- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
“นันทิวัฒน์ สามารถ” โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามถึงการตั้งโบสถ์ยิวในอำเภอปาย หวั่นเป็นเป้าหมายก่อการร้าย ชี้รัฐต้องเข้มงวดตรวจสอบนักท่องเที่ยวอยู่เกินกำหนด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการอนุญาตให้ตั้งโบสถ์ยิวในพื้นที่ พร้อมเตือนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคง “รัฐบาลจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องไม่หลงทาง เปิดประตูให้กับอันตราย นักท่องเที่ยวมาแล้วต้องกลับ ไม่ใช่แอบสิงอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบการอยู่เกินกำหนด” ตั้งโบสถ์ยิวทำได้หรือไม่? อดีตข่าวกรองฯ ชี้ กฎหมายไทยไม่มีรองรับ นายนันทิวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ศาสนายิวไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมการศาสนา ดังนั้น การตั้งโบสถ์ยิวในปายจึงอาจผิดกฎหมาย โดยยกตัวอย่างข้อกำหนดของศาสนาอิสลามในไทย ที่ต้องมี “ครอบครัวมุสลิมไทยอย่างน้อย 5 ครัวเรือน” จึงจะสามารถขอจัดตั้งมัสยิดได้ “คนยิวที่มาท่องเที่ยวไม่น่าจะขอตั้งโบสถ์ยิวได้ มีกฎระเบียบข้อไหนอนุญาตให้ทำได้?” ห่วงปัญหาความมั่นคง – ปายอาจกลายเป็นเป้าหมายก่อการร้าย? อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เตือนว่า โบสถ์ยิวอาจกลายเป็นจุดเสี่ยงด้านความมั่นคง เพราะชาวยิวมีศัตรูจำนวนมาก และที่ผ่านมา โบสถ์ยิวในหลายประเทศเคยตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย “ปายเป็นเมืองท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมาปายจำนวนมาก แต่ชาวยิวมีศัตรูมากและตกเป็นเป้าหมาย โบสถ์ยิวอาจเป็นเป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายจ้อง อย่าประมาทนะครับ” อย่างไรก็ตามประเด็นโบสถ์ยิว มีการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพ.ต.ท. สุวิทย์ บุญยะเพ็ญ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว จ.แม่ฮ่องสอน ยืนยันว่า ยังไม่พบเป็นดินแดนพันธสัญญา มีไว้เพื่อสวดมนต์รับประทานอาหารร่วมกัน และไม่พบว่ามีการแย่งอาชีพคนไทย จากนี้จะมีการเฝ้าระวังตรวจตรา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถเช่า ล่องห่วงยาง หรือแม้แต่การสูบกัญชา
ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลในการจัดการเรื่องบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุ หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บำนาญประชาชนหลายฉบับถูกตีตก แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการดำเนินการ แต่กลับขาดเจตจำนงทางการเมือง ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจมุ่งเน้นนโยบายประชานิยมระยะสั้นหรือห่วงผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า ปัจจุบัน มีการเสนอร่าง พ.ร.บ. บำนาญประชาชนอย่างน้อย 4 ฉบับ แต่ 3 ฉบับแรกไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี ส่วนฉบับที่ 4 ซึ่งเสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ถูกวิจารณ์ว่ามีโอกาสถูกตีตกเช่นกัน ผศ.ดร.ทีปกร ซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพและการสร้างความคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ระบุว่า แม้ภาคประชาชน การเมือง และวิชาการจะเห็นพ้องว่าประเทศไทยควรมีสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ แต่การขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากระดับนโยบาย ทำให้เกิดคำถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการคุ้มครองประชาชน “แม้ว่าจะมีความพยายามผลักดันจากทุกภาคส่วนให้เกิดการคุ้มครองความยากจนแก่ประชาชนในรูปของการมีกฎหมาย ซึ่งเป็นฐานรากความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชนไทยในระยะยาว แต่การผลักดันดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล ที่อาจมุ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำนโยบายประชานิยมระยะสั้นมากกว่า” ผศ.ดร.ทีปกร กล่าว พร้อมระบุว่า การขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาล เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปภาษี การบริหารงบประมาณ และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเมือง “เรื่องของสวัสดิการบำนาญผู้สูงอายุในประเทศไทย ขณะนี้เรามีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ในสังคม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจทางการเมืองสนใจจะทำหรือไม่” ผศ.ดร.ทีปกร กล่าว (เรียบเรียงจากข่าวไทยโพสต์) ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เคยเป็นเมืองสงบที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและสายหมอก รู้จักกันดีในหมู่นักเดินทางว่าเป็นดินแดนแห่งความผ่อนคลาย แต่ในช่วงหลัง กระแสข่าวเกี่ยวกับชาวอิสราเอลที่เดินทางเข้ามาพำนักและดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย จากเมืองท่องเที่ยวสู่ความกังวลของเมือง ชาวบ้านในปายหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมจึงมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ บางคนเช่าที่ดินเปิดกิจการร้านอาหาร คาเฟ่ หรือธุรกิจอื่น ๆ โดยไม่มีการขออนุญาตตามกฎหมาย หลายเสียงเริ่มกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจทำให้ปายสูญเสียเอกลักษณ์ และเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นอาจถูกกลืนไปโดยกลุ่มทุนต่างชาติ “เราไม่ได้ต่อต้านนักท่องเที่ยว แต่เมื่อเริ่มมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเข้ามาจับจองพื้นที่ ทำธุรกิจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง และมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้คนในชุมชนรู้สึกไม่สบายใจ มันก็น่าคิดว่าเมืองเรากำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน” ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว คำสั่งด่วน: ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความมั่นคงของชาติ เสียงสะท้อนจากชุมชนและกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียทำให้เรื่องนี้ลุกลามไปถึงระดับชาติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในปาย โดยเฉพาะกลุ่มชาวอิสราเอลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ การตรวจสอบนี้จะเน้นไปที่การตรวจสอบการอยู่อาศัย การประกอบอาชีพ และพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของเมือง ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า ข่าวลือเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลในปายไม่เป็นความจริง พร้อมสั่งการให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม มุมมองด้านความมั่นคง: อันตรายที่อาจมองไม่เห็น ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการท่องเที่ยวหรือเศรษฐกิจท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า หากมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งสามารถเข้ามาตั้งหลักแหล่งโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายหรือแม้แต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงได้ กรณีของชาวอิสราเอลในปาย อาจไม่ได้เป็นภัยในแง่ของการก่อการร้ายหรืออาชญากรรมระดับชาติ แต่การที่มีคนต่างชาติรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนโดยไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น เช่น การฟอกเงิน การใช้ไทยเป็นฐานในการหลบหนีจากกฎหมายในประเทศต้นทาง หรือแม้แต่การควบคุมเศรษฐกิจในพื้นที่เล็ก ๆ โดยไม่ผ่านระบบของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงมองว่า แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดร้ายแรง แต่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันล่วงหน้า เช่น การตรวจสอบวีซ่า การควบคุมธุรกิจที่ดำเนินโดยต่างชาติ และการดูแลไม่ให้เกิดเขตปลอดกฎหมายในพื้นที่ ปรับสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวและความมั่นคง แทนที่จะมองว่าการเข้ามาของชาวต่างชาติเป็นภัย ปายควรใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับความมั่นคงของชุมชน แนวทางที่เป็นไปได้ ได้แก่ ควบคุมการใช้ที่ดินและการประกอบธุรกิจของต่างชาติ – หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาตรวจสอบว่ามีการเช่าหรือซื้อที่ดินอย่างถูกต้องหรือไม่ และควรมีมาตรการจำกัดการประกอบธุรกิจของต่างชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย สร้างระบบตรวจสอบนักท่องเที่ยวระยะยาว – ควรมีการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการพำนักระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการรายงานตัวต่อหน่วยงานรัฐ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลเมือง – ให้ชาวบ้านมีสิทธิ์ออกความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าปายยังคงเป็นเมืองที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพิ่มมาตรการด้านความมั่นคง – ไม่เพียงแค่ตรวจสอบเอกสาร แต่ต้องมีการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่อาจกระทบต่อความสงบสุขของเมือง “ปาย” จะเปลี่ยนไปในทางไหน?…
ปมร้อนการเมืองสะเทือนถึงองคมนตรี ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ออกมาเปิดโปงกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และกรณีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติและพัวพันกับขบวนการล็อบบีทางการเมือง ดร.ณฐพร ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ว่า เขาได้ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงมหาดไทยกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจ มีการแต่งตั้งโยกย้าย รองผู้ว่าฯ-ผู้ว่าฯ-ผู้ตรวจราชการฯ แบบไร้หลักคุณธรรม ซึ่งในหนังสือดังกล่าวมีการระบุว่า นายอนุทิน ร่วมกับนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่งตั้งข้าราชการโดยไม่ยึดหลักความสามารถ แต่มุ่งเน้น “สายสัมพันธ์ทางการเมือง” กับพรรคภูมิใจไทย โดยได้ให้รายละเอียดลงลึกถึงตัวบุคคลที่ถูกจัดวางไปรอรับตำแหน่งผู้ว่าฯ ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ทางการเมืองใกล้ชิดทั้งนายอนุทิน และแกนนำพรรคภูมิใจไทยหลายคน “อนุทิน” กับข้อหาโยกย้ายข้ามเส้นคุณธรรม ตั้งพวกร้องครองมหาดไทย ”เรื่องการเลือกผู้ว่าฯ ไม่มียุคไหน สมัยไหนทำเรื่องที่เลวร้ายแบบนี้ ถือเป็นความชั่วที่ไม่เคยมีมาก่อน มีการแต่งตั้งคนของตัวเองไปเป็นรองผู้ว่าฯ หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีการนำเรื่องเข้า ครม. กำหนดวิธีการคัดเลือกแบบหลอก ๆ หลายคนถูกฟ้องศาลฯ ที่น่ารังเกียจที่สุดคือ บุคคลที่กำหนดตัวให้เป็นผู้ว่าฯ คือนางสมหมาย พรมมี เป็นภรรยานายกอบจ.นครสวรรค์ คุณคิดว่าจะปกครองกันอย่างไร ถือเป็นการทำลายความเป็นกลางทางการเมือง เป็นการใช้ตำแหน่งและอำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อระบบราชการอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ล่วงละเมิดพระราชวินิจฉัยและระเบียบแบบแผนการบริหารราชการอย่างร้ายแรงที่สุด จำเป็นต้องให้องคมนตรีได้พิจารณา กราบบังคมทูลฯ ว่าการกระทำแบบมันไม่ชอบ เพื่อให้มีการดำเนินการให้ถูกต้อง“ กังขา “สุชาติ” ขาดคุณสมบัติ ผ่านการสรรหาจนได้เป็น ปธ.ป.ป.ช. อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ ดร.ณฐพร นำเสนอต่อองคมนตรี คือปัญหาคุณสมบัติของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยขณะสมัครเป็น ป.ป.ช.นายสุชาติ พ้นตำแหน่ง สนช.ไม่ถึง 10 ปี มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังพบว่ามีการกรอกข้อมูลเท็จในใบสมัครเข้ารับการสรรหาระบุว่า ”เป็นขรก.ตุลาการตั้งแต่ตำแหน่งผู้พิพากษา และดำรงตำแหน่งต่าง ๆ…
ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐประจำสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบมี สส.ของพรรคเข้าร่วมประชุมประมาณ 10 กว่าคน เนื่องด้วยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เพราะติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ แต่ได้มอบหมายให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมมีสาระสำคัญและข้อห่วงใยจากหัวหน้าพรรคสำหรับการดำเนินการ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คืออยากให้รัฐบาลใส่ใจการใช้งบประมาณด้านพัฒนาบริหารประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงาน ซึ่งที่ผ่านมาการบริหารของรัฐบาล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งการสร้างการแข่งขันในเวทีโลกแต่อย่างใด และจะเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลพยายามผลักดันตัวเลข GDP ให้สูงขึ้นด้วยการแจกเงิน 2 รอบ แต่ตัวเลข GDP ไม่ได้สูงขึ้นเท่าที่ควร ซึ่งนายสันติเองก็ได้บอกในที่ประชุมว่า รัฐบาลควรนำเงินที่แจกเหล่านั้น ไปใช้ในภารกิจอื่น ๆเช่นการพัฒนาการศึกษาฝีมือแรงงานดีกว่า พล.ต.ท.ปิยะ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมยังมีการนำ ผลการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านมานำเสนอ ให้คณะกรรมการบริหารพรรคได้รับทราบ โดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีมติร่วมกันจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ นอกจากนี้กรรมการบริหารพรรคยังมีมติ ให้ทางศูนย์วิชาการและนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ไปทำการศึกษาร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่รัฐบาลจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ เพราะถ้าหากร่างนี้ผ่านาภาฯ จะตัดอำนาจการบริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยและอำนาจดังกล่าวจะตกไปอยู่ในคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีแทน เมื่อถามถึงกระแสเลือดไหลของพรรคพลังประชารัฐหลังปรากฏภาพ สส.พรรคพลังประชารัฐ นั่งข้างร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส. พะเยา พรรคกล้าธรรม ที่สภาฯ นั้น พล.ต.ท.ปิยะ ยืนยันว่า สส. ของพรรคพลังประชารัฐยังคงอยู่ 20 คนครบถ้วน ก็อาจมีการ ไปมาหาสู่กันในฐานะคนที่เคยรู้จักกัน แต่ขอยืนยันว่าวันนี้ยังอยู่ครบถ้วน ส่วนจะมีความเห็นและแนวทางต่อไปอย่างไรที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชนกำลังถูก ป.ป.ช.เรียกสอบนั้น พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณา และขอยังไม่ให้ความเห็นใด ๆ นอกเหนือจากนี้
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แกะรอยรวบตัวคาหนังคาเขา หลังอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร-โครงการรัฐ หลอกเหยื่อโอนเงิน ก่อนเชิดหนี สุดท้ายไม่รอดถูกจับกุมใน จ.สระบุรี ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วยทีมสืบสวนจากกองปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุม นางสาวเบญจรงค์ฯ อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 คดี หลอกเหยื่อผ่านโซเชียล โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและใช้กลโกงต่างๆ ล้วงข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ ก่อนนำไปสวมรอยก่อเหตุโอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง รวมมูลค่าความเสียหายกว่าสามแสนบาท ย้อนรอยแผนฉ้อโกง ลวงเหยื่อสูญเงินนับแสน การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก ผู้เสียหายรายแรก เข้าแจ้งความเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 โดยเล่าว่า ในเดือนธันวาคม 2565 ผู้ต้องหาโทรศัพท์มาหาโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรจังหวัดชัยภูมิ แจ้งว่า แอป “เป๋าตุง” ที่เปิดใช้งานไว้แต่ไม่ได้ใช้ จะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หากไม่ต้องการเสียภาษี ให้รีบปิดแอปฯ พร้อมกับแอดไลน์เพื่อตรวจสอบข้อมูล หลังจากนั้น ผู้เสียหายได้แอดไลน์ตามคำแนะนำและพบลิงก์ที่ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์กรมสรรพากร เมื่อกดเข้าไปก็พบหน้าเว็บไซต์ปรากฏเป็นสีฟ้า พร้อมข้อความว่า “อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ห้ามใช้งานโทรศัพท์” ซึ่งเป็นช่วงที่ข้อมูลในโทรศัพท์ถูกแฮก เมื่อสามารถใช้โทรศัพท์ได้ตามปกติอีกครั้ง พบว่าเงินในบัญชีธนาคารถูกโอนออกไปเกือบ 100,000 บาท รายที่สอง ซึ่งเข้าแจ้งความที่ สภ.ตลุกดู่ จ.อุทัยธานี ให้การว่า ตกเป็นเหยื่อของผู้ต้องหาเมื่อเดือนธันวาคม 2565 เช่นกัน โดยครั้งนี้ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาติดต่อให้ยกเลิกโครงการ “คนละครึ่ง” และให้โอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์เพื่อดำเนินการ ด้วยความไม่รู้ ผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้กว่า 220,000 บาท ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ตำรวจสืบสวนตามจับ ค้นรังซ่อนตัวที่สระบุรี หลังจากได้รับแจ้งความ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนจนทราบว่า นางสาวเบญจรงค์ฯ ได้หลบหนีมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตามจับกุมตัวได้บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.11 ต.หนองไข่น้ำ จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ อ้างว่าตนเองเคยสมัครกู้เงินออนไลน์และส่งเอกสารส่วนตัวไป จึงเชื่อว่าเอกสารของตนน่าจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ และเตรียมขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ดำเนินคดีตามกฎหมาย ฝากเตือนประชาชนระวังภัยออนไลน์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น” และ “นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” ก่อนส่งตัวไปยัง สภ.ตลุกดู่…
ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา” บุกตรวจค้น 20 จุดทั่วประเทศ รวบ 10 ผู้ต้องหา เครือข่ายมิจฉาชีพข้ามชาติ ใช้เหรียญดิจิทัล USDT ฟอกเงินกว่า 6,500 ล้านบาท พบมีการถอนเงินสดแล้ว 2,900 ล้านบาท และนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์-ของหรูมูลค่ากว่า 440 ล้านบาท เปิดโปงขบวนการ “มังกรเทา” ฟอกเงินผ่านเงินดิจิทัล ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกับหลายหน่วยงาน เปิดปฏิบัติการบุกค้น 20 จุด 8 จังหวัด ไล่ล่าขบวนการ “แก๊งมังกรเทา” เครือข่ายฟอกเงินรายใหญ่ ผลการจับกุมได้ผู้ต้องหา 10 ราย (ไทยและจีน) ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 440 ล้านบาท พบเส้นทางเงินหมุนเวียนกว่า 6,500 ล้านบาท โดยมีการถอนเงินสดออกจากระบบแล้ว 2,900 ล้านบาท แหล่งข่าวเผยว่า ขบวนการนี้ ใช้เหรียญดิจิทัล USDT เป็นช่องทางหลักในการฟอกเงิน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเงินสด โอนผ่านบัญชีม้า และซื้อทรัพย์สินหรูในไทย วิธีหลอกเหยื่อ-ฟอกเงินสุดแสบ แก๊งนี้เริ่มต้นจากการ โพสต์หางานพิเศษ บนโซเชียล หลอกให้เหยื่อลงทุน เช่น กดไลก์-เพิ่มยอดติดตาม เมื่อเหยื่อเชื่อใจ ก็ชักชวนให้ลงทุนมากขึ้น อ้างว่าได้กำไรสูงถึง 30-50% แต่สุดท้ายเงินที่ลงทุนหายเกลี้ยง มีเส้นทางฟอกเงินคือ รับเงินจากเหยื่อผ่าน บัญชีม้า จากนั้นแปลงเป็น เหรียญดิจิทัล USDT แล้วขายออก ถอนเป็นเงินสด-โอนเข้าบัญชีเครือข่าย ฟอกเงินสกปรกผ่านการซื้อ อสังหาริมทรัพย์-ของหรู เพื่อปิดบังที่มาของเงิน ตำรวจพบว่าเครือข่ายนี้มี การตั้งบริษัทนอมินีไทย เพื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้คนจีน โดยบริษัทเหล่านี้ไม่มีธุรกิจจริง แต่ใช้บังหน้าเพื่อฟอกเงิน สำหรับของกลางที่ยึดได้ ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์-โทรศัพท์มือถือ เงินสด-สมุดบัญชี รถยนต์-มอเตอร์ไซค์ นาฬิกาหรู-กระเป๋าแบรนด์เนม และอสังหาริมทรัพย์ (บ้านหรู-คอนโด) รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 440 ล้านบาท ตำรวจเตือน! อย่าหลงเชื่อ…
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. เป็นนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้มุ่งเป้าใส่ใครเป็นพิเศษ หลังมีเสียงวิจารณ์ว่า การตรวจสอบที่ดินที่เขาใหญ่ อาจเป็นการกระทบกระทั่งกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล “เรื่องนี้เป็นนโยบายที่ดำเนินมาต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จนถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีการตรวจสอบทั่วประเทศ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงใคร” “ตรวจสอบที่ดินทำตามแผน ไม่เกี่ยวพรรคไหน” นางนฤมล ระบุว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ตั้งแต่แถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อเดือนกันยายน 2567 และเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง “นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง การตรวจสอบทำทุกพื้นที่ที่มีปัญหาการใช้ที่ดินไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ที่เขาใหญ่ และไม่ได้มีคำสั่งพิเศษให้ตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาล” “สื่อบางสำนักทำให้เข้าใจผิด” เมื่อถูกถามว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกมองว่าเป็นเกมการเมือง นางนฤมลชี้ว่า สื่อบางสำนักตีความไปเอง ขยายประเด็นเกินจริง ภาพที่ออกไปทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องการเมือง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่การตรวจสอบที่ดินตามนโยบาย สื่อขยายความจนทำให้คนเข้าใจผิด “อนุทินเข้าใจผิด คุยกันก็จบ” ส่วนกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองนั้น นางนฤมลยืนยันว่า “อาจเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้เคลียร์กันได้ เดี๋ยวคุยกันก็เข้าใจ ไม่ใช่ปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล” “ยืนยันไม่มีใบสั่งพิเศษ” นางนฤมล กล่าวว่า นายธนดลทำงานตามแผน ไม่มีใบสั่งจากรัฐมนตรี และยังไม่มีรายงานผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการขึ้นมาให้พิจารณา มีการตรวจสอบทั้งเขาใหญ่ ไม่ใช่แค่พื้นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง มีหลายแปลงที่ต้องตรวจ “ไม่ได้มีคำสั่งให้เล่นงานใคร ตรวจสอบเฉพาะพื้นที่ที่ใช้ไม่ถูกต้องเท่านั้น” รมช.เกษตรฯ รับ ยังไม่ได้รับรายงานผลตรวจสอบ ด้านนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรฯ ซึ่งกำกับดูแล ส.ป.ก. กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากนายธนดล แต่ย้ำว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นการตรวจสอบสิทธิ์การถือครองที่ดินที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้พุ่งเป้าหานักการเมืองคนไหน
ในการประชุมวุฒิสภาวันนี้ สว. อังคณา นีละไพจิตร จะเสนญัตติอภิปรายด่วนเกี่ยวกับประเด็นการป่วยทิพย์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งประเด็นสิทธิในการรักษาของผู้ต้องขัง โดยมองว่าผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนการเสนญัตติดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จสิ้นตามระเบียบวาระที่กำหนด ในระหว่างการประชุม สว. อังคณา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ตัดสินใจถอนญัตติดังกล่าวออกจากการพิจารณาในวันนี้ เนื่องจากข้อมูลยังไม่เพียงพอ จึงต้องการเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ประเด็นนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงต้องดูข้อกฎหมายที่อาจมีผลต่ออำนาจในการอภิปรายของวุฒิสภา แต่ยืนยันว่าไม่กลัวการฟ้องร้อง เพราะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด และการแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้เป็นทางวิชาการ ไม่ได้โจมตีบุคคล นอกจากนี้ สว. อังคณา ยังกล่าวถึงจุดยืนในประเด็นนี้ว่า ตนเห็นตรงกับรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ระบุว่า การที่นายทักษิณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยไม่ย้ายไปที่อื่น แสดงให้เห็นถึงความสงสัยในอาการป่วยที่ไม่ได้ดีขึ้น และมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้ว่าจะพยายามขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่กลับได้รับคำตอบว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม สว. อังคณามองว่า ผู้ที่ถูกตั้งข้อสงสัยควรสละสิทธิ์ในส่วนนี้ เพื่อเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ สำหรับจุดยืนในการเสนญัตติ สว. อังคณายืนยันว่า ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับสิทธิในการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน และเสนอให้มีการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาในเรือนจำได้ในสถานที่ที่เหมาะสม เช่น กรณีของบุ้ง เนติพร ที่ควรได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทาง ทั้งนี้ สว. อังคณา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะกลับมายื่นญัตติดังกล่าวอีกครั้งในสมัยประชุมหน้า และคาดหวังให้ ป.ป.ช. ดำเนินการเคลียร์ข้อสงสัยในประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งต้องดูว่า ป.ป.ช. จะสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นข้อมูลส่วนตัวได้มากน้อยแค่ไหน และมีอำนาจในการเรียกข้อมูลได้หรือไม่
ถ้าเศรษฐกิจเป็นการแข่งขันวิ่ง ไทยก็คงวิ่งอยู่ใน เลนกลาง มานานจนลืมไปแล้วว่าควรเร่งสปีดอย่างไร ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” กับ สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่เพิ่งออกมา GDP ปี 67 โตแค่ 2.5% ปี 68 คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% ต่ำกว่าเป้าหมายรัฐบาลที่เคยคุยโวไว้ที่ 3-3.5% แถมยังรั้งท้ายอาเซียน ชนะเมียนมาแค่ประเทศเดียว “การเปรียบเทียบไทยกับอาเซียนตรง ๆ อาจไม่แฟร์ เพราะแต่ละประเทศอยู่ในระดับพัฒนาที่ต่างกัน เหมือนปีนเขา คนอยู่ตีนเขาปีนง่าย โตไว แต่คนที่อยู่สูงขึ้นไปจะโตยากขึ้น” ดร.นณริฏ เปรียบเทียบว่า สิงคโปร์อยู่ยอดเขา มาเลเซียสูงกว่าไทยประมาณสิบปี ไทยก็อยู่เหนือฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แต่กำลังติดกับดักอยู่ในเลนกลาง“ “เราติดกับดักเลนกลาง” ไม่ช้า ไม่เร็ว แต่ไม่มีอนาคต ในการพัฒนาเศรษฐกิจมันเหมือนมี สามเลน เลนเร็วสุด คือประเทศที่โตเร็วสุด เลนกลาง คือประเทศที่พอไปได้แต่การพัฒนายังช้า ส่วนเลนช้า คือประเทศที่ถดถอย ”ปัญหาคือไทยติดอยู่ที่ เลนกลาง มานานแล้ว เรากำลังกินบุญเก่า และที่แย่คือ “ไม่มีจุดขาย ไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ที่ทำให้เวทีโลกตกตะลึง” รัฐบาลคิดพึ่งกาสิโน ดร.นณริฏ สวนกลับ “คิดผิด” ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่ดูไม่สดใส เราเห็นภาพว่ารัฐบาลหันไปมอง “กาสิโน” และ “พนันออนไลน์” เป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI ไม่เห็นด้วย “สร้างกาสิโนแห่งสองแห่งไม่ได้พลิกเศรษฐกิจประเทศ มันมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะพนันออนไลน์ที่ ผมไม่เห็นด้วยเลย เพราะผลกระทบทางสังคมมากกว่าผลได้ที่เกิดขึ้น สุดท้ายคนได้กำไรคือเจ้าของธุรกิจ ที่อาจเป็นต่างชาติ แถมยังขอสิทธิพิเศษไม่จ่ายภาษีให้ไทยด้วย ผลเสียคือใครคือผู้เล่น? ถ้าเป็นคนไทยก็เสี่ยงมาก ๆ เงินที่เข้ามานิดหน่อยไม่คุ้มกัน เพราะมัน ไม่ได้ช่วยดันจีดีพีโตมหาศาล แต่อาจทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ” อยากโต 5% หยุดแจกเงิน มองไกลกว่านี้ รัฐบาลตั้งเป้าจะดัน GDP โต 5% แต่ ดร.นณริฏ…
