดหมัดตรง: แฉผู้บริหารสำนักงานประกันสังคมเดินทางไปดูงานต่างประเทศ โดยใช้เงินของผู้ประกันตน แต่กลับเลือกบิน ชั้นเฟิร์สคลาส หรูหราสบายอารมณ์ “เงินประกันสังคมควรเอาไปช่วยคนที่เดือดร้อน ไม่ใช่เอาไปซื้อความสะดวกสบายให้ผู้บริหาร!” 👊 พิพัฒน์ ตั้งการ์ดรับ แจงว่า “หลักเกณฑ์กำหนดไว้ชัดเจน” การเดินทางของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หรือข้าราชการระดับสูงต้องเป็นไปตามระเบียบ ไม่มีใครนั่งเฟิร์สคลาสกันมั่ว ๆ แน่นอน! 🔥 คะแนนหมัดนี้: ประชาชนเริ่มเอียงข้างรักชนก เพราะเรื่อง “การใช้เงินอย่างประหยัด” เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากเห็นจากภาครัฐ! 🥊 หมัดที่ 2: “ปฏิทินประกันสังคม 400 ล้าน – คุ้มมั้ย!?” 👉 รักชนก ซัดปลายคาง: สำนักงานประกันสังคมทุ่มงบทำปฏิทินไป 400 ล้านบาทใน 8 ปี (เฉลี่ยปีละ 50 ล้านบาท) “แค่ปฏิทินต้องใช้งบขนาดนี้เลยเหรอ? เอาเงินไปพัฒนาระบบให้ผู้ประกันตนเข้าถึงสิทธิ์ตัวเองง่ายขึ้นไม่ดีกว่าเหรอ?” 👊 พิพัฒน์ หลบฉาก ชี้แจงว่างบ 400 ล้านนั้นเป็นการกระจายไป 8 ปี ไม่ใช่การใช้เงินมหาศาลในปีเดียว “ปฏิทินไม่ได้มีไว้แค่แจกสวย ๆ แต่มันคือเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญกับแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ยาก” 🔥 คะแนนหมัดนี้: คนเมืองอาจคิดว่าปฏิทินไม่จำเป็น แต่แรงงานต่างจังหวัดอาจเห็นว่ามีประโยชน์จริงหรือ? ที่สำคัญงบจัดทำปฏิทินต้องแพงขนาดนี้เลย ประชาชนน่าจะให้คะแนนหมัดหนักกับรักชนกมากกว่า 🥊 หมัดที่…

Read More

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศ โดยกฎหมายฉบับนี้มีการปรับปรุงหลักการสำคัญและเพิ่มอำนาจให้ สำนักงาน ป.ป.ท. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) สามารถดำเนินการไต่สวนและดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมทุจริตและประพฤติมิชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔎 5 จุดเปลี่ยนสำคัญของกฎหมายใหม่ 1) นิยามใหม่ของ “ประพฤติมิชอบ” ขยายขอบเขตอำนาจ ป.ป.ท.• เพิ่มการฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็น ฐานความผิดประพฤติมิชอบ (ไม่รวมถึงทุจริตต่อหน้าที่)• เปิดทางให้ ป.ป.ท. ดำเนินคดีวินัยและอาญาได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานอื่น 2) ป.ป.ช. ส่งสำนวนคดีทุจริตให้ ป.ป.ท. ดำเนินการได้เร็วขึ้น• กำหนดแนวทางให้สามารถส่งสำนวนทั้งแบบมอบหมายทั่วไปและแบบเฉพาะเรื่อง ลดความล่าช้าในการดำเนินคดี 3) เร่งรัดการไต่สวน ไม่ให้ยืดเยื้อเกิน 5 ปี• ป.ป.ท. ต้องเริ่มไต่สวน ภายใน 60 วัน หลังได้รับเรื่อง และต้องแล้วเสร็จ ภายใน 2 ปี• กรณีซับซ้อนสามารถขยายได้ สูงสุด 3 ปี และหากเกี่ยวข้องกับต่างประเทศอาจขยายได้ถึง 5 ปี แต่ต้องมีเหตุผลชัดเจน 4) กำหนดกรอบเวลาเอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่รัฐ• ผู้บังคับบัญชาต้อง ลงโทษทางวินัยภายใน 60 วัน หลัง ป.ป.ท. มีมติชี้มูล หากไม่ทำโดยไม่มีเหตุผล ถือว่าเป็นความผิดวินัยร้ายแรง 5) ป.ป.ท. มีอำนาจออกหมายจับและจับกุมผู้กระทำผิด• คณะกรรมการ ป.ป.ท. สามารถยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกชี้มูล ได้โดยตรง หากพบพฤติการณ์หลบหนี• สามารถมอบหมายให้พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ ดำเนินการจับกุมได้ทันที ป.ป.ท. ได้อำนาจเพิ่ม แต่ยังมีจุดที่ควรจับตา จุดแข็งของกฎหมายฉบับนี้ คือการให้ ป.ป.ท. มีอำนาจเต็มที่ในการจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต โดยไม่ต้องรอขั้นตอนที่ซับซ้อนจากหน่วยงานอื่น ทำให้การปราบปรามการโกงเร็วขึ้น แต่ยังมีข้อกังวล เช่น การกำหนดขอบเขต “ประพฤติมิชอบ” ที่กว้างขึ้น อาจทำให้เกิดการใช้กฎหมายในทางที่ผิดเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือใช้เป็นเครื่องมือกดดันเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่ม อีกจุดที่น่าสนใจคือ แม้…

Read More

นักวิชาการด้านกฎหมายเปิดเวทีสาธารณะ ถกคำพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา กสทช.พิรงรอง ตั้งคำถามถึงหลักนิติศาสตร์และผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญร่วมรับฟังการวิเคราะห์คำพิพากษากรณี “ทำไมจำคุกไม่รอลงอาญา?” หลังศาลมีคำตัดสินให้ กสทช.พิรงรอง ศูนย์วิชาการด้านโทรคมนาคม ผู้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์สาธารณะ ต้องโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา การเสวนาดังกล่าวจะมี นักวิชาการด้านกฎหมายระดับแนวหน้าของไทย ร่วมอภิปรายและตั้งข้อสังเกตทางวิชาการต่อคำพิพากษา โดยเฉพาะประเด็นที่อาจส่งผลต่อหลักการคุ้มครองผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสาธารณประโยชน์ 📌 รายละเอียดเวทีเสวนา 📅 วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568⏰ เวลา 13.30 – 15.30 น.📍 ห้องประชุมจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์📽 รับชมผ่าน Facebook Live เพจ ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 🔎 ผู้ร่วมเสวนา:• ผศ.ดร. รณกรณ์ บุญมี (ศูนย์กฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์)• ศ.ดร. ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ (อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)• ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์) 📌 จุดที่ต้องจับตา: จำคุกไม่รอลงอาญา – มีอะไรที่ต้องตั้งคำถาม? 🔹 หลักกฎหมายที่ใช้ตัดสินกรณีนี้ถูกต้องและเป็นธรรมเพียงใด?🔹 มีบรรทัดฐานใดที่รองรับการจำคุกโดยไม่รอลงอาญาสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสาธารณะ?🔹 ผลกระทบต่อการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น กสทช. และเจ้าหน้าที่รัฐที่กล้าทำหน้าที่เพื่อประชาชน? 📢 อย่าพลาด! ใครที่สนใจหลักนิติศาสตร์ ความยุติธรรม และสิทธิในการบริหารงานเพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องติดตาม! ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

เมื่อเร็วๆ นี้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวาระแรก โดยกฎหมายฉบับนี้มุ่งกำหนดแนวทางและมาตรฐานในการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งรวมถึงกาสิโน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.• กำหนดนิยามธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรครอบคลุมสถานที่ที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว การพักผ่อน และการสันทนาการ รวมถึงกาสิโน• เงื่อนไขการเข้าใช้กาสิโนสำหรับคนไทย• ต้องลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด• ต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน• ต้องผ่านการตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด• อัตราค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง• ค่าเข้ากาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย: ครั้งละ 5,000 บาท• ค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต: 100,000 บาทต่อครั้ง• ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรก: ฉบับละ 5,000 ล้านบาท• ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี: 1,000 ล้านบาทต่อปี• ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต: 5,000 ล้านบาทต่อฉบับ• การเก็บภาษีจากธุรกิจกาสิโน• อัตราภาษีที่แน่ชัดยังไม่ได้กำหนดในร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเสนออัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา อำนาจของคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรมีอำนาจหน้าที่สำคัญ เช่น• กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขการเข้าใช้กาสิโนสำหรับคนไทย• เสนออัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนต่อคณะรัฐมนตรี• กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกใบอนุญาต การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรของผู้รับใบอนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต• กำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมและการควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ควรมีแต่ไม่มีในร่างฯ นี้ ไม่มีมาตรการคุ้มครองหรือช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาติดการพนันแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและเงินฝากขั้นต่ำ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการบำบัดหรือป้องกันผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการพนัน ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการฟอกเงินอย่างเข้มงวดแม้จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบที่มาของเงินทุน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในกาสิโน ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณากาสิโนในประเทศควรกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจำกัดการโฆษณากาสิโนเพื่อป้องกันการชักจูงประชาชนเข้าสู่การพนัน ไม่มีมาตรการกำกับดูแลด้านเทคโนโลยีและธุรกรรมทางการเงินควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมและการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงของการโกงหรือการฟอกเงิน สรุป แม้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดในการเข้าถึงกาสิโนสำหรับคนไทย อย่างไรก็ตาม ยังขาดรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมผลกระทบทางสังคม การป้องกันการฟอกเงิน และแนวทางกำกับดูแลธุรกิจให้มีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายได้ของรัฐจากเรื่องนี้ด้วย

Read More