- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่เริ่มคลายกังวลจากโควิด-19 กลับกลายเป็นว่า “ไข้หวัดใหญ่” คือโรคที่ทำให้คนไทยป่วยมากที่สุดในตอนนี้ สองเดือนติดกันแล้ว ที่จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่พุ่งสูงกว่าโควิด-19 วันนี้ (10 ก.พ. 68) นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจ ออกมาเตือนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเปิดเผยข้อมูลการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธเก็บสถิติไว้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา “ขณะนี้ไข้หวัดใหญ่กลับมาแรงกว่าที่หลายคนคิด สองเดือนแล้วที่จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในไทยสูงกว่าโควิด-19” หมอมนูญระบุ พร้อมให้ข้อมูลจากตัวเลขล่าสุดของโรงพยาบาลวิชัยยุทธ พบว่าในเดือนมกราคม มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ถึง 232 ราย ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงเหลือเพียง 44 ราย ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น่าตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ คนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าโควิดเป็นภัยหลัก แต่แท้จริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่กำลังเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด ไวรัสทางเดินหายใจระบาด หน้าหนาวทำให้หนักขึ้น ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจแพร่กระจายง่ายขึ้น นอกจากไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังมีไวรัสตัวอื่นๆ ที่ยังพบได้ต่อเนื่อง เช่น ไรโนไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดธรรมดา hMPV ที่มักพบในเด็ก และ RSV ซึ่งมักจะระบาดหนักในช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ที่น่าสนใจคือ ไวรัสโควิด-19 ที่เคยเป็นปัญหาหลักของโลกกลับมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ โนโรไวรัส และโรตาไวรัส ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ยังพบได้บ่อยในช่วงนี้ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อโนโรไวรัส 21 ราย และโรตาไวรัส 20 ราย ไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นักแสดงไต้หวันเสียชีวิตเพราะสายพันธุ์ A ที่ทำให้คนไทยเริ่มกังวลมากขึ้นคือ ข่าวการเสียชีวิตของนักแสดงหญิงชาวไต้หวันวัย 48 ปี ซึ่งเสียชีวิตจาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หลังจากเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นโรคที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อันตรายถึงชีวิตได้ “ขณะนี้คนไทยเริ่มหันมาสนใจการระบาดของไข้หวัดใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังจะเดินทางไปญี่ปุ่น เพราะมีรายงานการระบาดหนัก” หมอมนูญกล่าว เดินทางต่างประเทศช่วงนี้ ต้องป้องกันตัวให้ดี หมอมนูญ เน้นย้ำว่า ใครที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ควรป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่ให้ดี เพราะเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ สิ่งที่ควรทำคือฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก่อนเดินทาง สวมหน้ากากอนามัยในที่แออัดและล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ออกโรงวิจารณ์ภาครัฐอย่างเผ็ดร้อน หลังจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แม่สอด เตรียมเปิดศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศในวันนี้ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาค้ามนุษย์ที่กำลังระอุ “เอาหล่ะ ดีกว่าไม่ทำ แต่ทำแล้วต้องทำให้ดี!” กัณวีร์ ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมตั้งคำถามว่า รัฐมีความพร้อมจริงหรือไม่ ในการดูแลเหยื่อค้ามนุษย์กว่า 6,500 คน ที่รอการช่วยเหลือ เปิดข้อมูลเหยื่อ 6,500 คน ไทยยังล่าช้า กัณวีร์เผยว่า ข้อมูลของเหยื่อเหล่านี้ถูกส่งให้รัฐบาลไปตั้งแต่ 5 เดือนที่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่เมื่อวานนี้ มีผู้เสียหายชาวเคนย่าหนีออกมาได้เอง โดยไม่มีหน่วยงานไทยเข้าช่วยเหลือเลย นี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐยังทำงานช้าเกินไป! “แค่ส่งหนังสือไปถามสถานทูตว่าคนพวกนี้เป็นใคร คุณยังทำกันหรือยัง?” กัณวีร์ตั้งคำถามพร้อมระบุว่า การพิสูจน์ตัวตนของเหยื่อเป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดแยกและให้ความช่วยเหลือ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ควรดำเนินการร่วมกันให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ ความสอดคล้องของศูนย์ประสานงาน ตปท. กับศูนย์สั่งการชายแดนของผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าจะสามารถ ทำงานร่วมกันได้จริงหรือไม่
เป็นปฏิบัติการอรัญ 68 Seal Border ระเบิดสะพานโจร Call center ทลายซิม สาย เสา สัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ที่ส่งไปปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นความร่วมมือของตำรวจภูธรภาค 2 และ กสทช. ที่เรียกว่าปฏิบัติการล้มเสา ตัดสาย ทำลายซิม เพื่อหวังตัดเส้นเลือดใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงคนไทย เพิ่มเติมจากการตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ บุคคลเป้าหมาย ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ดำเนินกลยุทธ์ป้องกันปราบปรามการกระทำ โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์ โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 บอกวันนี้จะตัดสัญญาณสื่อสาร จากผู้เช่าฝั่งไทยที่ปล่อยสัญญาณให้เป็นเครื่องมือประกอบอาชญากรรม เป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงคนไทย พร้อมกับตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่ไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน โดยทำให้สัญญาณลดความถี่ลง เพื่อให้ใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมๆ กับการซีลชายแดนที่จะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และขยายขอบเขตพื้นที่ไปอีกเรื่อยๆ ขณะที่ตัวแทน กสทช. ระบุพบเสาสัญญาณสูงเกินความจำเป็นหรือสูงถึง 50-60 เมตร ซึ่งต้องเอาลงแน่นอน พร้อมกำหนดความสูงเสา และกำหนดกำลังส่งสัญญาณใหม่ เพื่อให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเท่านั้น เบื้องต้นตามแนวเสาส่งสัญญาณ 50-100 เมตรจากชายแดนจะต้องเอาออกทั้งหมด รวมถึงสายส่งสัญญาณจะดำเนินการตัดทันทีที่พบว่าผิดปกติ ซึ่งเกตเวย์มี 4 เจ้าใหญ่ ส่วนรายเล็กจากฝั่งปอยเปต 13 จุดดังนั้นถ้าเกิน 17 จุดนี้ก็ตัดทันที ส่วนซิมโทรศัพท์ จะเชิญโอเปอเรเตอร์มาจัดระเบียบใหม่
เวทีสาธารณะ ครป. เปิดประเด็นร้อน กรรมการ กสทช. ถูกจับผิด สงสัยข้อมูลภายในรั่วไหล ในการเสวนาสาธารณะที่จัดโดยเครือข่ายภาคประชาชน เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สภาองค์กรของผู้บริโภค สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เครือข่ายศิลปินเพื่อประชาธิปไตย สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ร่วมกันอภิปรายในเวทีสาธารณะ เรื่อง ‘ความเห็นภาคประชาชนต่อคดี ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช.’ ที่ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากกรณีออกหนังสือเตือนไปยังทีวีดิจิทัลกรณี True ID นำเนื้อหาไปเผยแพร่้ในแพลตฟอร์ม OTT แล้วมีโฆษณาคั่น ซึ่งขัดกฎมัสต์แคร์รี ประเด็นที่ทำให้หลายคนสะดุ้งคือ มีการตั้งข้อสงสัยว่าอาจมี “สปาย” ภายใน กสทช. ที่ล้วงข้อมูลการประชุมภายในองค์กร และข้อมูลเหล่านี้อาจรั่วไหลออกไปเพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจและทางการเมือง เทปประชุมหลุดไปถึงใคร? ใครได้ประโยชน์? น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน แะสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา เปิดประเด็นว่า ข้อมูลจากการประชุมของ กสทช. ซึ่งควรเป็นเรื่องภายในองค์กร กลับไปอยู่ในมือของกลุ่มที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน เกิดคำถามว่า ใครเป็นผู้ปล่อยข้อมูล และปล่อยไปเพื่ออะไร? “หากข้อมูลลับขององค์กรที่มีอำนาจกำกับดูแลสื่อโทรคมนาคมขนาดใหญ่ยังรั่วไหลขนาดนี้ แล้วประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการทำงานของ กสทช. จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและไม่มีการแทรกแซง?” รสนากล่าวบนเวทีพร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ กลไกความปลอดภัยของข้อมูลภายใน กสทช. และตรวจสอบว่า มีเจ้าหน้าที่คนใดเกี่ยวข้องกับการล้วงข้อมูลหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะทำงานด้วยความเป็นกลาง ไม่ถูกชี้นำจากกลุ่มทุนหรืออำนาจทางการเมือง เรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน? ทำไมประชาชนต้องสนใจ? หากมีการรั่วไหลของข้อมูลภายในองค์กรอย่าง กสทช. ซึ่งมีอำนาจควบคุมกิจการโทรคมนาคม สื่อ และดิจิทัล มันอาจหมายถึงการบิดเบือนการตัดสินใจที่มีผลต่ออุตสาหกรรมมูลค่าหลายแสนล้านบาท รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของประชาชน กรณีนี้ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาภายในองค์กร แต่มันคือปัญหาของโครงสร้างอำนาจและความโปร่งใสของภาครัฐ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมในวงการสื่อสาร และที่สำคัญ—ต่อสิทธิของผู้บริโภคทุกคน อะไรคือทางออก? น.ส.รสนา เรียกร้องให้ มีการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลภายใน กสทช. และตรวจสอบว่ามีบุคคลใดที่อาจเป็นผู้ให้ข้อมูลรั่วไหล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก ขณะที่ภาคประชาชนเอง ต้องจับตาการทำงานของ…
โดยการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. วันพรุ่งนี้ จะมีนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน นอกจากติดตามสถานการณ์หลังระงับจ่ายไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต ส่งออกน้ำมัน ใน 5 พื้นที่ติดชายแดนไทย-เมียนมา สกัดวงจรขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว เรื่องหนึ่งคือแผงโซลาร์เซลล์ ขนย้ายข้ามประเทศเพื่อเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า ที่กระทรวงพาณิชย์เตรียมเสนอรายงานเพิ่มเติม หลังทางการไทยขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการไม่นำออกไปจำหน่าย หรือ ขนย้ายข้ามประเทศผ่านศุลกากร ต้องติดตามว่าในที่ประชุมจะมีมาตการเข้มข้นอีกหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าส่งออกไปผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องห้ามส่งออกเป็นการชั่วคราวก่อนหรือไม่ หากเห็นชอบและคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นด้วยแล้วก็จะใช้มาตรการห้ามส่งออกตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้ ขณะที่เมื่อวานนี้ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ตชด. ตำรวจ สภ.แม่สอด และฝ่ายปกครองลาดตระเวน และเฝ้าตรวจบริเวณพื้นที่รับผิดชอบริมแม่น้ำเมย ต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก พบบุคคลต้องสงสัย 2 คน เดินแบกวัตถุต้องสงสัย ท่าทางมีพิรุธ จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่ทั้ง 2โยนวัตถุต้องสงสัยลงบริเวณชายป่า และหนีข้ามแม่น้ำเมยไปยังฝั่งเมียนมา ตรวจสอบ พบว่าเป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า (โซลาร์เซลล์) จำนวน 5 กล่อง จึงได้ดำเนินการตรวจยึด เพื่อตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกระแสข่าวการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงสงกรานต์นี้ว่า “ยังต้องดูเรื่องความเหมาะสม”ส่วนปัจจัยอะไรที่ยังทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเดินทางกลับไม่ได้ นายทักษิณ ระบุว่า มีหลายปัจจัย นั้น ถ้าดูการตอบคำถามของนายทักษิณต่อสื่อมวลชนในเรื่องนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่านายทักษิณไม่มั่นใจว่า จะพาน้องสาวกลับมาก่อนสงกรานต์ตามที่เคยประกาศไว้ เพราะดีลการเมืองเดิมที่เคยตกลงไว้นั้น น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงและคลาดเคลื่อนไป เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่มั่นใจในบทบาทของนายทักษิณ ที่ช่วงหลังนี้มักจะเคลื่อนไหวแบบล้ำเส้น หรือออฟไซด์ อยู่เป็นประจำ และพยายามสื่อให้สังคมเห็นว่าตัวเองเป็นคนมีเส้น สามารถเจรจาหรือต่อรองเงื่อนไขกับพระเจ้าได้ ตอนที่ปราศรัยบนเวทีหาเสียงนายกอบจ. ศรีสะเกษ จึงทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ จึงยังไม่มีสัญญาณไฟเขียวให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางกลับประเทศไทย ตามที่นายทักษิณต้องการและจะต้องรอพิสูจน์ท่าทีและความเคลื่อนไหวของนายทักษิณต่อไป ส่วนที่นายทักษิณบอกว่า ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางกลับประเทศไทยไม่ได้ในเร็วๆ นี้ น่าจะมาจากปัจจัยเหล่านี้คือ 1.บทบาทของนายทักษิณเอง ที่แสดงบทบาทเกินขอบเขต ต้องการ แสดงบทบาทเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด 2.ผลจากการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่พ่ายแพ้หลายจังหวัด ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขาดความไว้วางใจ ที่จะมอบให้เป็นตัวแทนสู้กับพรรคประชาชน 3.การเตรียมการข้อกฎหมาย ที่จะใช้อภินิหารทางกฎหมาย ยังไม่มีความพร้อม และฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่เห็นชอบ ถ้ากลับมาตอนนี้อาจต้องติดคุกจริงก่อน 4.ประเด็นของนายทักษิณเรื่องชั้น 14 ยังเป็นปัญหาคาใจของสังคม และยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของ ปปช.อยู่ ซึ่งผลการตรวจสอบยังไม่รู้ว่าจะเป็นการป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ 5.ถ้าหากนำนางสาวยิ่งลักษณ์กลับมา แบบนักโทษเทวดา ก็จะเป็นนักโทษนางฟ้าอีกคน ก็ยิ่งจะเพิ่มกระแสความไม่พอใจของสังคมมากขึ้นอีก ส่วนคำถามว่า นางสาวยิ่งลักษณ์จะได้เดินทางกลับมาทันภายในปีนี้หรือไม่นั้น นายทักษิณ ตอบว่า “กำลังดูอยู่ ความจริงเขาอยากกลับตั้งแต่เมื่อวาน” ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทั้งนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์อยากกลับประเทศไทยมากๆ แต่เงื่อนไขทั้งหมดอยู่ที่นายทักษิณ จะเจรจาหรือเปิดดีลใหม่กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมสำเร็จหรือไม่
รุ่นพี่ LGBTQ สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง พลังโซเชียลกดดันสู่ความยุติธรรม หรือแค่ไฟที่เผาไหม้ทุกอย่าง? กลางดึกของวันหนึ่งที่ควรจะเป็นค่ำคืนธรรมดาในรั้วมหาวิทยาลัย กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด รุ่นน้องคนหนึ่งถูกสาดด้วยน้ำซุปร้อนจนผิวพุพอง โดยฝีมือของรุ่นพี่กลุ่ม LGBTQ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกัน ไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดัน ถูกบังคับให้ถอนวิชาเรียน และถูกข่มขู่รีดเงินถึง 50,000 บาท แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เงียบหายไปเหมือนอีกหลายคดี คือพลังของ โซเชียลมีเดีย หลังโพสต์แรกถูกแชร์ออกไป ความโกรธแค้นของชาวเน็ตก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว #รุ่นพี่สาดน้ำร้อน พุ่งติดเทรนด์ มีการขุดข้อมูล เปิดโปงพฤติกรรมรุ่นพี่ กดดันมหาวิทยาลัยให้ดำเนินการ ข้อมูลมากมายถูกเผยแพร่แบบเรียลไทม์จนในที่สุด LGBTQ กว่าพันคนรวมตัวกันหน้าคอนโดของผู้ก่อเหตุ กดดันให้รับผิดชอบ ล่าสุดรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ ได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านอินสตาแกรม โดยยอมรับผิดและพร้อมจะชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ ย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบวินัยของมหาวิทยาลัย เมื่อโซเชียลกลายเป็นศาลเตี้ย – ดาบสองคมของโลกยุคใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าทุกวันนี้ พลังของโซเชียลมีเดียสามารถทำให้เรื่องราวที่อาจถูกปิดเงียบ กลายเป็นกระแสสังคมได้ในพริบตา มันทำให้ผู้มีอำนาจไม่สามารถเพิกเฉย และกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ในขณะเดียวกัน พลังนี้ก็เป็นดาบสองคม เมื่อโซเชียลไหลเร็วเกินไป ข้อมูลบางส่วนอาจผิดเพี้ยน การไล่ล่าทางออนไลน์ (doxxing) การรุมประณามโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และการลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาถูกโจมตี ก็เป็นอีกด้านที่น่ากลัว หลายคนอาจบอกว่า “ก็สมควรแล้ว” แต่หากเราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ จากความยุติธรรม มันจะกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหรือเปล่า?
ตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดแบงก์ชาติ) ยังไม่มีข้อสรุป หลังจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ถูกเสนอชื่อให้รับตำแหน่ง ต้องชวดไปเพราะ คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย ทำให้กระทรวงการคลังต้องเร่งหาตัวเลือกใหม่ ปมปัญหาหลักที่ทำให้นายกิตติรัตน์ไปต่อไม่ได้ เป็นเพราะ เคยดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในช่วงที่ผ่านมา และตามกฎหมาย คนที่เคยมีบทบาททางการเมืองต้องเว้นวรรค อย่างน้อย 1 ปี ก่อนเข้ารับตำแหน่งในแบงก์ชาติ แต่กรณีของนายกิตติรัตน์นั้น เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษานายกฯ และประธานคณะกรรมการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ซึ่งมีอำนาจในการอำนวยการบริหารประเทศ ถือเป็น “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” และพ้นตำแหน่งไม่ถึง 1 ปี ซึ่งเป็นคุณสมบัติต้องห้าม ทำให้เขาวืดเก้าอี้ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติไป ทักษิณบอก อีก 2 วันรู้เรื่องระหว่างที่ยังไม่มีคำตอบว่าใครจะเป็นคนใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปอวยพรวันเกิด นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.68 ว่าเขาได้พูดคุยกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคาดว่า ภายใน 2 วัน จะมีคำตอบว่าใครจะนั่งเก้าอี้นี้ นั่นหมายถึงว่าไม่เกินวันอังคารนี้ทุกอย่างน่าจะมีความชัดเจน “เรื่องนี้เป็นกระบวนการของแบงก์ชาติและกระทรวงการคลัง ที่ต้องเสนอและให้คณะกรรมการสรรหาเลือก ผมเองก็ไม่ทราบว่าเขาจะเสนอใคร” นายทักษิณกล่าว การเมืองกับตำแหน่งอิสระตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เป็นหนึ่งในเก้าอี้ที่มักมีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง เพราะมีผลต่อการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ การบริหารนโยบายการเงิน และการกำกับดูแลระบบธนาคารของประเทศ แม้โดยหลักแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเป็นองค์กรอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง แต่ในอดีตก็เคยมีความพยายามผลักดันคนใกล้ชิดรัฐบาลเข้ามาดำรงตำแหน่ง กรณีของนายกิตติรัตน์เอง ถูกจับตาว่ารัฐบาลอาจพยายามดันบุคคลที่มีความใกล้ชิดทางการเมืองเข้ามาในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งกฤษฎีกาก็ได้ตีกรอบชัดเจนว่า ไม่สามารถทำได้ ตามกฎหมาย แล้วใครจะมา?มีรายงานว่ากระทรวงการคลังจะเสนอชื่อ “สมชัย สัจจพงษ์” แทน “กิตติรัตน์” ตามการเสนอของทีมที่ปรึกษานายกฯ บ้านพิษณุโลก โดย “สมชัย” ถือเป็นลูกหม้อกระทรวงการคลัง เคยเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ในยุคแรก ๆ ของรัฐบาล คสช. และยังมีสัมพันธ์ที่ดีกับทีมที่ปรึกษานายกฯ บ้านพิษณุโลกด้วย ส่วนแบงก์ชาติที่มีโควตาเสนอชื่อได้ 2 คน มีรายงานว่าจะเสนอเพียงชื่อเดียวคือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ ศาสตราจารย์ประจำสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้…
ปัญหาการทุจริตเป็นวิกฤตที่กระทบต่อการพัฒนาของทุกประเทศ แต่แนวทางการรับมือกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยจะเห็นได้ว่า จีน ใช้มาตรการที่เข้มข้น ไล่ล่าและลงโทษผู้กระทำผิดแบบไม่ปรานี ขณะที่ ไทย แม้จะมีหน่วยงานต่อต้านการทุจริต แต่กลับเผชิญกับอุปสรรคด้านโครงสร้างและความไม่จริงจังของกลไกภาครัฐ คนระดับวีวีไอพีที่คดโกงยังลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย The Publisher จะพาไปสำรวจว่า จีนเดินหน้ากวาดล้างคอร์รัปชันอย่างไร ขณะที่ไทยยังติดหล่มปัญหาอะไรบ้าง โดยในส่วนกลยุทธการปราบปรามของจีนอ้างอิงข้อมูลจากรายงานการประชุม APEC Anti-Corruption and Transparency Experts’ Working Group ครั้งที่ 38 ที่จัดขึ้น ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 “จีน: ไล่ล่าจับจริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพ” ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รัฐบาลจีนได้เปิดฉากสงครามกับการทุจริตอย่างจริงจัง มีการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงไปจนถึงนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการติดสินบน โดยอาวุธหลักของจีน คือ “Sky Net Operation” – ปฏิบัติการไล่ล่าผู้กระทำผิดข้ามพรมแดนดำเนินการอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2015 “Zero Tolerance Policy” – นโยบาย “ไม่ยอมให้โกง” ใครผิดก็ต้องถูกลงโทษ “Asset Recovery Program” – การยึดและนำทรัพย์สินจากการทุจริตกลับคืนสู่รัฐ และ “Belt and Road Integrity Initiative” – ควบคุมการติดสินบนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ การปราบปรามทุจริตอย่างเข้มงวดมีคณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย (CCDI) และคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติ (National Commission of Supervision – NCS) เป็นกลไกหลักในการตรวจสอบและลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต จากการดำเนินนโยบายอย่างจริงจังของจีน สถิติในเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2023 มีดังนี้ จับกุมผู้ต้องหาทุจริต 1,278 ราย กู้คืนทรัพย์สินที่ถูกยักยอก 2.9 พันล้านหยวน นำตัว 62 ราย จากรายชื่อ “100 Most-Wanted Corrupt Officials”…
เวทีเสวนา “สังคมเศรษฐกิจไทยในนโยบายและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย” เผยความจริงที่รัฐบาลไม่พูด โดย รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน แฉข้อมูลรัฐบาลบิดเบือน โดยพยายามอ้างความสำเร็จของสิงคโปร์ แต่ สิงคโปร์ไม่มี “กาสิโนออนไลน์” เพราะถือเป็นภัยพิบัติ! สิงคโปร์มีแค่ “การพนันทายผล” ไม่ใช่ “กาสิโนออนไลน์”รศ.ดร.นวลน้อย ชี้ว่ารัฐบาลไทยพยายาม พูดเหมารวม ให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับกาสิโนในสิงคโปร์ โดยความจริงแล้ว สิงคโปร์ไม่อนุญาตให้มีกาสิโนออนไลน์ โดยมีกฎหมายกำหนดเฉพาะ “การพนันทายผล” ที่ให้ซื้อผ่านออนไลน์ แต่ ห้ามเด็ดขาดสำหรับกาสิโนออนไลน์ “รัฐบาลไทยพูดคำโตว่าจะได้เงินแสนล้านจากกาสิโนแบบสิงคโปร์ แต่เมื่อคำนวณจริง ๆ รายได้จากภาษีการพนันจะเก็บได้แค่ราว 20,000 ล้านบาท! ลอตเตอรี่ที่รัฐบาลจำหน่ายปีละ 40,000 ล้าน เราเคยเห็นเงินไปใช้เพื่อการศึกษาโดยตรงหรือไม่? รัฐบาลใช้ตัวเลขหลอกประชาชน สิ่งที่พูดไม่มีข้อเท็จจริงเลย“ รศ.ดร.นวลน้อย ยังเล่าถึงบทเรียนจากฟิลิปปินส์: กาสิโน = ฟอกเงิน-ค้ามนุษย์-อาชญากรรมหลังจากฟิลิปปินส์ เปิดให้มีกาสิโนและอ้างว่าสร้างเศรษฐกิจได้ สุดท้ายถูกขึ้นบัญชีดำเรื่องการฟอกเงิน ทำให้ธุรกิจระหว่างประเทศมีปัญหาหนัก มีการลักพาตัวในบ่อนเพื่อเรียกค่าไถ่ และหนี้พนันล้นประเทศ ล่าสุดรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องยกเลิกใบอนุญาตพนันออนไลน์ทั้งหมด แต่ยังไม่ชัดเจนว่าสามารถล้างชื่อออกจากบัญชีฟอกเงินได้หรือไม่ กาสิโนฟิลิปปินส์ กลายเป็นศูนย์กลางฟอกเงิน-อาชญากรรม ขณะที่กัมพูชา ก็ซ้ำรอย หายนะจากกาสิโน เห็นได้จากสีหนุวิลล์ เคยเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของกัมพูชา แต่เมื่อเปิดให้มี กาสิโน กลายเป็นศูนย์รวม ทุนจีนสีเทา คนกัมพูชาโดน ไล่ที่ บ้านเกิดกลายเป็นบ่อนเถื่อน ถูกจีนบีบให้ยกเลิกเหลือแต่ซากตึกร้างและอาชญากรรมก็ยังไม่หมดไป ปัจจุบัน บ่อนชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นแหล่ง “คอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์” ขนาดใหญ่ กาสิโน = เป้าหมายฟอกเงินของอาชญากร รศ.ดร.นวลน้อย ชี้ว่า เศรษฐกิจสีเทาใช้กาสิโนเป็นที่ฟอกเงิน ทุนที่ลงทุนในกาสิโน มักเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม เช่น ยาเสพติดและค้ามนุษย์ แม้แต่ประเทศจีนยังพยายามทุกทางไม่ให้ประชาชนเข้าถึงการพนัน! “มีนักการเมืองไทยพูดว่าจะทำเงินจากกาสิโนเป็นล้านล้านโดยไม่ต้องตรวจสอบที่มาของเงิน ถ้าจะทำแบบนั้น ก็คงต้องเปลี่ยนประเทศใหม่ เพราะทุกอย่างจะถูกทำลายหมด!” รัฐบาลกลัวประชามติ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย! จากการสำรวจหลายครั้งพบว่าคนส่วนใหญ่กว่า 50 % ไม่เห็นด้วยกับกาสิโนมีเพียงกว่า 30 % เท่านั้นที่เห็นด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรัฐบาลไม่กล้าทำประชามติ รศ.ดร.นวลน้อย ยังยกตัวอย่างว่า สิงคโปร์คือต้นแบบกาสิโนจริง เพราะอนุญาตให้มีแค่…
