Browsing: News

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ให้สัมภาษณ์ The Publisher ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ออกมาเปิดประเด็นนำเว็บพนันใต้ดินขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย และรมว.ดิจิทัลฯ ออกมารับลูก ว่า รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะมีรายละเอียดผลกระทบและความไม่คุ้มค่าที่ต้องคิดให้รอบด้าน เราไม่เห็นด้วยแต่ถ้ารัฐบาลจะทำต้องเริ่มจากการตอบคำถามให้ชัดว่าทำเพื่ออะไร เพราะถ้าจะทำเพื่อให้สิ่งผิดกฎหมายหมดไปหรือน้อยลงจึงต้องเอาเข้ามาในระบบ ก็ต้องบอกว่าเป็นแค่ข้ออ้างเพราะในความเป็นจริงการเอาขึ้นมาบนดินไม่ได้ทำให้สิ่งที่อยู่ใต้ดินหมดไป ดีที่สุดหากต้องการให้สิ่งที่อยู่ใต้ดินลดลงก็ต้องปราบ การเอาขึ้นมาบนดินไม่มีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกอยู่ใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน เพราะเขาอยู่ที่มืดทำอะไรสะดวกกว่า ดังนั้น ข้ออ้างนี้ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด และไม่มีหลักประกันว่าสิ่งที่อยู่ใต้ดินจะลดลงหรือหมดไป นอกจากนี้รัฐบาลอาจอ้างว่าจะทำให้การคอร์รัปชันหรือส่วยหมดไป ก็ไม่ใช่การเกาถูกที่คันอีก เพราะการคอร์รัปชันไม่ว่าอยู่ใต้ดินหรือบนดินก็มีการคอร์รัปชันอยู่ดี จากการใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย หรือการละเว้นกำกับดูแล เช่น ผับบาร์เปิดถูกกฎหมาย แต่เปิดเกินเวลาก็จ่ายส่วย มีการคอร์รัปชัน การเอาขึ้นมาบนดินไม่ได้หมายความว่าการคอร์รัปชันจะลดลง “ผมคิดว่าเจตนาที่แท้จริงคือ ฝ่ายการเมืองต้องการเงินมาทำอะไรบางอย่าง การที่นายทักษิณพูดและรัฐบาลขานรับ เป้าหมายสำคัญคือต้องการเงิน และต้องถามต่อว่าเงินจะเข้ารัฐหรือฝ่ายการเมือง ตัวเลขที่พูดว่ามีถึง 1.5 แสนล้านบาทก็ไม่รู้เอาที่ไหนมาพูด คำนวณจากอะไร สมมติเป็นตัวเลขจริง ก็ยังมีตัวเลขที่ไม่ถูกพูดถึงคือการฟื้นฟูการบำบัดผู้ติดการพนันมีต้นทุนเรื่องผลกระทบทางสังคมเท่าไหร่ ตัวเลขของอเมริกามีการแบ่งปัญหาผู้เล่นพนันสองส่วนคือ คนที่เล่นแล้วเริ่มมีผลกระทบเสียการเรียน เสียการงาน ส่งผลเสียต่อครอบครัว อเมริกาประเมินต้นทุนที่ต้องดูแลอยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อ 1 คนใน 1 ปี และระดับติดการพนันซึ่งเป็นโรคทางจิตเวช ประเมินว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น 3 เท่า กลายเป็น 9 หมื่นบาทต่อ 1 คน” “ซึ่งการเล่นพนันออนไลน์มีโอกาสติดมากกว่าการเล่นพนันปกติหลายเท่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำคือโอกาสในการเพิ่มผู้ติดพนัน ซึ่งหากนำต้นทุนของอเมริกาเป็นตัวตั้ง 1 คนประมาณ 1 แสนบาทต่อปี ก่อนหน้านี้เคยมีสถิติเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประมาณการของกรมสุขภาพจิตว่า คนไทยติดการพนันประมาณ 1% ของประชากร เท่ากับเรามีผู้ติดการพนันราว 7 ล้านคน ต้นทุนต่อปีเท่ากับ 7 แสนล้านบาท สูงกว่าตัวเลข 1.5 แสนล้านที่พูดถึงอย่างมาก เห็นชัดเจนว่าไม่คุ้ม ที่สำคัญคือการทำแบบนี้เงินเข้าพกเข้าห่อใคร ใครได้ประโยชน์กันแน่ จะเก็บภาษีได้สักเท่าไหร่ รัฐบาลต้องคิดให้ดี เพราะถ้าเอาขึ้นมาแล้วเอาไม่อยู่จะรับผิดชอบอย่างไร ประเทศอื่นเขาปราบ ไม่ได้เอามาทำให้ถูกกฎหมาย” นายธนากร…

Read More

ในรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง คุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร ได้พูดคุยกับคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต รมว.กระทรวงวัฒนธรรม และอดีต สส.พัทลุง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วงการเมืองเข้มข้น ก่อนลดบทบาททางการเมือง แต่ยังคลุกคลีกับกลุ่มคนที่ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นเดิม โดยคุณนิพิฏฐ์วิเคราะห์ถึงบทบาทในแง่มุมต่างๆ รวมถึงชะตากรรมต่อไปนี้ของคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร The Publisher: ประเด็นนักโทษชั้น 14 มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นิพิฏฐ์ : สำหรับคดีใน ป.ป.ช. เชื่อว่าภายในกุมภาพันธ์นี้ ควรมีคืบหน้าได้แล้ว แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่บอกในรายการนี้ และอาจเป็นประเด็นสำคัญก็คือ ก่อนหน้านี้คุณทักษิณมอบหมายให้ทนายความ ยื่นฟ้องคนๆ หนึ่งฐานคดีหมิ่นประมาทที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค ในทำนองพาดพิงถึงคุณทักษิณว่า ป่วยทิพย์ ไม่ได้ป่วยจริง อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหา ซึ่งผมเป็นทนายความให้จำเลย และยืนยันต่อศาล ว่าสิ่งที่จำเลยกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง ที่ว่าคุณทักษิณ ไม่ได้ป่วย เพื่อให้มีการนำหลักฐานมาแสดงต่อหน้าศาล นั้นคือการมีเวชระเบียนเท่านั้น ที่สามารถยืนยันอาการป่วยของคุณทักษิณได้ ซึ่งจะใช้คำสั่งศาลเรียกมาพิสูจน์ ผมได้ปรึกษาคนในแวดวงกฎหมายได้ข้อสรุปว่าศาลมีอำนาจในการเรียกได้ และเชื่อว่าจะเรียกเวชระเบียนมาด้วย ก็เลยจะรอดูว่าระหว่างคดีที่ผมทำอยู่นั้น กับคดีใน ป.ป.ช. ใครจะจบคดีได้ก่อนกัน The Publisher: คดีนี้ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ? นิพิฏฐ์ : คงจะยาวนาน แต่หากกำหนดวันพิจารณาแล้ว จะมีการขอหมายเรียกทันที และจะตรวจสอบเอกสารก่อนขึ้นศาล เพื่อดูว่าหมอคนไหน อธิบดีคนไหน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเรียกมาทันที ต้องนำหมอมาเบิกความ เอาอธิบดีกรมราชทัณฑ์มาเบิกความ นำเวชระเบียนมา ศาลก็ต้องชั่งน้ำหนักตามคำเบิกความ ตามเวชระเบียน The Publisher: ใช้โอกาสนี้ในการคลี่คลายประเด็นดังกล่าว? นิพิฏฐ์ : เรียกว่าเป็นการใช้สิทธิ์ดีกว่า The Publisher: คุณทักษิณใช้วิธีขมขู่ คุกคาม เป็นการปิดปากหรือไม่? นิพิฏฐ์ : มองว่าคุณทักษิณนั้นเป็นบุคคลสาธารณะ ที่สามารถวิจารณ์ได้มากกว่าบุคคลธรรมดา เพราะต้องตรวจสอบบุคคลสาธารณะ เพื่อให้ได้บุคคลที่สะอาดมาทำงานการเมือง หากว่าคุณทักษิณป่วยจริงก็ไม่มีอะไรก็จบไป “แต่จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่กลัวการตรวจสอบ เพราะผมไม่มีแผล” สมัยคุณทักษิณเป็นนายกฯ ก็มีการแจ้งว่าจะมีตำรวจมาค้นบ้านผม ซึ่งผมก็ไม่กลัว พร้อมให้ตรวจสอบ แต่ศาลไม่ออกหมายให้ ก็ไม่โดนตรวจ The Publisher: บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างที่จะอึมครึมหรือไม่สำหรับรัฐบาล นิพิฏฐ์…

Read More

นี่แหละผู้ที่ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยอย่างแท้จริง ! สำหรับ “ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ศิลปินชาวไทยระดับโลก ที่ล่าสุดได้เปิดตัวเมนู “ชาไทย” เครื่องดื่มสุดโปรดกับ EREWHON เครือซูเปอร์มาร์เก็ตลักชัวรีระดับโลก ในชื่อ “Thai Up The World Iced Tea” พร้อมสาธิตวิธีการทำเมนูนี้ด้วยตัวเองให้แฟนคลับได้รับชม ก่อนจะพูดปิดท้ายด้วยภาษาไทยพร้อมเสียงหวาน ๆ ของเธอว่า “อย่าลืมมาทานกันเยอะ ๆ นะคะ” นอกจากจะได้อวดของอร่อยประจำเมืองไทยในแบบฉบับสาวลิซ่าแล้ว ยังพาชาไทยไปสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย #LISA’s IG update:“Super excited to finally reveal my personal Thai up the World drink at erewhon!!Thank you to the team for making this a reality and glad to support Best Friend Animal Society, a sanctuary working to find homes for abandoned pets.”#LISAxEREWHON pic.twitter.com/cTuP6LWgbs— LISANATIONS (@LISANATIONS_) January 7, 2025 แต่ใครจะรู้ว่านอกจากเครื่องดื่มนี้จะชูความเป็นไทยแล้ว รายได้ส่วนหนึ่งจากการซื้อเครื่องดื่มนี้ ทาง Erewhon จะนำไปสนับสนุน Best Friend Animal Society ที่สู้เพื่อหยุดการการุณยฆาตสัตว์ไร้บ้านและช่วยหาบ้านให้กับน้องหมา น้องแมวในศูนย์พักพิงสัตว์ได้มีบ้านหลังสุดท้ายในบั้นปลายของชีวิต ซึ่งนอกจากจะได้ซื้อเครื่องดื่มรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นการทำการกุศลไปด้วยในตัว ซึ่งชาวเน็ตต่างก็เข้ามาชื่นชมเธอในเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลิซ่าร่วมทำงานการกุศล เพราะก่อนหน้านี้เธอก็ร่วมขึ้นแสดงคอนเสิร์ตการกุศล Gala des Pièces Jaunes เพื่อช่วยระดมทุนสร้างโรงพยาบาลเด็กในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ขึ้นคอนเสิร์ตระดับโลก Global…

Read More

หลังสำนักงานอัยการสูงสุดแถลงความคืบหน้า สั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีดิไอคอนทั้ง 17 คนยกเว้น มิน พีชญา และ แซม ยุรนันท์ เหตุพยานหลักฐานไม่เพียงพอนั้น ขั้นตอนต่อไปคือพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลอาญา จากนั้นเป็นขั้นตอนของศาลอาญาจะสั่งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการต่อไป เรื่องนี้นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ให้ข้อมูลกับ The Publisher ว่า ขั้นตอนจากนี้ หากศาลอาญามีคำสั่งปล่อยตัว ทางกรมราชทัณฑ์จะนำตัว มิน และแซม จัดทำเอกสารให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยเสียก่อน คาดว่าขั้นตอนทั้งหมด จะแล้วเสร็จและสามารถปล่อยตัวทั้งคู่ได้ในวันพรุ่งนี้ (9 มกราคม 2568) ซึ่งครบกำหนดฝากขังพอดี ในส่วนของบอสรายอื่น ๆ ที่อัยการพิจารณาสั่งฟ้อง ในฐานความผิด 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ , พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ก่อนสรุปสำนวน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ได้อนุมัติเพิกถอนทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัดแล้ว หลังพบการจำหน่ายสินค้าของบริษัทนั้น ไม่ตรงไปตามกับที่จดทะเบียนการประกอบธุรกิจ คือ สามารถซื้อสินค้าจากระบบออนไลน์ของบริษัทได้โดยตรง แต่เมื่อเข้าไปซื้อสินค้าในระบบแล้ว กลับขึ้นข้อความว่า “Something is not right! กรุณาเข้าเว็บไซต์ของตัวแทนเพื่อทำการสั่งซื้อสินค้า” ซึ่งรูปแบบการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ มีลักษณะเป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในธุรกิจตลาดแบบตรงโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรงเลขาธิการ สคบ.ในฐานะนายทะเบียน จึงมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดังกล่าว

Read More

ผ่านมากว่า 1 เดือนแล้วที่ชะตากรรมของ 4 ลูกเรือประมงไทย ยังอยู่ในกำมือของรัฐบาลเมียนมา และยังไร้ข่าวดีว่าจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่ หลังจากที่ทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ไม่สามารถปฏิบัติตามคำพูดที่ระบุว่า 4 ลูกเรือประมงไทยจะได้รับการอภัยโทษกลับมาตุภูมิในวันที่ 4 ม.ค.68 และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับทางการเมียนมา ทำให้คณะกรรมาธิการการทหารฯ สภาฯ นำโดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ปธ.กมธ.การทหาร สภาฯ เตรียมลงพื้นที่เกาะสองเพื่อไปเยี่ยมสี่ลูกเรือประมงไทย ในวันที่ 13-14 ม.ค.68 ซึ่งเป็นไปตามมติของกมธ.ฯ ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.67 แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวกลับถูกเบรกจากนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศ โดยอ้างเกรงจะถูกเมียนมามองว่ากดดันแทรกแซง พร้อมขอให้นายวิโรจน์ใคร่ครวญให้ดี อย่าเอาชีวิตคนมาเป็นเรื่องการเมือง The Publisher ได้สอบถามไปยังนายวิโรจน์ ถึงประเด็นดังกล่าว ได้รับคำยืนยันว่า การจะเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ จะไม่ไปโดยพลการ มีการขออนุญาตประธานสภาฯ และขอให้กระทรวงการต่างประเทศช่วยประสานงานให้อย่างเป็นทางการ แต่ตอนนี้ขั้นตอนทั้งหมดยังค้างอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ถ้าหากกระทรวงการต่างประเทศไม่ประสานให้ ก็แจ้งเหตุผลมา กมธ.การทหารฯ ไม่ได้ดึงดันว่าจะต้องไป แต่ที่เราต้องไปเพราะรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ฝ่ายนิติบัญญัติจึงต้องทำหน้าที่แทน “กมธ.ฯ ต้องการไปเยี่ยม 4 ลูกเรือประมงไทย ให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง คนไทยยังไม่ลืมพวกเขา ลูกเรือประมงหลายคนมีโรคประจำตัว เราต้องการให้ข้อมูลกับทางการเมียนมาให้พวกเขาได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสม ผมไม่ได้ต้องการกดดันรัฐบาลเมียนมา หน้าที่รัฐบาลคือพาคนไทยกลับบ้าน ถามว่าตอนนี้พวกท่านทำหน้าที่อย่างที่ควรทำหรือยัง ถ้าไม่อยากให้พวกผมไป รมว.กลาโหมกับรมว.ต่างประเทศไปมั้ยครับ ผมไม่ได้ต้องการเอาหน้า แต่คนที่ควรไปไม่ไป ฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องทำหน้าที่เท่าที่ทำได้” นายวิโรจน์ ยังมองว่าท่าทีของรัฐบาลในการแก้ปัญหาไม่มีความชัดเจนในระดับนโยบาย เราไม่เคยเห็น ครม.มีท่าทีเรื่องนี้ออกมาเลย แต่ปล่อยให้ระดับเจ้าหน้าที่ทำงานแบบลูทีน จนศาลฯ เมียนมามีคำตัดสินแล้ว ทางการไทยเพิ่งรู้จากข่าว เท่ากับไม่มีความใส่ใจในชีวิตของ 4 ลูกเรือประมงไทยใช่หรือไม่ ที่อ้างว่าญาติ ๆ ได้ไปเยี่ยมแล้ว ก็น่าจะมีเพียงตัวแทนญาติบางคนเท่านั้น เพราะตนได้พูดคุยคุณเมย์ วรรณทกานต์ พรหมนิมิต บุตรสาวของคุณถาวร พรหมนิมิต และคุณปุ้ย กมลทิพย์ มงกุฎทอง บุตรสาวของคุณสุนันท์ มงกุฎทอง สองในสี่ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เกาะสองประเทศเมียนมา…

Read More

เป็นกรณีที่นาย ลิม กิมยา (LIM Kim Ya) อดีต สส.ฝ่ายค้านพรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party หรือ CNRP) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง วัย 74 ปี ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นายปิยรัฐ จงเทพ สส.พรรคประชาชน ระบุการเสียชีวิตของนายลิม เป็นเรื่องใหญ่ไม่เพียงเป็นอดีต สส.ของกัมพูชา แต่ก่อนหน้านี้เขาและพรรคถูกคำสั่งยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง จึงมีคำถามจากสังคมถึงมูลเหตุจูงใจการก่อเหตุว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองในกัมพูชาหรือไม่ นายปิยรัฐ ขอให้รัฐบาลไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิ มนุษยชนของสหประชาชาติ เร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นด้านความมั่นคง ปลอดภัย และความยุติธรรมกลับมาสู่สายตา และความรู้สึกของคนไทยและชาวโลกโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะถูกมองว่าประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นศูนย์กลางเหล่าแก๊งอาชญากร ที่จะอุ้มฆ่า ลอบสังหาร ลักพาตัว หลอกล่อเพื่อการค้ามนุษย์ หรือส่งยาเสพติดผ่านประเทศไทย โดยรัฐบาลควรเร่งเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามขบวนการอาชญากรเหล่านี้ให้สิ้นซาก และจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็วที่สุด . #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #รัฐบาลแพทองธาร #รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ #เพื่อไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #LIMKimYa- – – – – – – – – – – – – – – – -ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขึ้นปราศรัยหาเสียง แล้วพูดเปรียบเทียบลักษณะของหญิงไทยกับชาวแอฟริกาในลักษณะบูลลี่หรือด้อยค่าคนผิวดำ ใจความว่า “หมู่คนแอฟริกัน ดำก็ดำ จมูกก็แหมบ หายใจก็ยาก” พร้อมกล่าวอีกว่า ผู้หญิงไทยมีรูปร่างหน้าตาดีกว่าผู้หญิงแอฟริกัน และไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมเพื่อเสริมความงาม คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างดุเดือด โดยทาง South China Morning Post สื่อจากทางฝั่งประเทศจีน ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวนี้ไปเขียน พร้อมกับบรรยายถึงนายทักษิณว่า เป็นมหาเศรษฐีผู้ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี ซึ่งกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยของเขาจะส่งเสริมผู้หญิงไทยที่มีความสวยงามให้เป็นไอคอนในวงการแฟชั่น ซึ่งประเด็นนี้ทำให้นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่ควรเหยียดสีผิวหรือด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พร้อมกับเรียกร้องให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกสาว ควรตักเตือนผู้เป็นพ่อบ้างกับคำพูดของตนเอง เนื่องจากมันอาจสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ด้าน นางสาวแพทองธาร ก็ได้ออกมาตอบกลับประเด็นดรามาดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริง ๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่คุณพ่อพูดดูก็ค่อนข้างมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์เลยว่าเจตนาเรื่องการเหยียดผิวไม่มีแน่ ๆ ซึ่งคุณพ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน มั่นใจเลยว่าพ่อไม่เคยเหยียดเรื่องนี้ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้น คิดว่าไม่ใช่แน่นอน” และเมื่อถูกถามถึงประเด็นของ สว.อังคณา ที่เรียกร้องให้นายกฯ ตักเตือนพ่อบ้างในเรื่องดังกล่าวที่เป็นปมร้อน นายกฯ กล่าวว่า “ก็มีการคุยกันอยู่แล้ว และทราบถึงความตั้งใจ เพราะเรื่องนี้นายทักษิณพูดมาก่อนที่จะสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เรื่องของการเหยียด ฉะนั้นก็ไม่ต้องเตือนอะไร”. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #รัฐบาลแพทองธาร #รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ #เพื่อไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #เหยียดผิว ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ในประเด็นที่นายทักษิณ ขึ้นปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.เชียงราย แต่กลับสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสังคม เนื่องจากในเนื้อหาการปราศรัยมีการด้อยค่าหญิงไทยและคนผิวดำ ร้อนถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกสาวต้องออกมาตอบคำถามในประเด็นนี้ ซึ่งนายกฯ ยืนยันว่าพ่อของตนไม่ได้เหยียดผิว และชี้ให้ไปฟังคำปราศรัยต้นฉบับก่อนค่อยตั้งคำถามว่าคำปราศรัยดังกล่าวเป็นการเหยียดบุคคลอื่นหรือไม่ ซึ่งนายเทพไทมองว่าสองพ่อลูกผลัดกันอวยโดยปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำท้วงติงใด ๆ เกรงว่าจะนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ โดยระบุข้อความประกอบคลิปว่า “กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.เชียงราย ถึงการผลักดันหญิงไทยให้เป็นนางแบบระดับโลก โดยเปรียบเทียบกับชาวแอฟริกา ในลักษณะบูลลี่หรือด้อยค่าคนผิวดำ จนมีการออกมาท้วงติงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตักเตือนนายทักษิณผู้เป็นพ่อ ในการปราศรัยพาดพิงถึงชาวแอฟริกา จนนักข่าวได้นำเรื่องนี้ไปถามความเห็นของ น.ส.แพทองธาร ว่ามีความเห็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชนว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริง ๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่คุณพ่อพูดดูก็ค่อนข้างมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เลยว่า เจตนาเรื่องการเหยียดผิวไม่มีแน่ ๆ ซึ่งคุณพ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน มั่นใจเลยว่าพ่อไม่เคยเหยียดเรื่องนี้ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้นคิดว่าไม่ใช่แน่นอน” เมื่อได้ฟังคำตอบจาก น.ส.แพทองธาร แสดงให้เห็นว่า เห็นด้วยกับคำพูดของนายทักษิณ และไม่คิดที่จะตำหนิหรือตักเตือนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังการันตีว่านายทักษิณไม่ได้เหยียดคนแอฟริกา และท้าทายให้ไปฟังคำปราศรัยต้นฉบับก่อน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศที่ได้ฟังคำปราศรัยของนายทักษิณ ต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า นายทักษิณใช้คำพูดไม่เหมาะสม และมีการพาดพิงถึงชาวแอฟริกาจริง ถ้าเรื่องนี้มีสื่อต่างประเทศนำคำปราศรัยของนายทักษิณ ไปแปลและสื่อสารไปยังพี่น้องชาวแอฟริกา ลองคิดดูว่าคนแอฟริกาจะคิดอย่างไร เมื่อคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงในลักษณะด้อยค่าหรือบูลลี่ และลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน เห็นด้วยกับคำพูดของพ่อ ซึ่งอาจทำให้คนต่างชาติเห็นถึงวุฒิภาวะของ2พ่อลูก ที่เป็นอดีตผู้นำและผู้นำปัจจุบันของประเทศไทย การที่ น.ส.แพทองธารออกมายืนยันว่า นายทักษิณไม่เคยเหยียดใคร ก็ต้องถามว่า คำปราศรัยที่จะส่งเชือกให้กับคนที่เห็นต่าง และวิจารณ์นายทักษิณและรัฐบาลนั้น เป็นการเหยียดบุคคลอื่นหรือไม่ ผมเกรงว่าการที่พ่อออกมาเชียร์ลูก และลูกออกมาเชียร์พ่อ ผลัดกันอวยโดยปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำท้วงติงใด ๆ…

Read More

เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล. ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวเมียนมา จำนวน 58 ราย พร้อมคนไทย 3 ราย ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และให้ที่พักพิงแก่คนต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบขนส่งแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน จึงได้วางแผนสืบสวนและติดตามรถยนต์ต้องสงสัย จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะและรถตู้ จำนวน 3 คัน ขับขี่ผ่านมาด้วยความเร็วสูงและมีน้ำหนักบรรทุกมากกว่าปกติ เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งสัญญาณให้หยุดรถเพื่อตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบว่า ผู้โดยสารทั้งหมดเป็นชาวเมียนมา ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใดๆ จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด พร้อมยึดรถยนต์ของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรพัฒนานิคม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือต่อไป

Read More

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปราศรัยประกาศจะลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาทต่อหน่วยให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ว่า คาดว่าเป็นการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. โดยหวังผลทางการเมือง ซึ่งหากต้องการลดให้ได้ 45 สตางค์เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ 3.70 บาทต่อหน่วยจริง ต้องรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมด แต่ถ้าทำเพื่อหาเสียงด้วยการลดไขมันนิด ๆ หน่อย หรือ ปะผุโดยให้ กฟผ. ไปยืดหนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งนี้เห็นว่านายทักษิณชอบพูดลักษณะนี้ เช่นเคยหาเสียงจะทำให้รถในกทม.หายติดภายในหกเดือนแต่ก็แก้ไม่ได้ หรือจะยกเลิกกฎหมายขายชาติ แต่พอเป็นนายกฯ ก็แปรรูป ปตท.ทันที จะเป็นแบบนี้หรือเปล่า “การจะลดราคาให้ได้ 45 สตางค์ ต้องปรับโครงสร้างจึงจะเป็นไปได้ คนไทยบางทีก็ถูกหลอกไปเรื่อย ๆ การลดค่าไฟกลายเป็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้แตะกำไรของเอกชนเลย แต่ปล่อยให้ กฟผ.ถูกล้วงไส้ เหลือกำลังผลิตไม่ถึง 30 % มีการผลักภาระเหมือนจะให้เจ๊งไป เห็นได้ชัดเจนจากกรณีโซลาร์ กฟผ.เสนอ 1.50 บาท แต่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือ กกพ. โดยการกำกับของ กฟช. คกก.นโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่นายกฯ เป็นประธาน กำหนดให้ซื้อ 2.17 บาท แปลว่าต้องการให้เอกชนรวยแล้วให้ประชาชนแบกรับใช่หรือไม่ เรื่องแบบนี้ต้องยกเลิกเลย ไม่เช่นนั้นประชาชนก็ต้องแบกรับค่าไฟแพงเหมือนเดิม“ น.ส.รสนา ยังเสนอว่าต้องสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีต้นทุนค่าเชื้อเพลิง แต่ประเทศเรายังไม่ยอมทำ ปล่อยให้กลุ่มทุนผูกขาดและปล่อยให้ประชาชนแบกรับค่าไฟราคาแพง เวลาที่นักการเมืองพูดว่าจะลดค่าไฟก็เป็นการลดแบบยืดหนี้ ปะผุเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคะแนนเสียง แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม หากเทียบกับเวียดนามเขาไปเร็วมาก ไม่ใช่แค่ชนะบอลไทย แต่ชนะเราเรื่องการผลิตไฟ เพราะของเขาหน่วยละแค่ 2.90 บาทเรายังบอกจะปรับลงมาได้แค่ 3.70 บาท และสิ่งที่เวียดนามจะทำคือ ภายในปี 2573…

Read More