- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
สศช. เผย ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2567 พบสัญญาณอันตราย คนไทยผิดนัดชำระหนี้บ้านเพิ่มขึ้น หนี้เสียพุ่ง 23.2% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนปัญหาการเงินของครัวเรือนตึงตัว เสี่ยงกระทบเศรษฐกิจประเทศ ประเด็นสำคัญ หนี้เสียบ้านพุ่ง 23.2%: สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 3.98% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็น 4.34% ครัวเรือนเลือกผิดนัดชำระหนี้บ้าน: แม้จะเป็นสินทรัพย์จำเป็น แต่ครัวเรือนจำเป็นต้องเลือกผิดนัดชำระ เพื่อรักษาวงเงินสินเชื่ออื่นไว้ใช้จ่าย หนี้เสียบ้านวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท พุ่งสูง: สะท้อนว่าครัวเรือนรายได้น้อยยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น: แม้จะมีมาตรการควบคุม แต่หนี้ประเภทนี้ยังคงสูง เสี่ยงทำให้ครัวเรือนติดกับดักหนี้ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้เสีย เพื่อลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
คำนูณ สิทธิสมาน ออกโรงเตือนรัฐบาล กรณี MOU 2544 ว่าด้วยการสำรวจและจัดสรรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา แม้จะมีอายุ 23 ปี แต่เข้าข่ายต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 โดยระบุว่า MOU 2544 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา และเข้าข่าย “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศ อย่างกว้างขวาง” เนื่องจากอาจทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติบางส่วน คำนูณ ย้ำว่า รัฐบาลต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยนำ MOU 2544 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน เพื่อความโปร่งใสและป้องกันข้อครหาเรื่องการขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมเสนอทางออก 2 แนวทาง คือ นำ MOU 2544 ขอความเห็นชอบจากรัฐสภายื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหากรัฐบาลเพิกเฉย อาจถูกกล่าวหาว่าจงใจขัดรัฐธรรมนูญ เสี่ยงต่อการพ้นจากตำแหน่ง ติดตามอ่านบทความฉบับเต็มที่ https://www.facebook.com/kamnoon/?locale=th_TH
กลายเป็นประเด็นร้อนที่อาจสะเทือนไปถึงเก้าอี้มท.1 ของอนุทิน ชาญวีรกูล หลังคณะกรรมการสอบสวนฯ กรมที่ดิน มีมติไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดงจำนวน 5,083 ไร่ ที่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาว่าเป็นของการรถไฟฯ แม้เจ้าตัวยืนกรานไม่ได้เข้าไปใช้อำนาจสั่งการ หรือกดดัน แต่ดูเหมือนสังคมยังกังขา และตั้งคำถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทยด้วย The Publisher ได้พูดคุยกับคุณธนพร โตประยูร อดีตประธานที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่เพิ่งไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเอาผิดกราวรูด ไล่ตั้งแต่คณะกรรมการสอบสวนฯ อธิบดีกรมที่ดิน ไปจนถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งศาลฯ นัดไต่สวนวันที่ 9 ธันวาคมนี้ “เรื่องนี้ผมคิดว่ามีคนติดคุกแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ผมมั่นใจพยานหลักฐานที่มี ใช้กฎหมายล้วน ๆ ไม่มีความโกรธเคืองทางการเมืองใด ๆ ถ้าฝ่ายที่ผมฟ้องชนะคดีกระบวนการยุติธรรมไม่ต้องใช้แล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาจบเลย ฉีกทิ้งไม่ต้องใช้เลย และที่ดินเขากระโดงก็เคยมีการเพิกถอนมาแล้ว รวมถึงโฉนดข้างเคียงก็มีการเพิกถอนไปเป็นร้อยฉบับแล้ว” ส่วนฝ่ายการเมืองก็อย่าคิดว่าจะรอด วันจันทร์ที่จะถึงนี้ (25 พ.ย.67)คุณธนพร จะยื่นหนังสือถึงนายกฯ แพทองธาร ให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ จะร้องมาตรฐานจริยธรรมกับนายกฯด้วย และในวันอังคาร (26พ.ย.67) จะไปยื่น ป.ป.ช.เอาผิดมาตรฐานจริยธรรมกับ เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะ รมว.มหาดไทยและทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่กำกับดูแลให้กรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ”จะบอกว่าไม่มีอำนาจไม่ได้ ฟังไม่ขึ้น เพราะรัฐมนตรีควบคุมนดยบายมีหน้าที่รักผลประโยชน์ประเทศชาติ แต่กลับละเว้นไม่กำกับดูแลให้กรมที่ดินปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เอื้อประโยชน์ให้ตระกูลชิดชอบ ผมเชื่อว่าไม่มีทางรอดเด็ดขาด“ คุณธนพร ยังย้อนข้อมูลด้วยว่า การเอื้อประโยชน์ให้ตระกูลชิดชอบในกรณีที่ดนเขากระโดงนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคพ่อของนายอนุทินคือนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล สมัยเป็นรมว.มหาดไทย ก็ไม่เพิกถอนที่ดินเขากระโดง จนมาถึงยุคที่นายอนุทินเป็นรมว.มหาดไทย ก็ยังซ้ำรอยเดิม สาเหตุที่กล้าเย้ยกฎหมาย ไม่สนคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะฝ่ายการเมืองคิดว่ามีอำนาจควบคุมองค์กรอิสระได้ เนื่องจากในอนาคต ป.ป.ช.อาจตกอยู่ในการควบคุมของพรรคภูมิใจไทยที่กุมเสียงข้างมากใน สว.อยู่ ทำให้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่เราต้องหยุดยั้ง ถ้าปล่อยไปประชาชนจะอยู่กันอย่างไร วันหนึ่ง วันใด คนพวกนี้คิดจะเอาที่ตรงไหนมาเป็นของตัวเองก็ได้ แบบนี้ยอมไม่ได้ ”มีที่ดินอีกแปลงที่จ.ปทุมธานี 2 งาน ไปออกโฉนดที่งอกริมตลิ่ง ซึ่งผิดกฎหมาย ผมรวบรวมพยานหลักฐานจะดำเนินคดีเหมือนกัน เป็นที่ของญาติคุณอนุทิน มีการออกโฉนดไปช่วงปีที่แล้ว…
ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง ทักษิณ-เพื่อไทยล้มการปกครองฯ ชี้การกระทำยังห่างไกลเกินกว่าล้มล้างฯ โดยมีมติเอกฉันท์ในส่วนประเด็นที่ 1 และ 3-6 ว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรืเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ส่วนประเด็นที่ 2 มีมติ 7 ต่อ 2 สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตุลาการเสียงข้างมาก 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยสองคนคือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภพล เทพพิทักษ์ เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้วินิจฉัยได้ สำหรับประเด็นที่สองที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นต่างกันคือ มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำกัมพูชา ซึ่งมีระบอบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการให้รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับสมเด็จฮุนเซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่กัมพูชา
ไม่รู้ศึก 2 หัวกะทิของประเทศอย่างแพทยสภา กับสภาเภสัชกรรม จะจบแบบไหน หลังแพทยสภายื่นฟ้อง สปสช. และสภาเภสัชกรรม ที่ขยายสิทธิดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการให้ร้านยาชุมชนอบอุ่น ที่มีเภสัชกรประจำอยู่สามารถตรวจโรคและจ่ายยาได้ เพราะเห็นว่าขัดต่อ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม นำมาซึ่งการตอบโต้กันระหว่างสององค์กรมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา The Publisher ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้เพราะมีประชาชนจำนวนมาก ที่ใช้สิทธิ 30 บาทจะได้รับผลไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง วันนี้จึงมาเปิด 2 มุมต่างของ 2 องค์กร โดยจะขอเริ่มจากแถลงการณ์ของแพทยสภากันก่อน เหตุผลสำคัญของแพทยสภาคือ ถึงแนวทางนี้ประชาชนได้รับยารวดเร็ว และลดความแออัดในโรงพยาบาล แต่คนไข้จะไม่ได้รับการตรวจ รักษา บำบัด เยียวยาอย่างถูกต้อง เสี่ยงไม่ได้ยาตรงตามอาการ เพิ่มโอกาสดื้อยา และอาจนำอันตรายร้ายแรงมาสู่คนไข้โดยไม่คาดคิด เช่นปวดหัว นึกว่าอาการเล็กน้อย แต่อาจเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ปวดท้องอาจเป็นการนำของโรคไส้ติ่งแตก หรือเส้นเลือดแดงใหญ่ปริแตก จึงควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเร่งด่วน หรือหลายโรคแม้อาการแรกเริ่มจะดูเล็กน้อยก็ตาม ที่ผ่านมาแพทยสภาพยายามหาทางออกร่วมกับ สปสช.และสภาเภสัชกรรม เพื่อให้มีแนวทาง ข้อตกลงร่วมในการแยกโรคที่มีภาวะรุนแรง กับโรคที่เภสัชกรจ่ายยาได้ปลอดภัย แต่ไม่สำเร็จ จึงจำเป็นต้องพึ่งศาลปกครองเพื่อหยุดและทบทวน คุ้มครองประชาชนให้เข้าถึงการรักษาที่ได้มาตรฐานเป็นสำคัญ คราวนี้มาดูเหตุผลของฝั่งสภาเภสัชกรรมกันบ้าง ถือเป็นแถลงการณ์ตอบโต้เลยทีเดียว โดยเริ่มจากโครงการนี้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจาก บอร์ด สปสช.ที่มีผู้แทนแพทย์ เภสัชกรและวิชาชีพอื่นๆ มาเป็นอย่างดี ส่วนการซักประวัติเพื่อจ่ายยา ก็เป็นมาตรฐานที่เภสัชกรดูแลผู้ป่วยมานานกว่า 70 ปีและเป็นไปตามกฎหมาย ระบุในสังคมที่เหลื่อมล้ำ มีประชาชนเข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์อยู่มาก โดยเฉพาะในอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งเภสัชกรสามารถซักถามประเมินอันตรายและจ่ายยาดูแลอาการตามความเหมาะสม ติดตามการใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนได้รับการรักษาถูกต้องได้ ส่วนอาการที่เสี่ยงอันตรายเป็นโรคร้ายแรง เภสัชกรจะรีบส่งต่อให้แพทย์ดูแลโดยด่วนอยู่แล้ว ในแถลงการณ์ยังพาดพิงไปถึงแพทย์บางคนละเลยความปลอดภัยในการจ่ายยาให้กับคนไข้ เช่นไม่ระบุชื่อยา รายละเอียดยา และไม่สามารถตรวจสอบได้หากมีปัญหาการใช้ยาอีกด้วย ตอนท้ายสภาเภสัชกรรม หวังแพทยสภาเปิดใจ หยุดและทบทวน รับฟังความเห็นความรู้สึกของประชาชน และทางสภาเภสัชกรรมพร้อมให้ความร่วมมือหาทางออกบนพื้นฐานให้เกียรติกันและกัน สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชน The Publisher เห็นด้วยที่ทั้ง 2 สภาอยากทำเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่จากท่าทีที่ตอบโต้กันไปมา ความหวังนี้คงต้องรอไปก่อน และไม่แน่ว่าหลังศาลปกครองตัดสินคดี ทั้งสองสภายังจะงัดข้อกันอีกหรือไม่ ถ้าไม่ก็เอวัง..ด้วยประการเช่นนี้ อนันต์ จารุนันทภาคย์ รวบรวม
เมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 -18.00 น. ณ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานีศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 โดยมีกิจกรรมมากมายภายในงานแบ่งออกเป็น 2 วัน ได้แก่ 20 และ 21 พฤศจิกายน โดยมีกำหนดการดังนี้ในในห้องย่อยที่ 1 ห้องระบบนิเวศความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน ภายใต้แนวความคิด (Road Safety Ecosystem for Youth) วันที่ 20 พฤศจิกายน เวลา 13.00 -17.00 น.ห้อง Sapphire 204 – รับชมคลิป A new decade, new generation, stronger together.- กล่าวนโยบายและบทบาทในการสร้างเสริมระบบนิเวศที่ปลอดภัยในสถานศึกษา โดย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ มอบเกียรติบัตรให้สถานศึกษาต้นแบบและเยาวชนที่ชนะการประกวดคลิปและอินโฟกราฟฟิก- เสวนาบทเรียนการขับเคลื่อนคณะอนุกรรมการด้านความปลอดภัยบนท้องถนนในกลุ่มเด็ก และเยาวชนระดับจังหวัด โดยมีผู้ร่วมเสวนาดังนี้1.นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน2.นายธนันท์ชัย เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการ จราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร3.ดร.ปัญณ์ จันทร์พาณิชย์ รองผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุบคุมโรค4.นายฐิติพัฒน์ ไทยจงรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางงบก กรมการขนส่งทางบก5.นายสุวัฒน์ พลับเพลิง หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมหาสารคาม6.นายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ดำเนินรายการโดย นางสาวชนิสา ชมศิลป์ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) ภายในงานเสวนานายธนันท์ เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครได้เริ่มโครงการ “เด็กเริ่ม ผู้ใหญ่ร่วม” เป็นภารกิจ ศปถ.กทม. ที่ สจส. ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2563 โดยมีเป้าหมายและจุดเน้นคือการสร้าง “เยาวชนต้นแบบ” และผู้ริเริ่ม “รักษ์วินัยจราจร”…
ถ้าพูดถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ต้องมองไปที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” ไม่เพียงเขาเป็นพ่อของนายกรัฐมนตรี ที่มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดและดีเอ็นเอเข้มข้นแล้ว ยังสืบทอดมาถึงความรักความชอบทางการเมือง ก๊อปปี้การมองเกม การตัดสินใจทางการเมืองในแต่ละช็อต แต่ละช่วงของนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน และชื่อทักษิณยังทรงอิทธิพลเหนือนโยบายรัฐบาล สังเกตุจากทุกคำของนายทักษิณ ทุกครั้งมักแปรเปลี่ยนเป็นนโยบายรัฐบาลอย่างกับแกะ เหมือนแกะแบบออกมาจากวงประชุมแกนนำรัฐบาล ตั้งแต่วิสัยทัศน์ทักษิณที่กลายมาเป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา เช่น เปิดวงเจรจากัมพูชาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน นำทรัพยากรในทะเลจัดสรรแบ่งครึ่ง หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และอื่น ๆ หรือการปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ที่นายทักษิณ พูดถึงนโยบายแจกเงินหมื่นบาท ที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าเฟส 2 หน้าตาจะเป็นแบบไหน ก่อนที่เขาจะปูดว่าจะแจกให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อนรอฟังได้เลย จากนั้นไม่กี่วันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจเคาะมาตรการแบบแม่นยังกับจับวาง รวมถึงมีมาตรการแก้หนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มที่นายทักษิณพูดบนเวทีเช่นกัน ถึงนายทักษิณจะแก้เขินให้ลูกสาวว่า นายกฯ แพทองธารมีความคิดเป็นของตัวเอง และต้องฟังคำสั่งนายกฯ ด้วยซ้ำจะครอบงำได้อย่างไร แต่เมื่อคิดอย่างสามัญสำนึกดูแล้วคนที่เห็นด้วยจริง ๆ กับนายทักษิณคงมีไม่มากนัก และสด ๆ ร้อน ๆ กับคำข้อมูลที่ “ยิ่งลักษณ์” คนตระกูลชินวัตรอีกคน จะกลับมาช่วงเทศกาลสงกรานต์ จนมีคนมองไปถึง “ทักษิณโมเดล” กลับมาแบบเท่ห์ ๆ ถึงขั้นมีคนตั้งฉายาจากนักโทษเทวดา ถึงนักโทษนางฟ้าใช่หรือไม่ และเรื่องนี้คนในรัฐบาลตั้งแต่นายกฯ ลงมาก็ดูเหมือนจะปฏิเสธได้ไม่เต็มปากนัก เหมือนกันกระทั่งเมื่อวันก่อนนายทักษิณฟันธงรัฐบาลชุดนี้อยู่ครบเทอมแน่ วันนี้นายกฯ “อุ๊งอิ๊งค์” ก็ประกาศบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์อย่างมั่นใจ “รัฐบาลดิฉันอยู่ครบเทอมค่ะ” จึงมีคำถามวน ๆ ว่าเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมาระหว่างนายทักษิณกับรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ เรียกว่าครอบงำ หรือสานต่อแนวคิด และระหว่างทักษิณ กับรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ใครใหญ่? สามัญสำนึกของคุณว่าอย่างไร คอมเมนต์กันได้นะครับ.บทความโดย อนันต์ จารุนันทภาคย์ ผู้เขียน
กลายเป็นไวรัลที่ชาวเน็ตเข้ามาช่วยกันแชร์กันเป็นจำนวนมาก หลัง “ครูอ๊อด” พ่อพระแห่งบ้านนกขมิ้น ผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เด็กด้อยโอกาส ได้โพสต์ขอรับบริจาคของเล่น ตุ๊กตา เนื่องจากใกล้ปีใหม่แล้ว แต่ของที่ได้รับบริจาคจากผู้ใหญ่ใจดีมีจำนวนน้อย เกรงว่าจะไม่พอแจกเด็ก ๆ โดยระบุข้อความว่า “ช่วยหน่อยเถอะครับ ปีนี้ของเล่นตุ๊กตา เข้ามาน้อยจริง ๆ สงสารเด็ก ๆ ที่เฝ้ารอของขวัญปีใหม่กันอยู่ ปีนี้ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะมีพอแจกจ่ายให้เด็ก ๆ หรือเปล่า ถ้าใครเห็นโพสต์นี้ ช่วยบอกต่อทีนะครับ ไม่อยากให้เด็ก ๆ ต้องผิดหวังเลยจริง ๆ” 😔 ช่วยหน่อยเถอะครับปีนี้ของเล่นตุ๊กตา เข้ามาน้อยจริงๆ สงสารเด็กๆที่เฝ้ารอของขวัญปีใหม่กันอยู่ ปีนี้ก็ไม่รู้จริงๆว่าจะมีพอแจกจ่ายให้เด็กๆหรือเปล่า ถ้าใครเห็นโพสต์นี้ ช่วยบอกต่อทีนะครับ ไม่อยากให้เด็กๆต้องผิดหวังเลยจริงๆ 😔 🙏ท่านสามารถส่งของเล่น… pic.twitter.com/oWoyd1f4Bu— ครูอ๊อด ขออาสา (@kuos2009) November 20, 2024 ทาง The Publisher ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการช่วยกระจายข่าว หากใครสนใจที่จะบริจาคตุ๊กตา ของเล่น เป็นของขวัญวันปีใหม่ให้กับเด็ก ๆ สามารถไปบริจาคได้ที่มูลนิธิบ้านนกขมิ้น หรือต้องการส่งของบริจาคไปก็ส่งไปตามที่อยู่ของมูลนิธิบ้านนกขมิ้นได้เลย ที่อยู่ “มูลนิธิบ้านนกขมิ้น 89 ถนน เสรีไทย ซอยเสรีไทย 17 แขวง คลองกุ่ม เขต บึงกุ่ม กทม 10240 เบอร์ 061-1167722” และวอนขอผู้ใจบุญทุกท่านที่มีความประสงค์ในการบริจาคสิ่งของ หรือตุ๊กตา โปรดนึกถึงใจผู้รับด้วย เพราะของสิ่งนั้นแม้มันจะไม่เป็นที่ต้องการของเราแล้ว แต่มันอาจมีคุณค่าทางจิตใจต่อผู้รับด้วยเช่นเดียวกัน. ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
ด้วยรสชาติอันหวานหอม บวกกับเนื้อสัปปะรดสีน้ำผึ้งอร่าม พ่วงด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้ “สัปปะรดห้วยมุ่น” สัปปะรดพันธุ์ปัตตาเวียที่มีชื่อเสียงของไทย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน GI ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง “สัปปะรดห้วยมุ่น” นับว่าเป็นผลไม้ไทยชนิดแรกที่ได้ GI ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นสินค้ารายการที่ 3 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ต่อจากกาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง พร้อมมอบหมายกรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งเดินหน้าสานต่อความร่วมมือเพื่อขยายตลาด GI ไทยในญี่ปุ่นต่อไป ทั้งนี้ ตลาดสินค้าสับปะรดในญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญที่ส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับ 4 รวมถึงยังมีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) นับเป็นการยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และการันตีความอุดมสมบูรณ์ของผลไม้ไทยในเวทีตลาดโลก.ข้อมูลอ้างอิง : รัฐบาลไทย
นายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลา มอบหมายเจ้าหน้าที่กลุ่มงานป้องกันการทุจริต ลงพื้นที่ตรวจสอบ ถนนลาดยางแอสฟัลต์คอนกรีต สายบ้านโต๊ะนนท์ ต.ปลักหนู อ.นาทวี จ.สงขลา กรณีที่ได้รับแจ้งเบาะแสจากศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. (Corruption Deterrence Center : CDC) ว่า เพจ Facebook ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ได้มีการโพสข้อมูลเมื่อวัน 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567 โดยมีรายละเอียดว่า “ถนนลาดยาง ขนาดกว้าง 8 เมตร ระยะทาง 1.9 กิโล พิกัดสายบ้านโต๊ะนนท์ ต.คลองทราย ถึงบ้านปลักหนู มูลค่า 8,010,000 บาท ผลงานอบจ.สงขลา ทำเสร็จเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พอเข้ากันยาทนไม่ไหวแตกหลุดร่อนเป็นช่วง ๆ ” นั้น จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า ถนนดังกล่าว อยู่ภายใต้โครงการบูรณะถนนลาดยาง แอสฟัลต์คอนกรีต ดำเนินการโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส แอล เอส คอนท์ หน่วยงานรับผิดชอบ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ระยะเวลาสัญญาจ้าง ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน – 17 สิงหาคม 2567 ดำเนินการตรวจรับงาน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา จากเหตุหลุดร่อนดังกล่าว ทางสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลา ได้ตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นว่า อาจเกิดคุณภาพของแอสฟัลต์คอนกรีต เนื่องชิ้นส่วนของถนนที่มีการหลุดลอกบางส่วนยังมีลักษณะไม่แข็งตัว ทั้งนี้โครงการดังกล่าวยังอยู่ในระยะเวลาประกันและความรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องของงานจ้างตามสัญญา ของคู่สัญญา โดยทางหน่วยงานรับผิดชอบหลักได้ดำเนินการประสานให้ดำเนินการเข้าซ่อมแซมถนนที่ชำรุดดังกล่าว ขณะที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลาได้มอบข้อเสนอแนะว่า เห็นควรให้ดำเนินการแก้ไข ซ่อมแซม ผิวถนนตลอดระยะของโครงการ โดยกำหนดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 4 เดือน และจะเข้าตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ดำเนินการตามคุณลักษณะงานหรือไม่