Author: Writer Publisher

11 สิงหาคม 2567 – ชื่อของ จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ หรือ “ต้นกล้า” ส.ส. พรรคประชาชน ตกเป็นข่าวฉาวครั้งแรกหลังมีส่วนพัวพันกับ เหตุทะเลาะวิวาทในร้านอาหารย่านเอกมัย ภาพของ ส.ส. หนุ่มในสถานการณ์ร้อนแรงถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง หลังเกิดกระแสกดดัน ต้นกล้าออกมา โพสต์ขอโทษและให้คำมั่นว่าจะดำรงตนให้เหมาะสม พร้อมยอมรับผิดที่ใช้ความรุนแรง และให้สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก เขาขอโทษประชาชนพร้อมให้คำมั่นว่า” จะดำรงตนให้เหมาะสมกับการเป็นผู้แทนราษฎร” เวลาผ่านไปไม่ถึงปี… 12 มีนาคม 2568 – สส.ต้นกล้ากลายเป็นข่าวอีกครั้ง แต่คราวนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในร้านอาหารย่านเอกมัย แต่เป็นภายในอาคารรัฐสภา ภาพของ ส.ส. ต้นกล้า สูบบุหรี่ไฟฟ้ากลางสภาฯ ถูกเผยแพร่ไปทั่วโซเชียล สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติกำลังพิจารณานโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า และมีเสียงเตือนถึงผลกระทบต่อเยาวชน กลับเป็น ส.ส. เองที่ทำผิดกฎหมาย ต้นกล้า โพสต์ขอโทษอีกครั้ง โดยระบุว่าเข้าใจความคาดหวังของประชาชน พร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ แต่…นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เขาต้องขอโทษประชาชนกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อการเป็น สส. หรือแท้จริงแล้ว” เขาไม่เหมาะกับการเป็น สส.?” พรรคประชาชน…กำลังเผชิญปัญหาภาพลักษณ์หรือไม่? กรณีของต้นกล้า ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในพรรคประชาชน เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยมี ส.ส. ของพรรคคนอื่นสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสภาฯ เช่นกัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะเดียวกัน คำถามสำคัญคือ ทำไมพรรคประชาชนถึงไม่มีมาตรการจัดการที่เด็ดขาดกับพฤติกรรมของสมาชิกพรรคที่ละเมิดกฎหมายในสถานที่ราชการ? หรือว่านี่สะท้อนปัญหาใหญ่ที่พรรคยังไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของ ส.ส. ตัวเองได้? การไม่ดำเนินมาตรการที่ชัดเจน อาจทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงมาตรฐานของพรรคประชาชนเอง เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนหนึ่งคน แต่เป็นเรื่องของ “วัฒนธรรมการเมือง” ของพรรคประชาชนที่กำลังถูกตั้งคำถาม หากพรรคประชาชนยังปล่อยให้ปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีมาตรการที่จริงจัง ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อพรรคอาจถูกบั่นทอนในระยะยาว และอาจส่งผลต่อโอกาสในการเลือกตั้งครั้งถัดไป “ต้นกล้า” จะเป็น “ต้นแบบ” หรือแค่ “ต้นเหตุ” ของปัญหา? จากเหตุวิวาทในร้านอาหาร สู่การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสภาฯ ต้นกล้าเคยขอโทษและให้คำมั่นแล้วว่าจะดำรงตนให้เหมาะสม แต่นี่เป็นครั้งที่สองที่ต้องพูดประโยคเดียวกัน หากต้นกล้าสามารถ พิสูจน์ตนเองและรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนได้ เขาอาจเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตสดใส แต่หาก พฤติกรรมเช่นนี้ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามเรื่องความเหมาะสมอาจไม่ใช่แค่คำถามในโลกออนไลน์อีกต่อไป แต่อาจกลายเป็นข้อเรียกร้องให้พรรคประชาชนพิจารณามาตรการที่เด็ดขาดกว่านี้ สิ่งที่น่ากังวลคือ พฤติกรรม สส.รุ่นใหม่ ที่กลายเป็นผู้ทำผิดเสียเอง ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม…

Read More

วันที่ 12 มีนาคม 2568 – กรณีภาพ ส.ส. เดินสูบบุหรี่ไฟฟ้าภายในรัฐสภา ถูกแชร์ว่อนโลกออนไลน์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้ายังคงเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนไทย และเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายไทย แต่กลับมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสถานที่ราชการ ล่าสุด นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ หรือ “ต้นกล้า” ส.ส. พรรคประชาชน ได้ออกมาโพสต์ข้อความขอโทษผ่านโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า จากกระแสข่าวที่เผยแพร่ออกมา ผมทราบดีว่าทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความกังวลและมีข้อสงสัย ผมจึงอยากขอโทษจากใจจริงที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สบายใจ ผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมีต่อตัวผมในฐานะผู้แทน ผมเองก็ซาบซึ้งกับทุกความคิดเห็นที่ส่งมา ผมให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากทางรัฐสภา เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการเป็นผู้แทนราษฎร สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่าผมยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม กระแสสังคมสองขั้ว – วิจารณ์เดือดในโซเชียล โพสต์ของ ส.ส. ต้นกล้า ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างหนักในโซเชียลมีเดีย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา เรียกร้องให้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับ ส.ส. พรรคประชาชนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมย้ำว่าผู้แทนราษฎรควรเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่ทำผิดเสียเอง ขณะที่กลุ่มแฟนคลับของ ส.ส. ต้นกล้า ออกมาให้กำลังใจ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลที่อาจมีพฤติกรรมเดียวกัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและเท่าเทียมกันในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นที่จับตาของสังคม ว่าทางรัฐสภาจะมีมาตรการดำเนินการต่อกรณีนี้อย่างไร และจะมีผลกระทบต่อเส้นทางการเมืองของ ส.ส. ต้นกล้า ในอนาคตหรือไม่ ก่อนหน้านี้ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่า เรื่องของ “ต้นกล้า” จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ และเปิดโปงต่อว่า ไม่ได้มีเพียงแค่สส.พรรคประชาชนที่มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่ยังมีสมาชิกพรรคการเมืองอื่นด้วย โดยในวันที่ 13 มีนาคม 2568 จะมีรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ จะได้พิจารณาแนวทางการควบคุมหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

Read More

วันที่ 11 มีนาคม 2568 – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงของการทุจริต กรณีเรียกรับสินบน” ซึ่งระบุว่า การเรียกรับสินบนเป็นหนึ่งในรูปแบบของการทุจริตที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และภาพลักษณ์ของประเทศ สถิติร้องเรียนการเรียกรับสินบน 5 ปี กว่า 1,000 คดี ข้อมูลของ ป.ป.ช. ระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) มีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ การเรียกรับสินบนรวม 1,034 คดี โดยสถิติการดำเนินคดีแบ่งเป็น พ.ศ. 2563 – 171 คดี พ.ศ. 2564 – 229 คดี พ.ศ. 2565 – 227 คดี พ.ศ. 2566 – 226 คดี พ.ศ. 2567 (ล่าสุดถึงวันที่ 7 พ.ย. 2567) – 181 คดี ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการเรียกรับสินบน ป.ป.ช. วิเคราะห์ว่า การเรียกรับสินบนมักเกิดขึ้นในกระบวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ตรวจสอบ หรือตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เช่น การให้ใบอนุญาต การตรวจสอบภาษีการพิจารณาโครงการภาครัฐ และการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับประชาชน ในบางกรณี เจ้าหน้าที่รัฐอาจใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หรือผู้ประกอบการอาจเสนอผลตอบแทนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพิเศษหรือเร่งรัดกระบวนการต่างๆ ผลกระทบของการเรียกรับสินบน ป.ป.ช. ระบุว่า การเรียกรับสินบนส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบราชการและภาคธุรกิจ โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อหน่วยงานภาครัฐ,ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น,ทำลายบรรยากาศการลงทุนของประเทศ และเพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใส ในระบบราชการ มาตรการควบคุมและการป้องกันการเรียกรับสินบน ป.ป.ช. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ มาตรการป้องกันและปราบปราม ซึ่งรวมถึง การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด โดย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดบทลงโทษที่รุนแรง โครงการ…

Read More

“DSI ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง – เราทำทุกอย่างตามกฎหมาย” นี่คือจุดยืนของ พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Publisher ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า DSI อาจกำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จากกรณีดำเนินคดีฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการเลือก ส.ว. “DSI ถูกตรวจสอบได้ – แต่ขอย้ำว่าเราทำทุกอย่างตามกฎหมาย” เมื่อถูกถามถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว. ที่ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวน DSI ในข้อหา “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” อธิบดี DSI ตอบอย่างหนักแน่นว่า “หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายก็ต้องพร้อมถูกตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ผมยืนยันว่าเราทำทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย เมื่อมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้มีการดำเนินคดี เราต้องสืบสวนว่ามีมูลความผิดหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เรายังไม่ได้กล่าวหาระบุตัวบุคคลใด” เขาอธิบายว่า DSI รับเป็นคดีพิเศษเพราะมีเหตุอันควร ไม่ใช่เพราะแรงกดดันทางการเมือง โดย DSI ประสานงานกับ กกต. แล้ว กกต.ระบุว่า ทำเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ไม่ได้ตัดอำนาจหน่วยงานอื่นที่จะรับเรื่องไว้ ถ้ารับไว้แฃ้ว กกต.ก็สามารถแจ้งรับโอนได้เฉพาะเรื่องการเลือกตั้งและพรรคการเมืองเท่านั้น ความผิดอาญาอื่นที่มีผู้ร้องขอให้ตรวจสอบหรือกล่าวโทษให้ดำเนินคดีจะต้องสืบสวนสอบสวน แม้ไม่เป็นคดีพิเศษก็เป็นคดีธรรมดาที่ตำรวจต้องรับดำเนินการอยู่ดี “ไม่มีรับใช้การเมือง ทำทุกอย่างตามกฎหมาย“ พ.ต.ต. ยุทธนา ย้ำว่า DSI ไม่มีธง ไม่มีการรับใช้ทางการเมืองใด ๆ “การรับใช้ทางการเมืองต้องหมายถึงการกระทำที่อยู่นอกกฎหมาย หรือสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเล่นงานใคร แต่กรณีนี้มีผู้สมัคร ส.ว. เป็นผู้กล่าวโทษ และนำพยานหลักฐานมายืนยันคดีนี้ผ่านกระบวนการตรวจสอบก่อนรับเป็นคดีพิเศษ ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” “อย่าเปรียบเทียบผมกับ ธาริต เพ็งดิษฐ์” เมื่อถูกถามถึง มีผู้เปรียบเทียบกรณีของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดี DSI ที่เคยถูกดำเนินคดีฐานใช้อำนาจโดยมิชอบหลังตั้งข้อกล่าวหาต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ในคดีสลายการชุมนุมจนสุดท้ายศาลฎีกายกฟ้อง และตัวธาริตเองถูกตัดสินจำคุก 2 ปี กับการรับคดีฟอกเงิน สว. มองอย่างไร? พ.ต.ต. ยุทธนา ตอบกลับทันทีว่า…

Read More

“เราอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร ไม่ใช่ทักษิณ เราต้องยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นทางกฎหมายต้องนำชื่อ ‘ทักษิณ’ ออกจากญัตติ เพราะเป็นการอภิปรายแพทองธาร ที่ปล่อยให้บุคคลภายนอกมีอิทธิพลเหนือการบริหารประเทศจนชาติเสียหาย” นี่คือจุดยืนของ พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” กับ สมจิตต์ นวเครือสุนทร ท่ามกลางศึกชิงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ยังไร้ข้อยุติ หลังประธานสภาฯ ปฏิเสธการบรรจุวาระ หากฝ่ายค้านไม่ตัดชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากเนื้อหา ญัตตินี้ไม่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณ “ข้อกล่าวหาไม่ใช่ข้อกล่าวหาทักษิณ แต่เป็นข้อกล่าวหาแพทองธาร ที่ปล่อยให้คุณทักษิณมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนายกฯ ทำให้ตัดสินใจดำเนินการหรือละเว้นการดำเนินการบางอย่างที่สร้างความเสียหายต่อประเทศ” พริษฐ์ ระบุว่า ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารที่ล้มเหลว แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ คือ อิทธิพลของทักษิณ ที่มีต่อการบริหารของแพทองธาร “นี่ไม่ใช่การอภิปรายทักษิณ แต่เรากำลังอภิปรายว่าทำไมนายกฯ ถึงปล่อยให้มีบุคคลภายนอกมีอิทธิพลเหนือการบริหารของตัวเอง” เขายืนยันว่า “ไม่มีเหตุผลทางกฎหมาย” ที่ต้องตัดชื่อทักษิณออก เพราะรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมไม่ได้ห้ามการอภิปรายบุคคลภายนอก หากมีความจำเป็นเพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหา “นี่คือหลักการที่สำคัญ ถ้าเรายอมวันนี้ มันจะเป็นบรรทัดฐานที่ผิดพลาดสำหรับอนาคต” อย่างไรก็ตามการอภิปรายในสภาฯ ก็เป็นเวทีสำคัญ จึงต้องหาทางออกที่ไม่กระทบต่อหลักการที่ยึดถือ ไม่ทำให้เนื้อหาในญัตติเสียไป รวมถึงให้การอภิปรายฯ เป็นไปได้อย่างเต็มที่ด้วย อำนาจประธานสภาฯ มีแค่ตรวจสอบรูปแบบ ไม่ใช่ตัดสินใจเนื้อหา พริษฐ์ ยังตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจของ ประธานสภาฯ ที่ไม่บรรจุญัตติ โดยให้เหตุผลว่าเนื้อหามีปัญหาด้วย “ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ ประธานสภาฯ ไม่มีอำนาจตัดสินเนื้อหาญัตติ ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ อำนาจที่มีคือการตรวจสอบข้อบกพร่องในเรื่องรูปแบบ เช่น ลายเซ็นไม่ครบ หรือไม่ตรงกับที่มีอยู่ในระบบ” เขาเตือนว่า “ถ้าเราปล่อยให้ประธานสภาฯ ตัดสินความเหมาะสมของเนื้อหาญัตติได้ หมายความว่าในอนาคต ประธานสภาฯ จะมีอำนาจก้าวก่ายการทำงานของฝ่ายค้าน ถ้าประธานสภาฯ ยุคนี้ทำได้ ประธานสภาฯ ในยุคอื่นก็จะใช้อำนาจเดียวกันเพื่อตัดญัตติของฝ่ายค้านได้เช่นกัน” พริษฐ์ กล่าวและเตือนว่าการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ อาจเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะทำเกินอำนาจหน้าที่ของตัวเอง “เหตุผลที่ใช้ค้านการบรรจุญัตติ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา” อีกเหตุผลที่ทำให้พรรคประชาชนเห็นว่าการส่งเรื่องให้แก้ไขญัตติไ่ม่ถูกต้องคือเรื่องกรอบเวลาที่เอกสารส่งไปถึงผู้นำฝ่ายค้านที่เลยเวลา 7 วันไปแล้ว โดยครั้งแรกอ้างว่า มีการคุยด้วยวาจากับผู้นำฝ่ายค้านก่อนแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า “เราอนุญาตให้มีการใช้วาจาแทนหนังสือเป็นลายลักษณ์อกัษรแล้วหรือ?” อีกทั้งในการชี้แจงครั้งต่อมายังไปอ้างว่าการนับวันให้นับเฉพาะวันทำการไม่นับเสาร์อาทิตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสภาฯ…

Read More

ตัดพ้อ ทำงานดีแต่ฝ่ายการเมืองไม่พอใจ ประเทศไร้ความยุติธรรมเพราะผู้นำจิตวิญญาณครอบงำหรือไม่ เปรียบ อธิบดี DSI เป็นแมว มีคนเลี้ยงคอยกระตุก เตือนจับปลาในน้ำ ระวังตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา นำทีม สว .81 คน มายื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเป็นผลสืบเนื่องจากกณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้ว สว.ข้อหาฟอกเงินเป็นคดีพิเศษโดยเห็นว่าไม่มีอำนาจ ซึ่งในหนังสือยื่นคำร้องมีสว. ร่วมลงชื่อจำนวน 105 คน โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรร เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่าวันนี้มายื่นให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและมีเจตนาพิเศษ จงใจกล่าวหากลั่นแกล้ง สว.เพื่อให้ได้รับโทษทางอาญา ยืนยันว่า สว.มาตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 107 ทั้งตามระเบียบ กกต.และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ขั้นตอนการรับสมัคร และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งมีข้อสงสัยว่าเหตุใดพยานหลักฐานจากข้อกล่าวหาต่างๆ จึงมีเป็นจำนวนมาก ตนในฐานะที่เคยเป็นอดีตพนักงานสอบสวน ประหนักได้ว่าฐานเพียงพอหรือไม่ในการตั้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะความผิดข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร นั้น สว. รับไม่ได้ เพราะที่มาทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจากหลายสาขาอาชีพ จึงถือว่าองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการได้มาซึ่ง สว. คือคณะกรรมการการเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และเห็นว่าเป็นธรรมดาทั่วไปของมนุษย์เมื่อไม่ได้และผิดหวัง ก็ไปร้องเรียนผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งทุกคนใช้วิจารณญาณในการดำเนินการได้ แต่การกล่าวหาว่าสว. ชุดนี้มีการฮั้ว เรารับไม่ได้ กำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและดำเนินการต่อไป ขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐานทุกคนที่กล่าวหา พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ ยังกล่าวอีกว่าการดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดี DSI ทำให้พวกตนถูกกล่าวหาและถูกดูหมิ่นจากประชาชนว่ามีที่มาไม่สุจริต นอกจากนี้ยังเชื่อว่า กกต.มีหลักฐานเรื่องร้องเรียนการเลือก สว.มากกว่าที่ DSI อ้าง เพราะ กกต.เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนมาก่อนแล้ว ซึ่ง กกต.ใช้ความละเอียดรอบคอบและมีความระมัดระวังในการกล่าวหาต่อผู้ที่ได้รับการรับรองเป็นสว.ไปแล้ว ไม่เหมือนผู้ร้องที่อยากเป็นเร็ว อยากขยับขึ้นมาก็กล่าวหาว่ากกต.ทำงานด้วยความล่าช้า อยากถามว่ากกตจะต้องไปตรวจสอบผู้สมัคร 40,000 คน จะใช้เวลาเท่าไหร่ 6-7 เป็นไปได้หรือไม่ หาก…

Read More

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นำโดย นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ป.ป.ท. พร้อมด้วยหน่วยงานปราบปรามการทุจริต ได้แก่ กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมจับกุมข้าราชการกรุงเทพมหานคร 7 ราย ในข้อหา ทุจริตงบซ่อมรถโดยสารปรับอากาศที่ไม่มีการซ่อมจริง หรือ “ซ่อมรถบัสทิพย์” คิดเป็นความเสียหายของภาครัฐ รวมกว่า 2.79 ล้านบาท ซ่อมรถบัสแค่ในเอกสาร – ข้าราชการ กทม. 7 รายเอี่ยวโกงงบซ่อมรถ ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจพบความผิดปกติในการ จ้างเหมาซ่อมรถโดยสารปรับอากาศ ขนาด 45-50 ที่นั่ง จำนวน 5 คัน ของ กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ในช่วงปี 2565 – 2567 พบการทุจริตซ่อมรถที่ไม่มีการส่งซ่อมจริง โดยสตง. พบการเบิกจ่ายงบประมาณผิดปกติ 11 ครั้งขณะที่ ป.ป.ท. ตรวจสอบเพิ่ม พบการทุจริตอีก 12 ครั้ง และ กทม. ตรวจพบเพิ่มเติมอีก 5 ครั้ง รวมแล้วพบการทุจริตทั้งสิ้น 28 ครั้ง เป็นมูลค่าความเสียหาย 2,790,748 บาท ข้าราชการ 7 ราย ร่วมขบวนการทุจริต – ปลอมเอกสารฮั้วซ่อมรถ ข้าราชการ กทม. ทั้ง 7 ราย มีบทบาทสำคัญในการจัดทำเอกสารเท็จ เพื่อเบิกงบประมาณซ่อมรถโดยสาร โดยที่ ไม่มีการส่งรถเข้าซ่อมจริง พฤติการณ์การทุจริต ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ ขออนุมัติจ้างซ่อม,ปลอมใบเสนอราคา ของบริษัทซ่อมรถ,จัดทำเอกสารเสนอราคากลางเท็จ จากนั้นดำเนินการอนุมัติจัดสรรงบประมาณ สุดท้ายเงินถูกเบิกจ่ายไปกว่า 2.79 ล้านบาท โดยไม่มีการซ่อมแซมรถจริงแม้แต่ครั้งเดียว 6 รายเข้ามอบตัว…

Read More

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วยชุดสืบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินการติดตามและจับกุม นายสุภาพฯ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ 658/2565 ลงวันที่ 4 ส.ค. 2565 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงฯ” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จับกุมริมถนน พบหมายจับพัวพันอีก 8 คดี เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว นายสุภาพฯ ได้บริเวณริมถนนหน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากการตรวจสอบพบว่า เขามีหมายจับเพิ่มเติมอีก 8 หมายจับ ซึ่งล้วนเป็นคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน เปิดบัญชีม้า อ้างถูกสแกมเมอร์หลอก แต่ผู้เสียหายนับไม่ถ้วน สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ มีแก๊งมิจฉาชีพใช้ โซเชียลมีเดีย โพสต์หาคนสนใจรับงานสร้างรายได้ โดยให้ผู้สมัครส่งข้อมูลส่วนตัวเข้าไป นายสุภาพฯ สนใจจึงส่งข้อมูลของตนเองไปให้ และได้รับคำสั่งให้เปิดบัญชีธนาคาร ก่อนนำไปให้แก๊งมิจฉาชีพใช้ แต่หลังจากเปิดบัญชีและส่งไปให้ เขากลับไม่ได้รับค่าจ้าง และไม่สามารถติดต่อกับกลุ่มมิจฉาชีพได้ บัญชีที่ถูกเปิดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน โดยมิจฉาชีพนำไปใช้โพสต์ขายสินค้าตามเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น กล่องสุ่ม โปรตีน อาหารเสริม สบู่ และ ชุดตรวจ ATK (สินค้าหลักที่หลอกขาย มีผู้เสียหายจำนวนมาก) มิจฉาชีพโกงเงิน ผู้เสียหายโอนเข้าบัญชี – เจ้าของบัญชีรับเคราะห์ เมื่อมีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินเข้าบัญชี แต่กลับไม่ได้รับสินค้า จึงเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ นายสุภาพฯ ในฐานะเจ้าของบัญชีที่รับเงิน พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐาน และขอศาลออกหมายจับ ก่อนพบว่านายสุภาพฯ มีหมายจับในคดีฉ้อโกงอื่น ๆ เพิ่มอีก 8 คดี หนีมาอยู่ชลบุรี สุดท้ายไม่รอด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับคำสั่งให้ติดตามตัว จนพบว่า นายสุภาพฯ หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี…

Read More

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สร้างชื่อในเวทีโลกอีกครั้ง หลังคว้ารางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2025” จาก Central Banking Publications ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของธนาคารกลางไทยในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ท่ามกลางความพยายามแทรกแซงจากรัฐบาล โดยรางวัลนี้ถือเป็นรางวัลสูงสุดในเวที Central Banking Awards ซึ่งมอบให้แก่ธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นระดับโลก โดย ธปท. กลายเป็นธนาคารกลางแห่งที่ 12 ของโลกที่ได้รับรางวัลนี้ นับตั้งแต่มีการมอบรางวัลครั้งแรกในปี 2014 Central Banking Publications ยกย่อง ธปท. ป้องกันการแทรกแซง รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ Central Banking Publications ระบุว่า ธปท. ได้รับรางวัลนี้เพราะสามารถรักษาความเป็นอิสระ ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ยังสามารถบริหารนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้น สมดุลระหว่างการดูแลเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน “ธนาคารกลางไทยสามารถต่อต้านการแทรกแซงจากรัฐบาล ขณะที่ยังคงทำตามพันธกิจและเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตของภาคการเงิน” – Central Banking Publications แต่รางวัลนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากย้อนกลับไปตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ธปท. ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่ยุคของเศรษฐา ทวีสิน ไปจนถึง แพทองธาร ชินวัตร รวมถึงความพยายาม ดัน กิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้ขึ้นเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แต่สุดท้ายต้องล้มเหลวเพราะติด คุณสมบัติต้องห้าม ย้อนศึก “รัฐบาลเพื่อไทย vs แบงก์ชาติ” เมื่อธปท.ต้องยืนหยัดต้านแรงกดดันทางการเมือง แม้รัฐบาลเพื่อไทยจะขึ้นสู่อำนาจด้วยนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ ธปท. ยังคงยืนหยัดในแนวทางของตน โดยเลือก รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระบบการเงิน มากกว่าการดำเนินนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง ยุคเศรษฐา ทวีสิน: ศึกดอกเบี้ย – นโยบายคนละทางกับ ธปท. ในช่วงที่ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขา วิจารณ์นโยบายดอกเบี้ยของ ธปท. อย่างหนัก โดยระบุว่า ธปท. ควรลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ ธปท. ยืนกรานว่าการปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจกระทบเสถียรภาพระยะยาว และยืนหยัดรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ…

Read More

ผมเห็นด้วยกับความเห็นของนายชวน หลีกภัย เรื่องการใส่ชื่อนายทักษิณ ชินวัตรลงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าสามารถทำได้ เพราะเชื่อว่านายชวนเป็นผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงสุดในบรรดา ส.ส.ทั้งสภา เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว2ครั้ง ได้ชื่อว่าเป็นประธานสภาฯ ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง จึงเห็นว่าการมีชื่อนายทักษิณไม่จำเป็นต้องลบชื่อออกจากญัตติ แต่เมื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรยืนกรานว่า ให้ลบชื่อนายทักษิณออกจากญัตติ ถ้าไม่ลบชื่อออก จะไม่บรรจุในวาระการประชุม ในขณะเดียวกันพรรคประชาชน ก็ยืนยันว่า จะไม่แก้ไขญัตติ เพราะเป็นญัตติที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับทุกประการ นายวันมูหะมัดนอร์ต่างหากที่ทำผิดข้อบังคับ ออกหนังสือด่วนถึงผู้นำฝ่ายค้านเกินเวลา7วันแล้ว ผมเห็นว่าถ้าหากนายวันมูหะมัดนอร์ ไม่บรรจุเป็นวาระการประชุม ก็ไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และเมื่อพรรคประชาชนก็ไม่ยอมลบชื่อนายทักษิณ แต่เดินหน้าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธารต่อไป เมื่อไม่สามารถอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรได้ ทางออกที่ดีที่สุด คือขอเสนอให้พรรคประชาชน จัดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธารนอกสภา ซึ่งสามารถทำได้ไม่ต่างอะไรกับการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเพียงแต่ 1.ไม่มีการลงมติ ซึ่งไม่มีผลอะไร เพราะลงมติไป ฝ่ายรัฐบาลก็ชนะฝ่ายค้านอยู่ดี 2.การอภิปรายนอกสภาไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองก็ไม่เป็นไร เพราะการอภิปรายถึงนายทักษิณในสภา ก็ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเหมือนกัน 3.การอภิปรายในสภาหรือนอกสภา สื่อมวลชนก็สามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระการอภิปรายได้อย่างครบถ้วนเหมือนกัน ผมจึงสนับสนุนการอภิปรายนอกสภา ซึ่งสามารถใช้สถานที่โรงแรมแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้ และถ้าหากไม่มีใครทำหน้าที่ประธานการประชุมอภิปรายนอกสภา ผมยินดีเป็นประธานที่ประชุมนอกสภาให้ได้ มีความเป็นกลาง100%เพราะไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด การเปิดอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาชน เป็นการยืนยันจุดยืนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธารให้จงได้ และจะได้ลบข้อครหาว่าการล้มญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เป็นเกมการเมืองที่วางแผนไว้ล่วงหน้าของพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

Read More