- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
เมื่อเร็วๆ นี้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวาระแรก โดยกฎหมายฉบับนี้มุ่งกำหนดแนวทางและมาตรฐานในการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งรวมถึงกาสิโน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.• กำหนดนิยามธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรครอบคลุมสถานที่ที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว การพักผ่อน และการสันทนาการ รวมถึงกาสิโน• เงื่อนไขการเข้าใช้กาสิโนสำหรับคนไทย• ต้องลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด• ต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน• ต้องผ่านการตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด• อัตราค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง• ค่าเข้ากาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย: ครั้งละ 5,000 บาท• ค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต: 100,000 บาทต่อครั้ง• ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรก: ฉบับละ 5,000 ล้านบาท• ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี: 1,000 ล้านบาทต่อปี• ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต: 5,000 ล้านบาทต่อฉบับ• การเก็บภาษีจากธุรกิจกาสิโน• อัตราภาษีที่แน่ชัดยังไม่ได้กำหนดในร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเสนออัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา อำนาจของคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรมีอำนาจหน้าที่สำคัญ เช่น• กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขการเข้าใช้กาสิโนสำหรับคนไทย• เสนออัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนต่อคณะรัฐมนตรี• กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกใบอนุญาต การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรของผู้รับใบอนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต• กำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมและการควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ควรมีแต่ไม่มีในร่างฯ นี้ ไม่มีมาตรการคุ้มครองหรือช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาติดการพนันแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและเงินฝากขั้นต่ำ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการบำบัดหรือป้องกันผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการพนัน ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการฟอกเงินอย่างเข้มงวดแม้จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบที่มาของเงินทุน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในกาสิโน ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณากาสิโนในประเทศควรกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจำกัดการโฆษณากาสิโนเพื่อป้องกันการชักจูงประชาชนเข้าสู่การพนัน ไม่มีมาตรการกำกับดูแลด้านเทคโนโลยีและธุรกรรมทางการเงินควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมและการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงของการโกงหรือการฟอกเงิน สรุป แม้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดในการเข้าถึงกาสิโนสำหรับคนไทย อย่างไรก็ตาม ยังขาดรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมผลกระทบทางสังคม การป้องกันการฟอกเงิน และแนวทางกำกับดูแลธุรกิจให้มีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายได้ของรัฐจากเรื่องนี้ด้วย
“นันทิวัฒน์ สามารถ” โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามถึงการตั้งโบสถ์ยิวในอำเภอปาย หวั่นเป็นเป้าหมายก่อการร้าย ชี้รัฐต้องเข้มงวดตรวจสอบนักท่องเที่ยวอยู่เกินกำหนด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการอนุญาตให้ตั้งโบสถ์ยิวในพื้นที่ พร้อมเตือนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคง “รัฐบาลจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องไม่หลงทาง เปิดประตูให้กับอันตราย นักท่องเที่ยวมาแล้วต้องกลับ ไม่ใช่แอบสิงอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบการอยู่เกินกำหนด” ตั้งโบสถ์ยิวทำได้หรือไม่? อดีตข่าวกรองฯ ชี้ กฎหมายไทยไม่มีรองรับ นายนันทิวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ศาสนายิวไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมการศาสนา ดังนั้น การตั้งโบสถ์ยิวในปายจึงอาจผิดกฎหมาย โดยยกตัวอย่างข้อกำหนดของศาสนาอิสลามในไทย ที่ต้องมี “ครอบครัวมุสลิมไทยอย่างน้อย 5 ครัวเรือน” จึงจะสามารถขอจัดตั้งมัสยิดได้ “คนยิวที่มาท่องเที่ยวไม่น่าจะขอตั้งโบสถ์ยิวได้ มีกฎระเบียบข้อไหนอนุญาตให้ทำได้?” ห่วงปัญหาความมั่นคง – ปายอาจกลายเป็นเป้าหมายก่อการร้าย? อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เตือนว่า โบสถ์ยิวอาจกลายเป็นจุดเสี่ยงด้านความมั่นคง เพราะชาวยิวมีศัตรูจำนวนมาก และที่ผ่านมา โบสถ์ยิวในหลายประเทศเคยตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย “ปายเป็นเมืองท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมาปายจำนวนมาก แต่ชาวยิวมีศัตรูมากและตกเป็นเป้าหมาย โบสถ์ยิวอาจเป็นเป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายจ้อง อย่าประมาทนะครับ” อย่างไรก็ตามประเด็นโบสถ์ยิว มีการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพ.ต.ท. สุวิทย์ บุญยะเพ็ญ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว จ.แม่ฮ่องสอน ยืนยันว่า ยังไม่พบเป็นดินแดนพันธสัญญา มีไว้เพื่อสวดมนต์รับประทานอาหารร่วมกัน และไม่พบว่ามีการแย่งอาชีพคนไทย จากนี้จะมีการเฝ้าระวังตรวจตรา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถเช่า ล่องห่วงยาง หรือแม้แต่การสูบกัญชา
ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลในการจัดการเรื่องบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุ หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บำนาญประชาชนหลายฉบับถูกตีตก แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการดำเนินการ แต่กลับขาดเจตจำนงทางการเมือง ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจมุ่งเน้นนโยบายประชานิยมระยะสั้นหรือห่วงผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า ปัจจุบัน มีการเสนอร่าง พ.ร.บ. บำนาญประชาชนอย่างน้อย 4 ฉบับ แต่ 3 ฉบับแรกไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี ส่วนฉบับที่ 4 ซึ่งเสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ถูกวิจารณ์ว่ามีโอกาสถูกตีตกเช่นกัน ผศ.ดร.ทีปกร ซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพและการสร้างความคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ระบุว่า แม้ภาคประชาชน การเมือง และวิชาการจะเห็นพ้องว่าประเทศไทยควรมีสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ แต่การขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากระดับนโยบาย ทำให้เกิดคำถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการคุ้มครองประชาชน “แม้ว่าจะมีความพยายามผลักดันจากทุกภาคส่วนให้เกิดการคุ้มครองความยากจนแก่ประชาชนในรูปของการมีกฎหมาย ซึ่งเป็นฐานรากความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชนไทยในระยะยาว แต่การผลักดันดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล ที่อาจมุ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำนโยบายประชานิยมระยะสั้นมากกว่า” ผศ.ดร.ทีปกร กล่าว พร้อมระบุว่า การขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาล เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปภาษี การบริหารงบประมาณ และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเมือง “เรื่องของสวัสดิการบำนาญผู้สูงอายุในประเทศไทย ขณะนี้เรามีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ในสังคม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจทางการเมืองสนใจจะทำหรือไม่” ผศ.ดร.ทีปกร กล่าว (เรียบเรียงจากข่าวไทยโพสต์) ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เคยเป็นเมืองสงบที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและสายหมอก รู้จักกันดีในหมู่นักเดินทางว่าเป็นดินแดนแห่งความผ่อนคลาย แต่ในช่วงหลัง กระแสข่าวเกี่ยวกับชาวอิสราเอลที่เดินทางเข้ามาพำนักและดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย จากเมืองท่องเที่ยวสู่ความกังวลของเมือง ชาวบ้านในปายหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมจึงมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ บางคนเช่าที่ดินเปิดกิจการร้านอาหาร คาเฟ่ หรือธุรกิจอื่น ๆ โดยไม่มีการขออนุญาตตามกฎหมาย หลายเสียงเริ่มกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจทำให้ปายสูญเสียเอกลักษณ์ และเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นอาจถูกกลืนไปโดยกลุ่มทุนต่างชาติ “เราไม่ได้ต่อต้านนักท่องเที่ยว แต่เมื่อเริ่มมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเข้ามาจับจองพื้นที่ ทำธุรกิจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง และมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้คนในชุมชนรู้สึกไม่สบายใจ มันก็น่าคิดว่าเมืองเรากำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน” ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว คำสั่งด่วน: ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความมั่นคงของชาติ เสียงสะท้อนจากชุมชนและกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียทำให้เรื่องนี้ลุกลามไปถึงระดับชาติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในปาย โดยเฉพาะกลุ่มชาวอิสราเอลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ การตรวจสอบนี้จะเน้นไปที่การตรวจสอบการอยู่อาศัย การประกอบอาชีพ และพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของเมือง ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า ข่าวลือเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลในปายไม่เป็นความจริง พร้อมสั่งการให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม มุมมองด้านความมั่นคง: อันตรายที่อาจมองไม่เห็น ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการท่องเที่ยวหรือเศรษฐกิจท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า หากมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งสามารถเข้ามาตั้งหลักแหล่งโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายหรือแม้แต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงได้ กรณีของชาวอิสราเอลในปาย อาจไม่ได้เป็นภัยในแง่ของการก่อการร้ายหรืออาชญากรรมระดับชาติ แต่การที่มีคนต่างชาติรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนโดยไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น เช่น การฟอกเงิน การใช้ไทยเป็นฐานในการหลบหนีจากกฎหมายในประเทศต้นทาง หรือแม้แต่การควบคุมเศรษฐกิจในพื้นที่เล็ก ๆ โดยไม่ผ่านระบบของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงมองว่า แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดร้ายแรง แต่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันล่วงหน้า เช่น การตรวจสอบวีซ่า การควบคุมธุรกิจที่ดำเนินโดยต่างชาติ และการดูแลไม่ให้เกิดเขตปลอดกฎหมายในพื้นที่ ปรับสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวและความมั่นคง แทนที่จะมองว่าการเข้ามาของชาวต่างชาติเป็นภัย ปายควรใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับความมั่นคงของชุมชน แนวทางที่เป็นไปได้ ได้แก่ ควบคุมการใช้ที่ดินและการประกอบธุรกิจของต่างชาติ – หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาตรวจสอบว่ามีการเช่าหรือซื้อที่ดินอย่างถูกต้องหรือไม่ และควรมีมาตรการจำกัดการประกอบธุรกิจของต่างชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย สร้างระบบตรวจสอบนักท่องเที่ยวระยะยาว – ควรมีการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการพำนักระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการรายงานตัวต่อหน่วยงานรัฐ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลเมือง – ให้ชาวบ้านมีสิทธิ์ออกความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าปายยังคงเป็นเมืองที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพิ่มมาตรการด้านความมั่นคง – ไม่เพียงแค่ตรวจสอบเอกสาร แต่ต้องมีการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่อาจกระทบต่อความสงบสุขของเมือง “ปาย” จะเปลี่ยนไปในทางไหน?…
ปมร้อนการเมืองสะเทือนถึงองคมนตรี ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ออกมาเปิดโปงกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และกรณีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติและพัวพันกับขบวนการล็อบบีทางการเมือง ดร.ณฐพร ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ว่า เขาได้ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงมหาดไทยกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจ มีการแต่งตั้งโยกย้าย รองผู้ว่าฯ-ผู้ว่าฯ-ผู้ตรวจราชการฯ แบบไร้หลักคุณธรรม ซึ่งในหนังสือดังกล่าวมีการระบุว่า นายอนุทิน ร่วมกับนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่งตั้งข้าราชการโดยไม่ยึดหลักความสามารถ แต่มุ่งเน้น “สายสัมพันธ์ทางการเมือง” กับพรรคภูมิใจไทย โดยได้ให้รายละเอียดลงลึกถึงตัวบุคคลที่ถูกจัดวางไปรอรับตำแหน่งผู้ว่าฯ ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ทางการเมืองใกล้ชิดทั้งนายอนุทิน และแกนนำพรรคภูมิใจไทยหลายคน “อนุทิน” กับข้อหาโยกย้ายข้ามเส้นคุณธรรม ตั้งพวกร้องครองมหาดไทย ”เรื่องการเลือกผู้ว่าฯ ไม่มียุคไหน สมัยไหนทำเรื่องที่เลวร้ายแบบนี้ ถือเป็นความชั่วที่ไม่เคยมีมาก่อน มีการแต่งตั้งคนของตัวเองไปเป็นรองผู้ว่าฯ หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีการนำเรื่องเข้า ครม. กำหนดวิธีการคัดเลือกแบบหลอก ๆ หลายคนถูกฟ้องศาลฯ ที่น่ารังเกียจที่สุดคือ บุคคลที่กำหนดตัวให้เป็นผู้ว่าฯ คือนางสมหมาย พรมมี เป็นภรรยานายกอบจ.นครสวรรค์ คุณคิดว่าจะปกครองกันอย่างไร ถือเป็นการทำลายความเป็นกลางทางการเมือง เป็นการใช้ตำแหน่งและอำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อระบบราชการอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ล่วงละเมิดพระราชวินิจฉัยและระเบียบแบบแผนการบริหารราชการอย่างร้ายแรงที่สุด จำเป็นต้องให้องคมนตรีได้พิจารณา กราบบังคมทูลฯ ว่าการกระทำแบบมันไม่ชอบ เพื่อให้มีการดำเนินการให้ถูกต้อง“ กังขา “สุชาติ” ขาดคุณสมบัติ ผ่านการสรรหาจนได้เป็น ปธ.ป.ป.ช. อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ ดร.ณฐพร นำเสนอต่อองคมนตรี คือปัญหาคุณสมบัติของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยขณะสมัครเป็น ป.ป.ช.นายสุชาติ พ้นตำแหน่ง สนช.ไม่ถึง 10 ปี มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังพบว่ามีการกรอกข้อมูลเท็จในใบสมัครเข้ารับการสรรหาระบุว่า ”เป็นขรก.ตุลาการตั้งแต่ตำแหน่งผู้พิพากษา และดำรงตำแหน่งต่าง ๆ…
ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐประจำสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบมี สส.ของพรรคเข้าร่วมประชุมประมาณ 10 กว่าคน เนื่องด้วยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เพราะติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ แต่ได้มอบหมายให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมมีสาระสำคัญและข้อห่วงใยจากหัวหน้าพรรคสำหรับการดำเนินการ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คืออยากให้รัฐบาลใส่ใจการใช้งบประมาณด้านพัฒนาบริหารประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงาน ซึ่งที่ผ่านมาการบริหารของรัฐบาล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งการสร้างการแข่งขันในเวทีโลกแต่อย่างใด และจะเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลพยายามผลักดันตัวเลข GDP ให้สูงขึ้นด้วยการแจกเงิน 2 รอบ แต่ตัวเลข GDP ไม่ได้สูงขึ้นเท่าที่ควร ซึ่งนายสันติเองก็ได้บอกในที่ประชุมว่า รัฐบาลควรนำเงินที่แจกเหล่านั้น ไปใช้ในภารกิจอื่น ๆเช่นการพัฒนาการศึกษาฝีมือแรงงานดีกว่า พล.ต.ท.ปิยะ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมยังมีการนำ ผลการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านมานำเสนอ ให้คณะกรรมการบริหารพรรคได้รับทราบ โดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีมติร่วมกันจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ นอกจากนี้กรรมการบริหารพรรคยังมีมติ ให้ทางศูนย์วิชาการและนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ไปทำการศึกษาร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่รัฐบาลจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ เพราะถ้าหากร่างนี้ผ่านาภาฯ จะตัดอำนาจการบริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยและอำนาจดังกล่าวจะตกไปอยู่ในคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีแทน เมื่อถามถึงกระแสเลือดไหลของพรรคพลังประชารัฐหลังปรากฏภาพ สส.พรรคพลังประชารัฐ นั่งข้างร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส. พะเยา พรรคกล้าธรรม ที่สภาฯ นั้น พล.ต.ท.ปิยะ ยืนยันว่า สส. ของพรรคพลังประชารัฐยังคงอยู่ 20 คนครบถ้วน ก็อาจมีการ ไปมาหาสู่กันในฐานะคนที่เคยรู้จักกัน แต่ขอยืนยันว่าวันนี้ยังอยู่ครบถ้วน ส่วนจะมีความเห็นและแนวทางต่อไปอย่างไรที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชนกำลังถูก ป.ป.ช.เรียกสอบนั้น พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณา และขอยังไม่ให้ความเห็นใด ๆ นอกเหนือจากนี้
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. เป็นนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้มุ่งเป้าใส่ใครเป็นพิเศษ หลังมีเสียงวิจารณ์ว่า การตรวจสอบที่ดินที่เขาใหญ่ อาจเป็นการกระทบกระทั่งกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล “เรื่องนี้เป็นนโยบายที่ดำเนินมาต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จนถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีการตรวจสอบทั่วประเทศ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงใคร” “ตรวจสอบที่ดินทำตามแผน ไม่เกี่ยวพรรคไหน” นางนฤมล ระบุว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ตั้งแต่แถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อเดือนกันยายน 2567 และเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง “นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง การตรวจสอบทำทุกพื้นที่ที่มีปัญหาการใช้ที่ดินไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ที่เขาใหญ่ และไม่ได้มีคำสั่งพิเศษให้ตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาล” “สื่อบางสำนักทำให้เข้าใจผิด” เมื่อถูกถามว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกมองว่าเป็นเกมการเมือง นางนฤมลชี้ว่า สื่อบางสำนักตีความไปเอง ขยายประเด็นเกินจริง ภาพที่ออกไปทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องการเมือง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่การตรวจสอบที่ดินตามนโยบาย สื่อขยายความจนทำให้คนเข้าใจผิด “อนุทินเข้าใจผิด คุยกันก็จบ” ส่วนกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองนั้น นางนฤมลยืนยันว่า “อาจเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้เคลียร์กันได้ เดี๋ยวคุยกันก็เข้าใจ ไม่ใช่ปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล” “ยืนยันไม่มีใบสั่งพิเศษ” นางนฤมล กล่าวว่า นายธนดลทำงานตามแผน ไม่มีใบสั่งจากรัฐมนตรี และยังไม่มีรายงานผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการขึ้นมาให้พิจารณา มีการตรวจสอบทั้งเขาใหญ่ ไม่ใช่แค่พื้นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง มีหลายแปลงที่ต้องตรวจ “ไม่ได้มีคำสั่งให้เล่นงานใคร ตรวจสอบเฉพาะพื้นที่ที่ใช้ไม่ถูกต้องเท่านั้น” รมช.เกษตรฯ รับ ยังไม่ได้รับรายงานผลตรวจสอบ ด้านนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรฯ ซึ่งกำกับดูแล ส.ป.ก. กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากนายธนดล แต่ย้ำว่า การตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นการตรวจสอบสิทธิ์การถือครองที่ดินที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้พุ่งเป้าหานักการเมืองคนไหน
ในการประชุมวุฒิสภาวันนี้ สว. อังคณา นีละไพจิตร จะเสนญัตติอภิปรายด่วนเกี่ยวกับประเด็นการป่วยทิพย์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งประเด็นสิทธิในการรักษาของผู้ต้องขัง โดยมองว่าผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนการเสนญัตติดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จสิ้นตามระเบียบวาระที่กำหนด ในระหว่างการประชุม สว. อังคณา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ตัดสินใจถอนญัตติดังกล่าวออกจากการพิจารณาในวันนี้ เนื่องจากข้อมูลยังไม่เพียงพอ จึงต้องการเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ประเด็นนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงต้องดูข้อกฎหมายที่อาจมีผลต่ออำนาจในการอภิปรายของวุฒิสภา แต่ยืนยันว่าไม่กลัวการฟ้องร้อง เพราะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด และการแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้เป็นทางวิชาการ ไม่ได้โจมตีบุคคล นอกจากนี้ สว. อังคณา ยังกล่าวถึงจุดยืนในประเด็นนี้ว่า ตนเห็นตรงกับรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ระบุว่า การที่นายทักษิณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยไม่ย้ายไปที่อื่น แสดงให้เห็นถึงความสงสัยในอาการป่วยที่ไม่ได้ดีขึ้น และมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้ว่าจะพยายามขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่กลับได้รับคำตอบว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม สว. อังคณามองว่า ผู้ที่ถูกตั้งข้อสงสัยควรสละสิทธิ์ในส่วนนี้ เพื่อเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ สำหรับจุดยืนในการเสนญัตติ สว. อังคณายืนยันว่า ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับสิทธิในการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน และเสนอให้มีการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาในเรือนจำได้ในสถานที่ที่เหมาะสม เช่น กรณีของบุ้ง เนติพร ที่ควรได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทาง ทั้งนี้ สว. อังคณา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะกลับมายื่นญัตติดังกล่าวอีกครั้งในสมัยประชุมหน้า และคาดหวังให้ ป.ป.ช. ดำเนินการเคลียร์ข้อสงสัยในประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งต้องดูว่า ป.ป.ช. จะสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นข้อมูลส่วนตัวได้มากน้อยแค่ไหน และมีอำนาจในการเรียกข้อมูลได้หรือไม่
18 ก.พ. 2568 – นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่าง การพิจารณาวาระที่ 2 และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป รับฟังความคิดเห็นก่อนเคาะวาระ 2 นายปกรณ์กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาในหลักการเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งจะถูกนำมาประกอบการพิจารณาในวาระที่ 2 และยืนยันว่า กระบวนการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายใน 50 วัน “ตอนนี้เร่งทำกันอยู่ และจะพยายามให้ทันตามกรอบเวลา 50 วัน” นายปกรณ์กล่าว มาตรการป้องกันคนไทยติดพนัน ยังเป็นเพียงแนวคิด เมื่อถูกถามถึงมาตรการป้องกันไม่ให้คนไทยหมกมุ่นกับการพนัน นายปกรณ์ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการพนันเป็นหลัก แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา สถานบันเทิงครบวงจร ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว “เราวางหลักการป้องกันไว้ เช่น มีข้อเสนอให้คนไทยที่ต้องการเข้าไปเล่นพนันต้องมีทรัพย์สินขั้นต่ำ 50 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้น และประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้” ประชาชนไม่เห็นด้วย รัฐบาลยังเดินหน้าต่อได้ เมื่อถูกถามว่าหากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ รัฐบาลจะยังเดินหน้าหรือไม่ นายปกรณ์ชี้แจงว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและประชามติแตกต่างกัน โดยการรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียง ข้อมูลประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสุดท้าย รัฐบาลและสภาจะเป็นผู้ตัดสินใจ “อย่าเอาเรื่องการรับฟังความคิดเห็นไปปนกับประชามติ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน การรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงแนวทางให้รัฐบาลพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการอย่างไร” นายปกรณ์กล่าว ทั้งนี้ การตัดสินใจเดินหน้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร โดยประชาชนยังสามารถเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมในช่วงเวลานี้
เมื่อวันที่ 15-16 ส.ค. 68 สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเสด็จเปิดงาน China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Travel ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ณ ลานชั้น 9 อาคาร SIAM SCAPE เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งงานดังกล่าวจัดโดยสมาคมนักเรียนไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะแนวด้านการศึกษาต่อที่ประเทศจีน โอกาสการทำงาน และการท่องเที่ยวจีนให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในด้านต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน สำหรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมพิธีเปิดงาน อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, มาดามหวัง ฮวน ภริยา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย, นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม, รองศาสตราจารย์ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดี ด้านศิลปะวัฒนธรรม เครือข่ายการเรียนรู้ และ LLL จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายฐาปณัฐ อุดมศรี รองผู้อำนายการกลุ่มวิจัยและพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้, นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (กรุงเทพ) ระหว่างพิธีเปิด ผู้แทนจากสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เข้าเฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย ทั้งนี้ ผู้บริหารสมาคมฯ และผู้มีอุปการคุณในการจัดงานฯ จำนวน 30 คน ได้เข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก ในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน งาน “China Fair 2025 by…
