Author: Writer Publisher

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ และผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมนายประเสริฐ กล่าวว่า สถานการณ์มลพิษทางอากาศในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่มักเกินมาตรฐานในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 1 อย่างต่อเนื่อง และยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในแต่ละปี ทั้งนี้ ที่ประชุม กก.วล. ได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 – 2570 และระยะ 5 ปีต่อไป เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในอากาศสะอาด โดยมี 5 มาตรการหลัก ได้แก่ กำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษ (Low Emission Zone) จัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนในพื้นที่การจราจรหนาแน่น ให้โรงงานใช้เชื้อเพลิง เครื่องจักร และกระบวนการผลิตที่ระบายมลพิษต่ำ จัดทำผังเมืองและการก่อสร้างโดยคำนึงถึงการระบายอากาศและการสะสมมลพิษ จัดทำแผนจัดการป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ และป่าชุมชนเพื่ออากาศสะอาด ปรับโครงสร้างการผลิตพืชลดความเสี่ยงการเผา (Zoning เขตเกษตรเศรษฐกิจ) กำหนดให้โรงงานผลิตน้ำตาลทรายรับเฉพาะอ้อยสดร้อยละ 100พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับควบคุมการเผา และออกแนวทางลด/ระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเรื่องสำคัญอื่นๆ เช่น การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐด้านคมนาคม 6 โครงการ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงข่ายคมนาคมของประเทศ อำนวยความสะดวก และลดระยะเวลาการเดินทางให้กับประชาชน

Read More

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ปธ.กมธ.ทหาร สภาฯ เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ถึงการลงพื้นที่พร้อมคณะและญาติ 4 ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกคุมขังนานกว่า 2 เดือน ไปยัง จ.เกาะสอง ประเทศเมียนมา ว่า จากการหารือร่วมกับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ชัดเจนว่ามีการติดตามปัญหาอย่างเข้มแข็ง แต่อุปสรรคที่ทำให้ไร้ความคืบหน้าทางบวกเกิดจากความใส่ใจของกระทรวงการต่างประเทศ อ้างแต่ว่า “ทำดีที่สุดแล้ว ทำได้แค่นี้” ซึ่งตนได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะกมธ.ทหาร ไม่ได้มีอำนาจบริหารเลย เรายังได้พบท่านชิส่วย ผบ.เรือนจำเกาะสอง จนทราบว่าจะมีการกำหนดวันให้เข้าเยี่ยมได้สามวันในหนึ่งเดือน คือ 5 17 และ 30 ของแต่ละเดือน อยู่ระหว่างสอบทานข้อมูลวย่าจะให้เลือกวันใดวันหนึ่งหรือสามารถเข้าเยี่ยมได้ทั้งสามวัน โดยจะมีหนังสือตอบกลับยืนยันไปที่ทางการไทยอีกครั้ง ถามว่าเมื่อมีหนังสือยืนยันกลับมา ใครจะเป็นผู้แจ้งญาติให้รับทราบ กระบวนการในการขออนุญาตหลังจากนี้ใครจะเป็นตัวกลางอำนวยความสะดวก โดยตั้งแต่ที่ทั้งหมดถูกจับตัวไป มีญาติลูกเรือประมงเพียงคนเดียวที่ได้เข้าเยี่ยมและเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจากระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมร่วมกับพ.อ. อภิชัย เรืองฤทธิ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา ของฝั่งไทย (TBC) น่าตกใจว่า TBC ฝั่งไทยไม่เคยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศเลย โดยเจ้าหน้าที่กต.แจ้งว่าได้บอกกับล่ามที่ได้รับมอบหมายไว้ ทั้งที่ล่ามไม่ใช่ข้าราชการ เป็นชาวเมียนมา คำถามคือการหลุดแบบนี้งานหยาบแบบนี้เกิดขึ้นได้ในยุคของรมต.ที่ชื่อ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้อย่างไร ไม่คิดที่จะปรับปรุงการทำงานของตนเองและระบบงานภายในกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดีกว่านี้หรือ นี่คือบทสะท้อนสำคัญที่ชี้ชัดว่า ไม่จริงใจ ไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ “คุณมาริษไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะรมว.ต่างประเทศที่พึงจะทำ ทำให้ผมคิดถึงคุณปานปรีย์ (พหิทธานุกร) อดีตรมว.ต่างประเทศอย่างมาก เพราะไม่เพียงประสิทธิภาพการทำงานต่างกันแต่หัวใจของความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องคนไทยก็แตกต่างกันมาก มนุษยธรรมก็แตกต่างอย่างมาก และสิ่งที่ผมมีแตกต่างจากคุณภูมิธรรม คุณแพทองธาร และคุณมาริษ คือ ความจริงใจ ความใส่ใจ และความตั้งใจในการช่วยเหลือ 4 ลูกเรือประมงไทย คุณมาริษในฐานเป็นแม่งานจะต้องปรับปรุงการทำงานของตัวเอง รวมถึงระบบงานภายในของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ถ้ายังทำงานหยาบแบบนี้ อย่าว่าแต่เป็นรมว.ต่างประเทศเลย ถ้าเป็นเสมียนกระทรวงการต่างประเทศผมจะไล่ออกเลย จึงอยากให้พิจารณาตัวเอง เพราะความกระตือรือร้นในการทำงานของท่านยังไม่เหมาะแม้แต่จะเป็นเสมียนกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเสมียนฯ หลายคนยังทำงานได้ดีกว่าท่าน” นายวิโรจน์ กล่าว ปธ.กมธ.ทหาร…

Read More

โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ข้อมูลเรื่องการทำสัญญาขายไฟฟ้าตามแนวชายแดนว่า เกิดขึ้นตามมติ ครม.เมื่อปี 2535 และ 2537 จากนั้นให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.มีอำนาจตามระเบียบของ กฟภ.ต่อไป ก่อนที่นายภูมิธรรมจะเปิดระเบียบ กฟภ.เรื่องการระงับ หรือยกเลิกการจ่ายไฟฟ้าที่ กฟภ.สามารถดำเนินการได้เองตามสัญญา ไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุม ครม.และยังเชื่อมโยงมาถึงสถานการณ์ล่าสุดเรื่องการสั่งตัดไฟฟ้าครั้งนี้ด้วย นายภูมิธรรมบอก ในระเบียบ กฟภ.ระบุหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะยินยอมให้งดจ่ายไฟฟ้า หรือบอกยกเลิกสัญญา รวมถึงหาก กฟภ.เห็นว่ามีความจำเป็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย, ความมั่นคงอาจงดจ่ายไฟฟ้า ซึ่งผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ซึ่งตรงนี้นายภูมิธรรมบอกขณะนี้พบกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีคนไทยถูกหลอกเป็นจำนวนมากถือว่าเข้าข่ายที่ กฟภ.ต้องใช้สิทธิตามสัญญาไม่ว่าจะเป็นการจ่ายไฟฟ้าให้น้อยลง หรือระงับการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงที่ประชุม สมช.ก็ยืนยันกระทบต่อความมั่นคงด้วย “ดังนั้นความจริงไม่ต้องรอให้ สมช.ชี้ข้อมูล เพราะ กฟภ.หากเห็นว่า มีผลกระทบ ก็ควรจะเข้าไปดำเนินการ ไม่ใช่สนใจที่จะขายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นคิดว่า การค่อย ๆ ตัดไฟฟ้าอาจจะช้าเกินไป เพราะมีปัญหารุนแรงแล้ว” นายภูมิธรรมกล่าว นายภูมิธรรมบอกในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง วันนี้จะสั่งการให้แจ้งกับ กฟภ.ดำเนินการตัดไฟฟ้าทันที ไม่ต้องรอมติ ครม.เพราะเรื่องนี้รุนแรง ไม่ใช่มารอโยนไปโยนมา ให้แจ้ง กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากผู้บังคับงานหน่วยไหน หรือส่วนไหนไม่ปฏิบัติให้เกิดผลโดยทันที จะสั่งให้ยืมตัวมาช่วยราชการ ย้ำเรื่องนี้ไม่มีนอกมีใน ไม่มีการเมือง ต้องดำเนินการทันที และเพื่อให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ทั้งนี้ เมืองเมียวดีได้ซื้อไฟฟ้าจากไทยถึง 90% อาจทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างหรือไม่ เรื่องนี้นายภูมิธรรมบอกเขาต้องควบคุมพื้นที่ของเขา หากปล่อยเป็นพื้นที่ที่สร้างปัญหาเขาต้องรับผิดชอบด้วย ต้องจัดการให้จบ หากไม่จบก็ต้องรับผล เราไม่ใช่แม่พระใจดี

Read More

กลายเป็นประเด็นที่สร้างการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์หนาหู หลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำความผิดของแรงงานต่างด้าว หลังมีประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกระทุ่มแบน ว่ากลุ่มแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มีการขายของแบ่งอาชีพคนไทย เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบพบร้านขายของชำ โดยมีแรงงานสัญชาติเมียนมา 2 ราย กำลังขายของให้แรงงานต่างด้าวด้วยกัน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อจับกุม และตรวจสอบเอกสารของแรงงานต่างด้าวที่อยู่ภายในร้านทั้งหมด จากการตรวจสอบพบว่าแรงงานเมียนมาที่เข้ามาซื้อของใบอนุญาตอยู่ในประเทศได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนแรงงานเมียนมา 2 ราย ที่ขายของให้ลูกค้า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานพบว่า ใบอนุญาตทำงานระบุเป็นกรรมกร แต่มาทำงานขายของ ซึ่งถือเป็นความผิดในลักษณะการทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่มี จึงคุมตัวแรงงานเมียนมาทั้ง 3 ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม โดยสินค้าภายในร้านพบมีสินค้าประเภทอาหาร ไม่มีเลขที่ อย. ติดสลากภาษาเมียนมา ไม่มีสลากภาษาไทยวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมียาชนิดต่าง ๆ ทั้งยาสามัญประจำบ้าน ยาอันตราย ยาสมุนไพร ยาหยอดตา ยาคุม ฯลฯ โดยยาส่วนใหญ่ติดสลากภาษาประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการจำหน่ายบุหรี่ในลักษณะฉีกซองแบ่งขายเป็นมวน ๆ นางมินตรา ผู้เป็นเจ้าของร้าน และเป็นนายจ้างของแรงงานชาวเมียนมาทั้ง 2 จึงถูกแจ้งข้อกล่าวหา จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่มี อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท จำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเภสัชกรประจำร้าน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท จำหน่ายยาสมุนไพร โดยไม่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีความผิดตาม พรบ.ยาสูบ ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท ส่วนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ประเทศไทยโดยใบอนุญาตสิ้นสุดลง มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินไม่เกิน 20,000 บาท และแรงงานต่างด้าวที่ขายของภายในร้าน มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท พร้อมถูกส่งตัวกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุม เพื่อส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Read More

นายสมชาย แสวงการ อดีต สว.และอดีตประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา เปิดเอกสารที่อ้างว่าเป็นรายละเอียดการกำหนดโทษ การเลื่อนขั้นผู้ต้องขัง เพื่อเข้าหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยลดโทษ พร้อมข้อความระบุว่า ราชทัณฑ์อ้างหน้าที่บริหารโทษคดีทุจริตจำนำข้าว คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร แบบสุดซอย โดยลดโทษคำพิพากษาศาลฎีกา 48 ปีเหลือ 5 ปี และลดโทษคำพิพากษาศาลฎีกา 50 ปี เหลือ1 ปี ทำได้ไง? จากตัวอย่างในเอกสารหลักฐาน ศาลยุติธรรม อัยการ ป.ป.ช. ท่านจะคิดอ่านอย่างไรดีครับ1 ) คดีจำนำข้าว ปปช อัยการทำงานหนักกว่าจะฟ้องได้ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 48 ปี เมื่อวันที่ 27 ต.ค 2561 ราชทัณฑ์จำคุกจริงแค่ 5 ปี พ้นโทษ 26 ธ.ค 25662) คดีบ้านเอื้ออาทร ศาลให้จำคุก 50 ปี ให้นับโทษต่อเมื่อ 26 ธ.ค 2566 ราชทัณฑ์ลดเหลือ 14 ปี กำหนดพ้นโทษ 7 ก.ย 2579 แต่ติดคุกจริง 1 ปี ก่อนให้พักโทษกลับไปอยู่บ้าน ตั้งแต่ ต.ค 2567 ปีที่แล้ว คำตอบ เพราะเทคนิคง่ายนิดเดียว ใช้อำนาจเลื่อนนักโทษทุจริตเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วลดโทษทันที 1 ใน 3 แบบฮวบฮาบ 3-4 ครั้ง ภายในแค่ 1 ปี จากนั้นใช้ดุลยพินิจพักโทษให้ไปนอนบ้าน ไงครับ พร้อมติดแฮชแท็ก ร่วมทวงคืนความยุติธรรมให้สังคมไทย นายสมชายยังโพสต์ภาพของนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมข้อความระบุว่า นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ได้รับอภัยโทษติดกัน 4 ครั้ง เรื่องนี้เรื่องใหญ่ หากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่มีใครเกรงกลัวเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์…

Read More

หลังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโยนกันไป-มาเรื่องมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าในเมียนมาจุดที่คาดว่าเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกระทำการผิดกฎหมาย กระทั่งต้องงัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ออกมา และชี้ 6 ประการความเป็นไปได้ว่าการจ่ายไฟฟ้าดังกล่าวไปในเมียนมาอาจมีเชื่อมโยงและใช้ในกิจการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สุดท้ายอีหรอบเดิม โยนให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.ไปพิจารณาเองว่าจะตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่ง กฟภ.ก็บอกต้องจัดคณะใหญ่ไปลงพื้นที่ดูว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ จากนนั้นค่อยท้วงติงไปทางคู่สัญญา และทางการเมียนมา เพราะต้องทำทุกอย่างรอบคอบ เรียกว่าวนกันต่อไป รวมไปถึงท่าทีของคนในรัฐบาลอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็บอกจะทำจากเบาไปหาหนัก คือให้เมียนมาแก้ไขก่อน หากไม่สำเร็จก็จะตัดไฟฟ้าครึ่งหนึ่ง และดำเนินการได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแล กฟภ.ยืนยันหากให้หยุดจ่ายไฟฟ้าก็ต้องนำเข้า ครม. เมื่อที่ประชุมรับทราบก็สามารถตัดไฟได้ทันที ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ได้ตัดไฟฟ้าไปแล้วที่เมืองชเวโก๊กโก่ และ KK park แต่คราวนี้ ทำให้วันนี้การประชุม ครม.ต้องดูว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่วางท่าทีนิ่งเงียบว่าจะขยับอย่างไร จะมีข้อสั่งการใดหรือมติใหม่ๆ หรือไม่ หลังจากปล่อยให้โยนกันไป-มาจนไม่รู้ว่าจะตัดกระแสไฟฟ้าสลายยุทธปัจจัยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้กี่โมง

Read More

วันนี้ (3 ก.พ. 68) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับบิ๊กตำรวจรายหนึ่ง ฐานเรียกรับส่วย 660 ล้านบาท นายอัจฉริยะกล่าวว่า ตนเองได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งภาพ เสียง ไฟล์วิดีโอ และบัญชีม้า ที่เชื่อว่าเป็นหลักฐานการเรียกรับส่วยของบิ๊กตำรวจคนดังกล่าว “ก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนเรื่องการปล่อยตัวและอายัดทรัพย์สินของกลาง 700 ล้านบาท แต่เรื่องกลับเงียบหาย วันนี้จึงมายื่นเรื่องใหม่ หลังพบเงินโอนเข้าบัญชีบิ๊กตำรวจ 660 ล้านบาท ซึ่งจากการสืบสวนคดีเป้รักผู้การ 140 ล้าน พบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของบิ๊กตำรวจรายนี้ ก่อนโอนต่อไปยังบัญชีม้าอีกจำนวนมาก เชื่อว่าเป็นเงินที่ได้จากการเรียกรับผลประโยชน์ หรือรับจ้างฟอกเงิน” นายอัจฉริยะกล่าว นายอัจฉริยะกล่าวเพิ่มเติมว่า เงิน 660 ล้านบาท เป็นการโอนเข้าบัญชีเดียวทุกเดือน เป็นเวลากว่า 2 ปี ในลักษณะของการรับส่วยรายเดือน หรือเก็บเงินตามสายงานต่างๆ ทั่วประเทศ ก่อนโอนเข้าบัญชีม้าให้กับผู้ใหญ่ “สมัย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เคยตรวจพบเงินจำนวนนี้แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ถูกนำเข้าสำนวนการสอบสวน” นายอัจฉริยะกล่าว นายอัจฉริยะ ระบุด้วยว่า มีข้อมูลตำรวจรับส่วยตั้งแต่ระดับ ผบช., รอง ผบช., รอง ผบก. จนถึงระดับ ผกก. โดยเฉพาะหน้าเสื่อ รวมถึงบัญชีม้าของนายตำรวจอีกหลายนาย และจะติดตามว่านายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแล ตร. และ ผบ.ตร. จะมีการปราบปรามเรื่องนี้จริงจังอย่างไร ที่ผ่านมาร้องเรียนไป 10 กว่าเรื่อง แต่ไม่มีการสอบสวน หากไม่มีความคืบหน้า จะนำป้ายรายชื่อพร้อมบัญชีรับส่วยมาติดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Read More

วันนี้ (3 ก.พ. 86) นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ได้มอบหมายให้กลุ่มงานป้องกันการทุจริตลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างถนนที่ไม่ได้มาตรฐาน บริเวณเขตเทศบาลตำบลบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จากการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการปรับปรุงถนนสายปฐมพร ซอย 1 ซึ่งเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กกว้าง 4.50 เมตร พบว่าโครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา และยังไม่มีการตรวจรับงาน สภาพถนนพบว่าผิวถนนไม่ได้คุณภาพจริง เมื่อวัดความหนาพบว่าได้ตามมาตรฐานที่กำหนด 15 ซม. แต่ร่องรางระบายน้ำตัววีริมถนนไม่ได้ตามแบบมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพบว่าโครงการดังกล่าว ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทางเทศบาลตำบลบ้านบึงให้ข้อมูลว่า โครงการดังกล่าวยังไม่มีการตรวจรับงาน เนื่องจากต้องแก้ไขหลายจุด ทั้งผิวถนน และร่องรางระบายน้ำตัววี ซึ่งในส่วนของผิวถนนทางเทศบาลได้แจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขใหม่ทั้งหมด สำหรับระยะเวลาที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญานั้น ทางเทศบาลได้ปรับตามสัญญา ซึ่งปัจจุบันก็ปรับไปเกินร้อยละ 10 ของมูลค่าสัญญาแล้ว และเทศบาลตำบลบ้านบึงจะกำชับผู้รับเหมาให้แก้ไขโครงการดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนทำการตรวจรับอย่างเคร่งครัด สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี จะติดตามโครงการนี้จนกว่าจะแล้วเสร็จ และในวันส่งมอบงานตรวจรับ จะลงไปสังเกตการณ์ว่าโครงการก่อสร้างดังกล่าวแล้วเสร็จอย่างถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ พร้อมขอบคุณภาคประชาชนที่แจ้งเบาะแสโครงการฯ ของหน่วยงานภาครัฐ ที่อาจจะส่อว่าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสในทุกโครงการ

Read More

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนธิกำลังกับตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล 5 จับกุมนายจักรกริศน์ คำพิมพ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 ประกอบมาตรา 86 และ 91 และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีที่เทศบาลตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาซ่อมแซมถนนลูกรัง 33 โครงการ งบประมาณ 2,984,000 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 แต่จากการไต่สวนพบว่าไม่มีการดำเนินโครงการจริง โดยนายจักรกริศน์ คำพิมพ์ เป็นเจ้าของร้านแม่โขงวัสดุบริการ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างโครงการดังกล่าว 2 โครงการ ได้แก่ (1) บันทึกตกลงการจ้าง เลขที่ 129/2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 และ (2) บันทึกตกลงการจ้าง เลขที่ 151/2558 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 แต่กลับมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในโครงการดังกล่าวครบถ้วน โดยระบุว่านายจักรกริศน์เป็นผู้รับเงินจำนวน 2 โครงการ มูลค่าความเสียหาย 159,390 บาท ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายจักรกริศน์มีมูลความผิดทางอาญา จึงได้ออกหมายจับและประสานกับตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล 5 เพื่อติดตามจับกุมตัว จนกระทั่งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.20 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้พบตัวนายจักรกริศน์ฯ บริเวณถนนสาธารณะหน้าบ้านเลขที่ 66/93 ท้ายซอย RCA นวนคร 5 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี…

Read More

นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ Facebook ส่วนตัว แสดงความผิดหวังต่อผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการตัดไฟฟ้าประเทศเมียนมาเพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีเนื้อหาระบุว่า สารภาพตามตรง ผมคาดหวังการประชุมวันนี้ไว้ค่อนข้างมาก เพราะหน่วยงานอย่างสภาความมั่นคงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นตามแนวชายแดน ผมเข้าใจดีว่าท่านไม่มีอำนาจในการสั่งการให้มีการตัดไฟฟ้า แต่ท่านก็ควรจะพูดให้ชัดเจนว่าการแก้ไขเพื่อจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ก้าวแรกคือการตัดไฟ” มิเช่นนั้นการซีลชายแดนต่างๆที่เป็นนโยบายของรัฐบาลก็ไม่มีทางได้ผลอย่างแน่นอน เต็มที่ก็อาจจะจับกุมได้บางส่วน แต่โครงสร้างของเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ยังมีอยู่และดำเนินต่อไป จากท่าขี้เหล็ก สู่เมียวดี จนถึงพญาตองซู ผลประโยชน์มันเยอะ ทุนไทยเทาคงได้มาก บรรดาข้าราชการระดับสูงจนถึงนักการเมืองก็อาจจะมีเส้นเงินถึงด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้มันถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ คนไทยก็คงต้องดูแลตัวเองกันต่อไป “ท่านจะโยนกันไปกันมา ต้องไปถามบริษัทอาชญากร ซึ่งเค้าคงบอกมั้งครับว่าเขาคืออาชญากร สมคบคิดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในส่วนความร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมาที่ สมช. ก็รู้ดีว่า ทุกวันนี้เค้าคุมพื้นที่ในเมียนมา ไม่ถึง 40% ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศ ปัญหาของประเทศไทยแต่ต้องรอให้ประเทศอื่นมาแก้ให้ ทำไมรัฐบาลถึงใจดำกับคนไทยแบบนี้ ด้อยประสิทธิภาพมาก ๆ ผมไม่ยอมแพ้หรอกครับในเรื่องนี้ ท่านคงอยากให้คนไทยเลิกสนใจ เพราะเหนื่อยหน่ายกับการตามความชัดเจนของพวกท่านว่าจะเอายังไง แต่ผมคงต้องสู้ต่อ วันพฤหัสบดีนี้ กรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ จะเชิญ รัฐมนตรีมหาดไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาพิจารณาเรื่องการตัดไฟฟ้าที่เอื้อประโยชน์ต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเวลา 11.30-13.00 น. มาชี้แจงต่อพวกเราหน่อยว่าที่ท่านทำไปทั้งหมดมันเป็นไปโดยกฎหมายอย่างไร ทำไมผลประโยชน์ของคนไทยจึงถูกเพิกเฉยขนาดนี้ อ้อ แล้วสะกิด ผบ.ตร. หน่อย ดูลูกน้องตัวเองด้วย ปล่อยให้มีการลักลอบเข้าออกประเทศผิดกฎหมายผ่านทีาข้ามไปเล่นการพนันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ ทำได้ด้วยหรือครับ เงินที่ได้มามันชอบด้วยกฎหมายหรือ ผิดฟอกเงินหรือเปล่า อย่าลืมขยายผลด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังบ้าง“ นายรังสิมันต์ โรม ระบุทิ้งท้าย

Read More