- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
“อิจฉานายกสมาคมฯ ใหม่ เข้ามาไม่ต้องสร้างอะไรเลย ไม่เหมือนผม มีแค่กุญแจดอกเดียว คนมาใหม่มีพร้อมทุกอย่าง” คำพูดของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก่อนพ้นตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ฟังดูเหมือนเป็นการส่งต่อสมาคมที่มั่นคงและเติบโต แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเป็น หนี้สิน 560 ล้าน คดีความไม่จบสิ้น และระบบที่รอการสะสาง “แป้งไม่ได้เป็นคนก่อหนี้ แต่ต้องมารับผิดชอบ แป้งทนเห็นสมาคมฯ ล้มละลายไม่ได้” – นี่คือคำพูดทั้งน้ำตาของ มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบันที่ต้องแบกรับปัญหาทั้งหมด แต่ที่เจ็บปวดกว่าคือ “บางคน” ที่ทำให้สมาคมฯ เสี่ยงล้มละลายตั้งแต่ต้น ยังกล้าพูดในวันพ้นตำแหน่งว่า “สร้างสมาคมฯ จนพร้อมทุกอย่าง” สร้างแบบไหน? สมาคมฯ เต็มไปด้วยหนี้สินและการบริหารที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส และภาระที่คนใหม่ต้องมาแบกแทน! รู้จัก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง: อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ ที่จากไปพร้อมมรดกหนี้ หนี้สินและคดีความที่ทิ้งไว้ แพ้คดีสยามสปอร์ต สมาคมฯ ต้องจ่าย 360 ล้าน สมาคมฯ ถูกศาลฎีกาตัดสินให้ชดใช้เงิน 360 ล้านบาท จากการยกเลิกสัญญาถ่ายทอดสดอย่างไม่เป็นธรรมในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พร้อมดอกเบี้ยที่อาจทำให้ยอดหนี้ทะลุ 560 ล้านบาท กู้เงินจากฟีฟ่า 155 ล้าน ต้องทยอยใช้หนี้ถึงปี 2575 สมาคมฯ ในยุคสมยศกู้เงินจากฟีฟ่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 155 ล้านบาท ซึ่งต้องถูกหักคืนจากเงินสนับสนุนปีละ 42 ล้านบาทไปจนถึงปี 2575 ค่าทนาย 30 ล้าน – ตัวเลขที่น่าสงสัย มีการจ่ายค่าทนายฎีกา 30 ล้านบาท ในคดีสยามสปอร์ต ขณะที่ค่าทนายศาลชั้นต้นเพียง 750,000 บาท และศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท ทำให้เกิดข้อครหาถึงความโปร่งใส เงินเดือนนายกฯ 1 ล้าน/เดือน – คืนจริงหรือแค่ลมปาก? มีรายงานว่า สมยศรับเงินเดือนจากสมาคมฯ และไทยลีก…
เสียงสะอื้นของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ สะท้อนความอัดอั้นตันใจจากภาระหนี้มหาศาลที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องรับผิดชอบ จากการบริหารของพล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมฯ 360 ล้าน จากคดีแพ้สยามสปอร์ต + ดอกเบี้ย, กู้เงินจากฟีฟ่า 155 ล้าน ต้องทยอยใช้หนี้ถึงปี 2575,มีเงินคงเหลือในสมาคมฯ ก่อนเธอเข้ามา ศาลฎีกาตัดสิน สมาคมแพ้คดี ต้องจ่าย 360 ล้าน! การยกเลิกสัญญาถ่ายทอดสดยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทำให้สมาคมฟุตบอลต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล บวกดอกเบี้ยต่อปี รวมแล้วอาจพุ่งถึง 560 ล้านบาท “นี่คือมรดกที่แป้งไม่ได้ก่อ แต่ต้องจ่าย” มาดามแป้งกล่าวทั้งน้ำตา พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินการ ฟ้องไล่เบี้ย เอาเงินคืนจากอดีตนายกฯ และสภากรรมการชุดก่อน “แป้งขอเพียงความเห็นใจและกำลังใจจากแฟนบอล ปัญหานี้ต้องถูกแก้ไข แป้งไม่ได้เป็นผู้ก่อมันขึ้นมา” ไล่เบี้ย – เคลียร์หนี้ – ค้นหาความจริง มาดามแป้ง เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก พล.ต.อ.สมยศ และทีมบริหารชุดเก่า,ตรวจสอบเงินเดือน 32 ล้าน ที่อดีตนายกฯ อ้างว่าคืนให้สมาคมแล้วคืนจริงหรือแค่ลมปาก? เพราะตรวจสอบแล้วยังไม่พบหลักฐานการคืนเงิน และยังมีความผิดปกติเงิน 30 ล้าน ที่ใช้จ่ายค่าทนายในชั้นฎีกา ทำไมแพงกว่าทุกชั้นศาลก่อนหน้าเป็น 100 เท่า? จากศาลชั้นต้น 750,000 บาท ชั้นอุทธรณ์ 300,000 บาท พุ่งมาเป็น 30 ล้านบาทในชั้นฎีกา จากที่ตกลงก่อนหน้าว่าจะจ่ายเพียง 300,000 บาท จนเกิดข้อสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แอบแฝง หรืออาจเข้าข่ายการฉ้อโกงและฟอกเงิน ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้เวลาตรวจสอบราว 1 เดือน “หนี้ต้องใช้ และความจริงก็ต้องถูกเปิดเผย” ไม่คุยกับสมยศ แต่คุยกับ… เนวิน ชิดชอบ! ก่อนแถลงข่าว มาดามแป้งบอกว่าไม่ได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.สมยศ แต่ได้ปรึกษา เนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเธอ “ถ้าแป้งคุยกับพล.ต.อ. สมยศ แป้งคงพูดทุกอย่างด้วยใจหนักแน่นแบบนี้ไม่ได้” ผลงานของมาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมฯ…
ทุกปีเมื่อใกล้ถึง วันแรงงาน 1 พฤษภาคม เสียงเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง และปีนี้ รัฐบาลก็ประกาศอีกหนว่าค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่ปัญหาคือ… ปีที่แล้วก็พูดแบบนี้ แล้วมันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? แล้วปีนี้ แรงงานจะได้ขึ้นค่าแรงจริงไหม? หรือจะเป็นแค่คำสัญญาที่วนซ้ำเดิม? ย้อนดูค่าแรงขั้นต่ำปี 2567: ได้ขึ้นเท่าไหร่กันแน่? เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 ได้มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเพิ่มขึ้นในอัตรา 7 – 55 บาทต่อวัน (เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.9%) ซึ่งแบ่งออกเป็น 17 อัตรา ทั่วประเทศ จังหวัดที่ได้ค่าแรง 400 บาท/วัน ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และอำเภอเกาะสมุย เท่านั้น จังหวัดอื่น ๆ ได้ขึ้นนิดเดียว กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มแค่ 9 บาท 67 จังหวัดที่เหลือ เพิ่มแค่ 7 บาท แล้วค่าแรง 400 บาทที่หาเสียงไว้ล่ะ? คำสัญญา “ขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ” กลายเป็นจริงแค่ใน 4 จังหวัด กับ 1 อำเภอ คนที่เหลืออีก 70 จังหวัดต้องทนรับค่าแรงที่ขึ้นแค่หลักหน่วย แล้วปีนี้จะซ้ำรอยเดิมอีกไหม? รัฐมนตรีแรงงานยืนยัน “ปีนี้ 400 บาทต้องมา” – แต่จะมาได้จริงหรือ? พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งวันนี้ลดความ “มั่นหน้า” ไปเยอะจากปีที่แล้วเคยประกาศว่า “ค่าแรง 400 บาททั่วประเทศต้องเกิดขึ้นภายในปีนี้ และจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2567” แต่สุดท้ายทำไม่ได้ เสียรังวัดไป เพราะต้องเลื่อนประชุมไตรภาคีไปถึงสองรอบจากปัญหาองค์ประชุมล่ม สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ 400 บาท…
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ ปัญหาค่าไฟแพง ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น ทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน เราได้ยินแต่คำว่า “ตรึงราคา” แต่ไม่เคยได้ยินว่า จะแก้โครงสร้างค่าไฟฟ้าอย่างไร ล่าสุดก็เช่นกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับงวด พ.ค.-ส.ค. 2568 โดยมี 3 แนวทางให้พิจารณา ซึ่งอาจส่งผลให้ ค่าไฟพุ่งแตะ 5.16 บาทต่อหน่วย หรือคงที่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย “ปรับขึ้น หรือ คงที่?” – 3 แนวทางค่าไฟที่ประชาชนต้องจับตา กรณีที่ 1: ค่าไฟสูงสุด 5.16 บาท/หน่วย (+24%) ปรับค่าเอฟที 137.39 สตางค์/หน่วย ชดเชยต้นทุนคงค้างของ กฟผ. และ รัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน คืนทั้งหมด ค่าไฟเฉลี่ย เพิ่มขึ้นจาก 4.15 → 5.16 บาท/หน่วย กรณีที่ 2: ค่าไฟ 4.95 บาท/หน่วย (+19%) ปรับค่าเอฟที 116.37 สตางค์/หน่วย ชดเชยต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด แต่ไม่รวมส่วนต่างราคาก๊าซ ค่าไฟเฉลี่ย เพิ่มขึ้นจาก 4.15 → 4.95 บาท/หน่วย กรณีที่ 3: ตรึงค่าไฟเท่าเดิม 4.15 บาท/หน่วย ค่าเอฟทีคงที่ 36.72 สตางค์/หน่วย ทยอยชำระคืนหนี้ กฟผ. แทนการจ่ายทั้งหมดในครั้งเดียว ประชาชนไม่ต้องแบกรับภาระเพิ่มในทันที โดยกกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2568 ก่อนสรุปและประกาศอัตราค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ โครงสร้างค่าไฟฟ้า—ปัญหาตัวจริงที่ไม่มีใครกล้ารื้อ ค่าไฟที่แพงขึ้นทุกปี ไม่ได้เกิดจากต้นทุนเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างที่บิดเบี้ยว และค่าใช้จ่ายแฝงที่ถูกผลักภาระให้ประชาชน เช่น Adder – ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่บวกเพิ่ม ค่าไฟของประชาชนมี Adder…
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2568 โดยมี 3 แนวทางหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้ ค่าไฟพุ่งแตะ 5.16 บาทต่อหน่วย หรือคงที่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย ตามแต่ละกรณี “ปรับขึ้น หรือ คงที่?” – 3 แนวทางค่าไฟที่ประชาชนต้องจับตา กรณีที่ 1: ค่าไฟสูงสุด 5.16 บาท/หน่วย (+24%)• ปรับค่าเอฟที 137.39 สตางค์/หน่วย• ชดเชยต้นทุนคงค้างของ กฟผ. และ รัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน คืนทั้งหมด• ค่าไฟเฉลี่ย เพิ่มขึ้นจาก 4.15 → 5.16 บาท/หน่วย กรณีที่ 2: ค่าไฟ 4.95 บาท/หน่วย (+19%)• ปรับค่าเอฟที 116.37 สตางค์/หน่วย• ชดเชยต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด แต่ไม่รวมส่วนต่างราคาก๊าซ• ค่าไฟเฉลี่ย เพิ่มขึ้นจาก 4.15 → 4.95 บาท/หน่วย กรณีที่ 3: ตรึงค่าไฟเท่าเดิม 4.15 บาท/หน่วย• ค่าเอฟทีคงที่ 36.72 สตางค์/หน่วย• ทยอยชำระคืนหนี้ กฟผ. แทนการจ่ายทั้งหมดในครั้งเดียว• ประชาชนไม่ต้องแบกรับภาระเพิ่มในทันที ต้นทุนค่าไฟพุ่งเพราะอะไร?ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการ กกพ. ระบุว่าปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น มาจาก หนี้ค่าเชื้อเพลิงที่สะสมกว่า 3 ปี จากช่วงพลังงานแพง,ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ,ต้นทุนพลังงานที่ยังสูงขึ้นจากก๊าซ LNG และถ่านหินนำเข้า และฤดูแล้งทำให้พลังงานน้ำผลิตได้น้อยลง ยังไม่มีข้อสรุป ต้องฟังเสียงประชาชนกกพ. เปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับค่าไฟฟ้า ตั้งแต่ 11-24 มีนาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ก่อนสรุปและประกาศอัตราค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ ประชาชนสามารถช่วยลดค่าไฟได้ด้วย 5…
บรรยากาศหน้าทำเนียบรัฐบาลร้อนแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ประกาศชัดเจนว่า “ถ้ารัฐบาลไม่อยากเห็นประชาชนเต็มท้องถนน ก็อย่าทำลายชาติ” หลังจากปักหลักชุมนุมคัดค้านนโยบาย บ่อนกาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา เขาเปิดใจกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร พร้อมยืนยันว่าหากรัฐบาลเดินหน้าผ่านร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรเมื่อใด วันนั้นคือวันนับหนึ่งของการขับไล่รัฐบาล “นโยบายนี้คือหายนะของชาติ ถ้าผ่านเมื่อไหร่ เจอกันแน่” จตุพร ยืนยันว่าการเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมจะเกิดขึ้นทุกวันอังคาร เวลา 10.00 น. จนกว่ารัฐบาลจะล้มเลิกแนวคิดเปิดบ่อนกาสิโน “เราจะเพิ่มหมุดหมายการขับเคลื่อนทุกวันอังคาร เพื่อหยุดกฎหมายบ่อนกาสิโนไม่ให้ผ่าน ครม. พี่น้อง คปท. ชุมนุมทุกวัน จำนวนคนที่เห็นตัวและไม่เห็นตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องกาสิโนหรือพนันออนไลน์ แต่รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงินที่ซุกซ่อนการทำลายโครงสร้างการเงินของไทย การให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี แลนด์บริดจ์ 300,000 ไร่ ผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา และทรัพยากรทางทะเล ทั้งหมดนี้คือการทำลายชาติ” เขาเตือนว่า รัฐบาลที่คิดแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าโดยไม่มองอนาคตของประเทศ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการลุกฮือของประชาชน “ประเทศไทยเคยลองแล้ว…ไม่รอด!” จตุพร ย้ำว่า การเปิดบ่อนกาสิโนในอดีตของไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยใช้เวลาไม่ถึง 4 เดือนก็ต้องยกเลิก เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน รัฐบาลในอดีตยังต้องทำลายอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อปิดฉากมหันตภัยครั้งนั้น “คราวนี้มาใหม่ พร้อมสัญญา 30 ปี ต่อสัญญาครั้งละ 10 ปี จะอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะถ้าถึงขั้นออกใบอนุญาตแล้ว ถ้าหยุดก็ต้องไปจ่ายค่าโง่อีก” จตุพรกล่าว พร้อมตั้งคำถามถึง “ผลประโยชน์ซ่อนเร้น” ที่รัฐบาลพยายามเดินหน้านโยบายนี้ “ขนาดรัฐมีหน้าที่ปราบบ่อนเถื่อน ทุกวันนี้ยังเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วคิดเหรอว่าการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายจะควบคุมได้?” “เศรษฐกิจดี? หรือแค่หลอกตัวเอง?” จตุพร โต้แย้งคำกล่าวอ้างของรัฐบาลที่ว่า “กาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยยกตัวอย่างกรณี สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่ออกมาตรการกวาดล้างกาสิโนในจีนอย่างเด็ดขาด พร้อมเตือนนายกรัฐมนตรีไทยว่า “เงินจากบ่อนไม่เคยพัฒนาชาติ มีแต่ทำลายความมั่นคง” “เด็กติดพนัน ขอเงินไม่ได้ ก็ต้องลักวิ่งชิงปล้น ติดยา ขายตัว นักการเมืองทุจริตก็ใช้บ่อนฟอกเงิน…
กรุงเทพฯ, 11 มีนาคม 2568 – เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ออกแถลงการณ์คัดค้านอย่างหนักแน่นต่อ นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดัน พร้อมชี้ว่าเป็น “หายนะของประเทศ” ที่จะทำให้สังคมไทยอ่อนแอ และเปิดทางให้ธุรกิจสีเทาเติบโต “กาสิโน-พนันออนไลน์” ถูกมองว่าเป็นการมอมเมาประชาชน ในแถลงการณ์ คปท. ระบุว่า “กาสิโนและพนันออนไลน์” เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่สวนทางกับปัญหาปากท้องของประชาชน แทนที่รัฐบาลจะมุ่งเน้นการสร้างงานและยกระดับคุณภาพชีวิต กลับเลือกส่งเสริมธุรกิจพนันที่เอื้อประโยชน์แก่นายทุนและอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมร้ายแรง “แม้แต่เยาวชน นิสิต นักศึกษา และนักการศาสนาต่างๆ ก็ออกมาแสดงความห่วงใยต่อรัฐบาลที่กำลังมอมเมาประชาชนให้หันพึ่งอบายมุข มากกว่าการสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน” คปท. กล่าวในแถลงการณ์ บทเรียนจากต่างประเทศ: กาสิโนไม่ได้ทำให้ประชาชนรวย แถลงการณ์ยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่เปิดกาสิโนมักไม่ได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตรงกันข้าม ธุรกิจนี้อาจ สร้างผลกำไรเฉพาะให้กับนายทุน แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศที่มี ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันสูง หรือขาดกลไกบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง มักกลายเป็นแหล่งรวมของธุรกิจใต้ดิน เช่น ค้ามนุษย์ มาเฟีย ยาเสพติด และการฟอกเงิน ซึ่งสามารถแฝงตัวเข้ามาใช้ผลประโยชน์จากกาสิโนได้ “รัฐบาลต้องหยุดหายนะที่มองเห็นได้” คปท. เรียกร้องให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีทบทวนนโยบายดังกล่าว และยุติแผนการเปิดกาสิโนและพนันออนไลน์ทันที เพราะมองว่าเป็น “การนำพาประเทศไปสู่รัฐล้มเหลว” “หากรัฐบาลยังเดินหน้านโยบายนี้ เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ห่วงใยประเทศชาติและประชาชนจริงๆ คิดเพียงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งมีแต่จะทำให้ประเทศอ่อนแอ” “ถ้ารัฐบาลยังดื้อ คปท. พร้อมลุกขึ้นสู้” แถลงการณ์ยังทิ้งท้ายด้วยคำเตือนว่า หากรัฐบาลยังเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป ประชาชนก็ไม่อาจไว้วางใจให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศได้อีกต่อไป พร้อมประกาศจุดยืนว่า “หยุดกาสิโน หยุดพนันออนไลน์ หยุดรัฐบาลนอมินี” การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนกลุ่มใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล และอาจเป็นชนวนสำคัญของกระแสต่อต้านที่กำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมไทย
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เปิดปฏิบัติการ “ม้าโทรจัน” (CIB Trojan Horse) แฝงตัวเป็นบัญชีม้า ทลายเครือข่ายลักลอบพาบัญชีม้าข้ามแดนส่งแก๊งคอลเซนเตอร์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย ประกอบด้วย: นายสันติภาพฯ อายุ 28 ปีนายนพดลฯ อายุ 31 ปีนายรุ่งเรืองฯ อายุ 46 ปีนายชำนาญฯ อายุ 39 ปีผู้ต้องหาทั้งหมดถูกจับกุมในพื้นที่ ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 2.5 กิโลเมตร โดยถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่าหรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. ตรวจสอบพบการชักชวนให้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อนำไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย โดยเสนอค่าตอบแทน 3,000-5,000 บาทต่อบัญชี และมีเงื่อนไขให้เดินทางไปที่ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว เพื่อสแกนใบหน้าก่อนใช้งานบัญชี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแฝงตัวเป็นบัญชีม้า และพบว่ามีการเสนอค่าตอบแทนสูงถึง 20,000 บาท สำหรับการเปิด 5 บัญชี เมื่อถึงเวลานัดหมาย นายสันติภาพฯ ได้ขับรถมารับบัญชีม้า และพาไปเปิดบัญชีธนาคารใน จ.ชลบุรี ก่อนจะส่งต่อให้นายนพดลฯ ที่ จ.จันทบุรี จากนั้น นายนพดลฯ ได้ส่งต่อให้นายรุ่งเรืองฯ และนายชำนาญฯ เพื่อพาบัญชีม้าข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชา ขณะที่ผู้ต้องหากำลังพาบัญชีม้าข้ามแดน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าจับกุมได้ทั้งหมด ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ โดยนายนพดลฯ รับว่าเป็นผู้สั่งการ และมีการติดต่อกับนายหน้าบัญชีม้าฝั่งกัมพูชา ส่วนนายรุ่งเรืองฯ และนายชำนาญฯ รับว่าเป็นผู้พาบัญชีม้าข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ทั้งนี้ การสืบสวนพบว่าขบวนการนี้ลักลอบขนย้ายบัญชีม้าผ่านบริเวณแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยมีช่องทางธรรมชาติเป็นที่ตั้ง โดยเครือข่ายของคนร้ายได้มีการทำมาแล้วหลายครั้ง จนกระทั่งถูกจับกุมในครั้งนี้
วันที่ 11 มีนาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการและสื่อมวลชนอาวุโส ได้เผยแพร่ หนังสือเปิดผนึกถึงคณะรัฐมนตรี ผ่านช่องทางออนไลน์ เรียกร้องให้รัฐบาลยุติแนวคิด “เปิดบ่อนการพนันและการพนันออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย” โดยระบุว่าเป็นนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างร้ายแรง 8 เหตุผลที่ไม่ควรเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย ในหนังสือเปิดผนึก ดร.เจิมศักดิ์ เริ่มต้นด้วยการระบุว่า ในฐานะคนไทยใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีสิทธิ์นอกรัฐธรรมนูญเหมือน “พ่อนายกฯ” ที่ครอบงำและครอบครองรัฐบาล ขอเรียกร้องให้ ครม.มีมติไม่อนุมัติร่างพ.ร.บ.เพื่อเปิดบ่อนการพนัน ซุกไว้ภายใต้ชื่อสถานบันเทิงครบวงจร และที่เลวร้ายกว่านั้นคือการพนันออนไลน์ โดยให้เหตุผลถึง 8 ประเด็นสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านลบของการเปิดบ่อนการพนันและกาสิโนออนไลน์ในประเทศไทย ได้แก่ การพนันเป็นการชิงทรัพย์ประชาชน – การเปิดบ่อนและพนันออนไลน์ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริงแก่ประเทศ แต่เป็นการ “ล้วงเงิน” จากประชาชนไปสู่กลุ่มนายทุน เป็นนโยบายที่ไม่เคยหาเสียงไว้ – พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เคยสัญญากับประชาชน ว่าจะเปิดบ่อนการพนัน จึงถือเป็นการดำเนินนโยบายโดยพลการ ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่งเสริมค่านิยมผิดๆ – ทำให้คนไทยหมกมุ่นกับการพนัน สูญเสียโอกาสในการทำงาน และละเลยคุณค่าของความขยันหมั่นเพียร ก่อให้เกิดปัญหาสังคม – ส่งผลให้ประชาชนเป็นหนี้สิน หมดตัว ทะเลาะวิวาทในครอบครัว และอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย การพนันเป็น “โรคติดพนัน” – เป็นโรคทางจิตที่ต้องใช้ทรัพยากรของรัฐในการรักษา และกระทบต่อเศรษฐกิจและครอบครัวของผู้ติดพนัน บ่อนกาสิโนอาจเป็นศูนย์กลางอาชญากรรม – ทั้งการฟอกเงิน การฉ้อโกง คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมอื่นๆ อาจแพร่ระบาดมากขึ้น เป็นการรวบอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง – กฎหมายเปิดช่องให้รัฐบาลและกลุ่มทุนมีอำนาจกำหนดนโยบายกาสิโน ทำให้เกิดการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ รัฐบาลอาจถูกกล่าวหาว่า “ทรยศประชาชน” – หากดำเนินนโยบายนี้ อาจถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่บกพร่องทางจริยธรรม และมุ่งแต่สร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนแทนที่จะดูแลประชาชน ข้อเรียกร้องต่อคณะรัฐมนตรี ในตอนท้ายของหนังสือเปิดผนึก ดร.เจิมศักดิ์ ขอให้คณะรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลยับยั้งการอนุมัติพระราชบัญญัติการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้บ่อนกาสิโนถูกกฎหมายเกิดขึ้น โดยเน้นย้ำว่าหากรัฐบาลยังเดินหน้าโครงการนี้ อาจถูกประชาชนมองว่า “ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน” และเป็นการทำลายคุณธรรมในสังคมไทย โดย กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านกาสิโนและพนันออนไลน์ ที่ปักหลักอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลได้นำจดหมายเปิดผนึกนี้ไปอ่านบนเวทีปราศรัยด้วย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับนโยบายที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง “บุหรี่ไฟฟ้า” และทิศทางที่รัฐบาลภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร กำลังเดินหน้าอยู่ จาก Yes สู่ No… นโยบายบุหรี่ไฟฟ้าที่กลับตาลปัตรย้อนกลับไปในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แพทองธาร ชินวัตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจนว่า “Yes” โดยส่งสัญญาณไปยังประชาชนว่านโยบายนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของโลก แต่พอได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทิศทางกลับเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง รัฐบาลเดินหน้า “ไล่ปราบ” บุหรี่ไฟฟ้าแบบเต็มกำลัง ตำรวจออกจับกุมทั่วประเทศ มีการระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย และต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด แต่สิ่งที่ย้อนแย้งกว่านั้นคือ “ภายในรัฐสภาเอง” กลับมี ส.ส.หญิงชายสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นว่าเล่น ราวกับกฎหมายที่พวกเขาสนับสนุนเอง ไม่มีผลต่อพฤติกรรมของพวกเขาเลย ทิศทางแบบไหนที่นักการเมืองกำลังส่งถึงสังคม? ความย้อนแย้งในครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า แต่มันสะท้อนถึง “สองมาตรฐาน” (Double Standard) ที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการเมืองไทย รัฐบาลส่งสัญญาณห้ามประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า… แต่ ส.ส. กลับสูบกันเองในสภา รัฐบาลบอกว่าอบายมุขเป็นภัยต่อสังคม… แต่กลับผลักดันกาสิโน ซึ่งเป็นสถานที่อโคจรให้ถูกกฎหมาย รัฐบาลบอกว่าห่วงสุขภาพประชาชน… แต่กลับมีนโยบายเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอุตสาหกรรมการพนัน สิ่งเหล่านี้กำลังสร้างภาพลักษณ์ให้กับนักการเมืองไทยว่า “พวกเขาเป็นแบบอย่างให้สังคมไม่ได้” หรือไม่? บุหรี่ไฟฟ้าผิด แต่กาสิโนถูก? นี่คือภาพการเมืองไทย น่าสนใจว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าไล่จับบุหรี่ไฟฟ้า โดยอ้างเรื่องสุขภาพของประชาชนแต่ในเวลาเดียวกัน กลับพยายามผลักดันกฎหมายให้ “กาสิโน” และ “สถานบันเทิงครบวงจร” ถูกกฎหมาย นี่คือมาตรฐานแบบไหน? ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยต่อสุขภาพ แล้วการพนันไม่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจครอบครัวหรือ? ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลต่อเยาวชน แล้วการเปิดบาร์เหล้าแบบเสรีไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมหรือ? รัฐบาลกำลังเดินเกมทางนโยบายที่ย้อนแย้ง ในขณะที่บอกว่า “สิ่งนี้เป็นอันตราย” แต่ก็เดินหน้าสนับสนุน “สิ่งที่อันตรายพอ ๆ กัน หรือมากกว่า” นักการเมืองควรเป็นแบบอย่างให้สังคมหรือไม่? หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “นักการเมืองต้องเป็นแบบอย่างให้ประชาชนไหม?”หรือ “นักการเมืองมีสิทธิใช้ชีวิตส่วนตัวแบบที่ต้องการหรือไม่?” แน่นอนว่า นักการเมืองก็เป็นมนุษย์ มีสิทธิใช้ชีวิตตามปกติแต่ปัญหาคือ พวกเขาเป็นคนออกกฎหมาย กำหนดทิศทางของสังคม และมีบทบาทในการวางมาตรฐานทางศีลธรรมในประเทศ ถ้าพวกเขาเองยังทำไม่ได้ ประชาชนจะเชื่อมั่นในกฎหมายได้อย่างไร? ถ้าพวกเขาออกกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ตัวเองสูบกันเอง จะเรียกว่าความจริงใจในการบริหารประเทศได้หรือไม่? สุดท้ายแล้ว…รัฐบาลต้องการอะไร? การเล่นเกมนโยบายแบบ “สองมาตรฐาน” กำลังบ่อนทำลาย “ความเชื่อมั่นของประชาชน” ถ้ารัฐบาลต้องการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าจริง ๆ ต้องทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รวมถึงนักการเมืองเอง ถ้ารัฐบาลต้องการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าจริง ๆ ไม่ใช่แค่ปราบ…
