- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
“ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกคำสั่งด่วน ห้ามบุคคลที่มีเอี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในพื้นที่ชายแดน พร้อมสั่งขับออกจากพื้นที่ และ ห้ามข้ามไปเมียนมาโดยเด็ดขาด หลังพบเครือข่ายโยงใยกว่า 300-400 กลุ่ม มาตรการเข้ม กดดันอิทธิพลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายภูมิธรรมเผยว่า “มาตรการเข้มของไทยได้ผลดี” หลังจากมีการตัดไฟ ตัดน้ำมัน และตัดอินเทอร์เน็ตในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งส่งผลให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเมียนมา ปั่นป่วนหนัก โดยเฉพาะที่เมืองพญาตองซู ล่าสุดมีการผลักดันกลุ่ม “จีนเทา” ออกจากพื้นที่ให้ได้ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ จับตา! “ปอยเปต” แหล่งซ่องสุมแก๊งมิจฉาชีพ รองนายกฯ เตรียมลงพื้นที่ ปอยเปต ประเทศกัมพูชา เพื่อตรวจสอบขบวนการคอลเซ็นเตอร์ หลังพบข้อมูลว่า แก๊งมิจฉาชีพเริ่มลดขนาดลง จากปัญหาการใช้ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่ถูกรัฐบาลไทยกดดัน นายภูมิธรรมย้ำว่า ขณะนี้ทางการไทยมีรายชื่อเครือข่ายทั้งหมด 300-400 กลุ่ม ทั้งในและนอกประเทศ “ใครคิดจะโวยวาย ขอย้ำว่าทุกอย่างมีหลักฐาน” พร้อมท้า หากใครมีข้อมูลให้ส่งมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย เร่งช่วยเหยื่อ! ส่งกลับประเทศต้นทาง รัฐบาลไทยเร่งผลักดัน เหยื่อที่ถูกหลอกลวง กลับประเทศต้นทาง โดยร่วมมือกับสถานทูตหลายชาติ ทั้ง ยุโรป แอฟริกา ลาตินอเมริกา และเอเชีย เพื่อให้แต่ละประเทศรับคนของตนกลับไปดูแล นายภูมิธรรม ยังเตือนคนไทยว่า “อย่าเข้าไปพัวพันกับขบวนการเหล่านี้” เพราะถือเป็นความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด มีโทษหนัก และรัฐบาลไทยจะไม่ปล่อยให้ใครลอยนวล โดยปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยประกาศชัดว่า “ไม่มีเส้นตาย” และจะทำจนกว่าผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ
“พริษฐ์ วัชรสินธุ” โฆษกพรรคประชาชนและเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคประชาชน มั่นใจการเสนอร่าง รธน.ใหม่เป็นไปตามกระบวนการทุกขั้นตอน พร้อมเรียกร้อง “นายกฯ ต้องออกมาแสดงจุดยืนให้ชัดเจน” เร่งโน้มน้าวพรรคร่วมและสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้ลงมติเห็นชอบ ร่าง รธน.ใหม่ เข้าใกล้ที่สุดตั้งแต่ปี 64 แต่เสี่ยงชวดโอกาสสุดท้าย นายพริษฐ์เผยว่า การประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 13-14 ก.พ. นี้ ถือเป็นจังหวะที่เข้าใกล้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากที่สุดในรอบหลายปี และเป็นครั้งแรกที่ร่างดังกล่าวได้รับการบรรจุเข้าสู่วาระประชุมหลังจาก คณะกรรมการประธานสภาฯ ปฏิเสธมาตลอดตั้งแต่ปี 2564 “หากรัฐสภาไม่รับร่างครั้งนี้ อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะทันก่อนเลือกตั้งครั้งถัดไป” นายพริษฐ์กล่าว จี้นายกฯ แสดงบทบาท! คำแถลงรัฐบาลต้องไม่เป็นแค่ลมปาก นายพริษฐ์ ตั้งคำถามว่า เหตุใด “นายกฯ ไม่เคยออกมาสื่อสารเรื่องนี้ต่อสาธารณะเลย” ทั้งที่การแก้ รธน. เป็น “นโยบายรัฐบาล” ซึ่งแถลงต่อรัฐสภาไปตั้งแต่ ก.ย. 2567 “ถ้านี่เป็นนโยบายรัฐบาล ทำไมถึงไม่มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีแต่ร่างของพรรคเพื่อไทย? ขณะที่นโยบายอื่นอย่าง ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ครม. ยังจัดทำร่างเสนอเอง” เขาย้ำว่า นายกฯ ต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะ การประสาน ส.ว. และพรรคร่วมรัฐบาล ให้เคลียร์ความเห็นต่างและปิดรอยร้าว ร่างนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ศาลวินิจฉัยแล้วว่าแก้ไขใหม่ได้ นายพริษฐ์ยืนยันว่า ร่างแก้ไข รธน. ฉบับนี้ “เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 67” ซึ่งระบุชัดว่า รัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยังคงต้องผ่านการ ทำประชามติ 2 ครั้ง ตามขั้นตอนก่อนนำไปบังคับใช้ “กระบวนการนี้ไม่ได้ลดขั้นตอนประชามติแต่อย่างใด การกล่าวอ้างว่าสภาไม่มีอำนาจ หรืออาจต้องทำประชามติก่อนวาระแรก จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน” พรรคประชาชนจัดทัพเต็มที่! 30 ผู้อภิปราย ตอบทุกข้อกังขา เพื่อให้ร่างนี้ผ่านไปได้ พรรคประชาชน เตรียมทีมอภิปรายกว่า 30 คน โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ปัญหา รธน. ฉบับปัจจุบันที่ต้องแก้ไข 2. กระบวนการทำ…
การประชุมรัฐสภาวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ นี้ เตรียมร้อนระอุ เมื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความเห็นว่า การพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย พรรคประชาชน และ พรรคเพื่อไทย อาจเผชิญกับการถกเถียงอย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น “จำเป็นต้องทำประชามติก่อนหรือไม่” นายจุรินทร์ระบุว่า ตามคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ บางฝ่ายเห็นว่าต้องให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ ลงประชามติก่อน ว่าจะให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากรัฐสภาดำเนินการแก้ไขโดยไม่ผ่านประชามติ อาจเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญและคำตัดสินของศาล “ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในที่ประชุมรัฐสภาแน่นอน” นายจุรินทร์กล่าว นอกจากนี้ เขายังเน้นว่า แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภา แต่ร่างแก้ไขทั้งสองฉบับนี้เป็นร่างที่เสนอโดย พรรคการเมือง ไม่ใช่ร่างจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดังนั้น ทุกพรรคควรมี “อิสระในการลงมติ” ตามแนวทางของแต่ละพรรค
จากกรณีกลุ่มรุ่นพี่ ม.ดัง รวมตัวกันทำร้ายร่างกายเหยื่อ ด้วยการสาดน้ำซุปร้อน ๆ พร้อมตัดผม สร้างบาดแผลทางร่างกายและจิตใจ เป็นผลให้ “พีม” มือสาดน้ำซุป ถูก ม.ดัง สั่งพ้นสภาพนักศึกษา แต่ชาวโซเชียลก็ยังคงมีการเรียกร้องให้ลงโทษคนในกลุ่มที่เหลือที่ร่วมก่อเหตุ ล่าสุดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง ผลการพิจารณาโทษทางวินัยนักศึกษา กรณีทำร้ายร่างกายและตัดผมผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยระบุ “แถลงการณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฉบับที่ 3 เรื่อง ผลการพิจารณาโทษทางวินัยนักศึกษา กรณีทำร้ายร่างกายและตัดผมผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม ตามที่คณะกรรมการปกครองได้ประชุมพิจารณาบทลงโทษตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพว่าด้วยวินัยนักศึกษา โดยได้พิจารณาพยานหลักฐาน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ก่อเหตุที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นในบริเวณลานจอดรถภายนอกมหาวิทยาลัยและกระทำการตัดผมผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมตามที่ปรากฏในสื่อ เข้าข่ายความผิดและเป็นการละเมิดต่อกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ และเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย อาศัยอำนาจตามความในข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะกรรมการปกครองจึงพิจารณาโทษสูงสุดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น มีคำสั่งให้นักศึกษาผู้กระทำความผิดพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาและจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป อนึ่ง สำหรับผู้กระทำผิดรายอื่นที่มีส่วนร่วม คณะกรรมการปกครองของมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษวินัยตามระเบียบและข้อบังคับฯ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่ละเมิดกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยและไม่สนับสนุนการกระทำผิดกฎหมายทุกประการ”
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง’ ระบุว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจ ทักษิณปากกล้าขาสั่น หลังจากพรรคฝ่ายค้าน จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ ทำให้เกิดกระแสโหมโรงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนเกิดวิวาทะกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งสรุปประเด็นเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ดังนี้ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ อาจมีการพาดพิงถึงนายทักษิณกรณีชั้น 14 ซึ่งนายทักษิณออกมายืนยันว่า พร้อมชี้แจงถ้าพาดพิงมา เพียงแต่ไม่สามารถจะเข้าไปประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่จะลากเก้าอี้มาเพื่อชี้แจงที่ถูกพาดพิงทั้งหมดถ้าถูกฝ่ายค้านอภิปรายมา และเชื่อมั่นว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สามารถตอบคำถามได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการแสดงความเชื่อมั่น และสร้างขวัญกำลังใจให้กับรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปราย ในฐานะเจ้าของรัฐบาลตัวจริง การออกมาพูดเช่นนี้ของนายทักษิณ น่าจะเป็นการพูดแบบปากกล้าขาสั่นมากกว่า มีรัฐมนตรีหลายคน ส.ส.พรรคเพื่อไทยและลิ่วล้อของนายทักษิณ ออกมาตีกันพรรคฝ่ายค้าน ไม่ให้อภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก คือนายทักษิณ โดยอ้างระเบียบข้อบังคับ และไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง อาจจะถูกฟ้อง จากบุคคลภายนอกได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการตีกันพรรคฝ่ายค้านไม่ให้พาดพิงถึงนายทักษิณมากกว่า ทั้งที่นายทักษิณได้แสดงบทบาทเสมือนนายกรัฐมนตรีตัวจริง การจะอภิปรายถึงตัวนายทักษิณได้หรือไม่นั้น อยู่ที่เทคนิคการเขียนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งสามารถเขียนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบงำรัฐบาลของบุคคลภายนอก ถ้าเป็นประเด็นอยู่ในญัตติก็สามารถอภิปรายได้ การพาดพิงให้บุคคลภายนอกเสียหายก็สามารถฟ้องร้องได้ ผู้อภิปรายพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบ แต่การออกมาขู่เช่นนี้ น่าจะเป็นการพูดเอาใจนายใหญ่มากกว่า การกำหนดวันอภิปราย ซึ่งพรรคฝ่ายค้านต้องการใช้เวลา 5 วัน แต่ฝ่ายรัฐบาลออกมาบอกว่าให้เวลาเพียง2วันนั้น ไม่ควรกำหนดวันอภิปรายที่ตายตัวไว้ล่วงหน้า ต้องดูรายละเอียดของญัตติและจำนวนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเสียก่อน ถ้าหากรัฐมนตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายคน และมีเนื้อหาการอภิปรายจำนวนมาก ก็ต้องใช้เวลาอภิปรายตามสภาพความเป็นจริง อาจจะเป็น 2 วัน หรือ 5 วัน หรือจำนวนกี่วันก็ได้ตามความเหมาะสม อยากให้การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน เป็นเรื่องการทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร เป็นการถ่วงดุลตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการยื่นอภิปรายตามฤดูกาล หรืออภิปรายแบบแก้บนให้ผ่านๆไป และฝ่ายรัฐบาลต้องนำพยานหลักฐานและเหตุผลมาหักล้างคำอภิปรายให้ได้ ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว ประโยชน์ก็จะเกิดกับประชาชนและประเทศชาติอย่างแน่นอน
รศ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ในฐานะอดีตบอร์ดการท่าอากาศยานฯ ได้โพสต์ข้อความ พร้อมแนบลิงค์ข่าวของสำนักข่าว The Publisher เรื่องประตูลับที่สนามบินดอนเมือง โดยระบุข้อความว่า “ถ้าเป็นจริงมีปัญหาด้านความปลอดภัย ต่อการเดินทางเครื่องบิน ความเชื่อถือในระหว่างประเทศสูญสลาย การบริหารของไทยมีปัญหาอย่างแน่นอน” โดยก่อนหน้านี้ นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์นำคณะลงพื้นที่ โดยมีคณะสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และผู้สื่อข่าวจาก The Publisher ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อพิสูจน์ว่าประตูลับนั้นมีจริงหรือไม่ จากนั้นเดินทางไปให้ปากคำที่สำนักงานใหญ่ปปช.สนามบินน้ำ นายวัชระ กล่าวว่า “ผมได้ส่งหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 8 มกราคม วันนี้ปปช.เรียกไปให้การถือว่าทำงานเร็วมาก ผมได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมขณะนั้น ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานไทย ผู้อำนวยการสนามบินดอนเมืองจนถึงบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อเท็จจริงเท่าที่ทราบซึ่งเรื่องนี้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization – ICAO) องค์กรความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency – EASA) ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการสอบสวนย้อนหลังเจ้าหน้าที่ของรัฐกับพวก ตั้งแต่แรกเริ่มอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างประตูลับเข้าออกระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองกับถนนสาธารณะภายนอกจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมศุลกากร ส่อว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตหรือไม่ ส่อว่าผิดกฎหมายหรือมาตรฐานระหว่างประเทศและหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมร้ายแรงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะประตูลับดังกล่าว อาจเป็นช่องที่ผ่านเข้าออกในการทำผิดกฎหมายได้นานาชนิด ทั้งของหนีภาษีและสิ่งของตามใจชอบแต่ผิดกฎหมายไทย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยและอาจเป็นช่องทางของผู้ก่อการร้ายนานาชาติได้
ในช่วงที่ผ่านมา มีการแชร์ข้อมูลบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับชาใส่สี Yellow No. 6 หรือ Sunset Yellow ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการเติมสีลงในชาเป็นอันตรายหรือไม่ ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมาชี้แจงว่าการใส่สีในชาบางประเภท เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาต แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่กำหนด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ชาแบบไหนใส่สีได้? นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย. อธิบายว่า ชาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ชาใบ เช่น ชาเขียว ชาดำ ชาอู่หลง ชาผงสำเร็จรูป ชาปรุงสำเร็จ ที่มีการเติมสีและปรุงแต่งรสชาติ ในบรรดาชาประเภทต่าง ๆ ชาปรุงสำเร็จ เป็นประเภทที่มีการเติมสีผสมอาหาร ซึ่งตามกฎหมายของไทย อนุญาตให้ใส่ สี Yellow No. 6 (Sunset Yellow) ได้ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค กระแสข่าวเกี่ยวกับภาวะสมาธิสั้นในเด็ก จริงหรือไม่? มีรายงานบางชิ้นที่กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างสีผสมอาหารสังเคราะห์กับ ภาวะสมาธิสั้นในเด็ก อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาวิจัยยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าสีผสมอาหารเป็นสาเหตุโดยตรง ดังนั้น อย. ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมปริมาณการใช้สีผสมอาหารในผลิตภัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เลือกดื่มชาอย่างไรให้ปลอดภัย? สำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับสีผสมอาหารในชา อย. แนะนำแนวทางในการเลือกบริโภคอย่างปลอดภัย ดังนี้ อ่านฉลากก่อนซื้อ ผลิตภัณฑ์ต้องมีเลข อย. แสดงส่วนประกอบชัดเจน หากเป็นชาปรุงสำเร็จที่ใส่สี จะมีข้อความระบุ เช่น “สีสังเคราะห์ (INS110)” หรือ “สี Sunset Yellow” สังเกตสีของชา หากเป็นชาแท้ ๆ สีจะดูอ่อนเป็นธรรมชาติ ไม่เข้มฉูดฉาด ระวังชาที่ซื้อจากร้านทั่วไป หากเป็นชานม ชาเย็น หรือเครื่องดื่มชาจากคาเฟ่ ควรเลือกที่สีไม่สดเกินไป และไม่ควรดื่มชาแต่งสีบ่อยเกินไป – เพื่อป้องกันการได้รับสีสังเคราะห์ชนิดเดิมซ้ำ ๆ ควรดื่มเครื่องดื่มให้หลากหลาย อย. ย้ำ ควรเลือกบริโภคอย่างมีสติ ลดเสี่ยงรับสารเกินขนาด…
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2568) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดรับเรื่องร้องเรียนจากอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และตัวแทนภาคประชาชน ขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกรณีการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปี 2567 โดยเชื่อว่าอาจมีความไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยผู้บริหาร DSI และตัวแทนกระทรวงยุติธรรม ได้รับหนังสือร้องเรียนจาก พลตำรวจโท คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายพิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร และคณะ ซึ่งเป็น ส.ว. สำรอง และผู้สมัคร ส.ว. รวมถึง นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น ตัวแทนกลุ่ม “คนรุ่นใหม่ ประชาธิปไตยบริสุทธิ์”โดยกลุ่มผู้ร้องขอให้ DSI รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากสงสัยว่า กระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว. ในปี 2567 อาจมีการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 DSI เผยเคยสืบสวนเรื่องนี้แล้ว รอ กกต. พิจารณาว่าจะดำเนินการเองหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนา เปิดเผยว่า DSI เคยได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีนี้มาก่อน และได้ดำเนินการสืบสวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 โดยมีเลขสืบสวน 151/2567 ซึ่งขณะนั้น DSI ได้แสวงหาข้อเท็จจริงและแจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้พิจารณาว่าจะรับเรื่องไปดำเนินการเองหรือจะมอบหมายให้ DSI ดำเนินการต่อ โดยปัจจุบัน กกต. เป็นหน่วยงานหลักที่มีอำนาจโดยตรงในการสอบสวนคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น DSI, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ปปง. เพื่อสืบสวนเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 กกต. ได้มีหนังสือสอบถามมายัง DSI ถึงจำนวนเรื่องร้องเรียนที่รับไว้และความคืบหน้าในการดำเนินการ ซึ่ง DSI ได้ส่งรายงานกลับไปเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมสอบถามว่ากกต.จะให้…
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2568) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำโดย นายศรชัย ชูวิเชียร รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ภาค 6 รักษาราชการแทน รองเลขาธิการ ป.ป.ช. พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือแนวทางป้องกันการทุจริต โดยเน้นไปที่กระบวนการ ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าปรับระบบออกใบอนุญาต ลดเสี่ยงทุจริต การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นำเสนอมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 และได้รับมติรับทราบเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 โดยมีการมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม ป.ป.ช. และ กทม. จึงได้หารือถึงแนวทางป้องกันปัญหาการเรียกรับสินบนในการออกใบอนุญาตก่อสร้าง รวมถึงการ จัดทำคู่มือประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนการขออนุญาต ลดการใช้ดุลยพินิจที่อาจนำไปสู่การทุจริต นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณา การกำหนด Checklist มาตรฐานกลาง สำหรับตรวจสอบเอกสารในกระบวนการอนุญาต รวมถึงการเก็บรวบรวมสถิติเรื่องร้องเรียน เพื่อใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงระบบและเสริมสร้างความโปร่งใสในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. – กทม. ร่วมบูรณาการ ตัดตอนช่องโหว่การคอร์รัปชัน นอกจากผู้บริหารระดับสูงจาก ป.ป.ช. และ กรุงเทพมหานคร การประชุมครั้งนี้ยังมี นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร และทีมผู้บริหารร่วมวางแนวทางป้องกันปัญหาทุจริตในระบบราชการ ป.ป.ช. ย้ำว่า การประชุมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การพูดคุย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐโดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์ การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ช. และ กรุงเทพมหานคร เพื่อผลักดันมาตรการป้องกันการทุจริตให้เป็นรูปธรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในกระบวนการบริหารราชการ
เพจดัง ‘Drama-addict’ โพสต์ข้อความ หลังมีลูกเพจท่านหนึ่งส่งเรื่องมาเตือนภัย เรื่องการแพ้ยารุนแรง แม้ไม่ได้ระบุยี่ห้อยา แต่อาการแพ้ยาขั้นรุนแรงแบบนี้ สามารถเกิดกับยาได้แทบทุกตัว อยู่ที่ว่าจะโชคร้ายไปมีอาการตอนใช้ยาตัวไหนเข้า หากสงสัยว่ามีอาการแพ้ยา ต้องรีบหาหมอให้ไว อย่าละเลยเด็ดขาด เพราะถ้าแพ้ยารุนแรงอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ โดยเจ้าของเรื่องได้เล่าว่า เธอมีอาการแพ้ยารุนแรง ถึงขึ้นเกิดอาการ Stevens Johnson Syndrome เนื่องจากปกติแล้วทายากลุ่มแก้ปวดไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง แต่พอมาทานยาตัวนี้ กลับมีอาการแพ้รุนแรง ใช้เวลารักษาตัวอยู่ในห้อง ICU นานกว่า 36 วัน โดยไม่ได้ออกมาพักฟื้นข้างนอก เพราะหมอกลัวว่าแผลจะติดเชื้อ อาการหลังจากเริ่มแพ้ยาปากบวม หน้าเป็นตุ่มแดง่วงปากลอกเหมือนแผลร้อนใน มีไข้สูง ตอนแรกคนไข้คิดว่าเป็นอีสุกอีใส จึงไม่ได้ไปโรงพยาบาลในทันที ทิ้งช่วงเวลากระทั่ง 1-2 ทุ่ม ถึงได้ไปโรงพยาบาลแล้วเริ่มรักษาตัว ปัจจุบันเจ้าของเรื่องออกจากโรงพยาบาลได้ 3 เดือนแล้ว แต่ยังคงมีอาการทางด้านตา เนื่องจากตาบวมเปลือกตาติดกัน ทำให้เปลือกตามีปัญหา ตอนนี้ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมทุก 2 ชั่วโมง มีอาการตาแห้งน้ำตาไหล ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้เจ้าตัวเคยเล่าไว้ตอนปลายปี ตอนเพิ่งป่วยหนักจากเรื่องนี้ ระบุว่า “Steven Johnson Syndrome / Toxic Epidermal Necrolysis (เพิ่งดูจากใบรับรองแพทย์มา)แพ้ยา ไม่ใช่เรื่องตลก…บางคนโชคดีไม่แพ้ แต่เราไม่ใช่.. วันที่ 26 กันยายน 2567 ได้เข้าโรงพยาบาลเลือกรักษาที่ศูนย์การแพทย์แม่ฟ้าหลวง เพราะว่าพึ่งรู้ว่าตัวเองแพ้ยาขั้นรุนแรง ไข้ปาไปถึง40องศา เข้าห้อง ICU พี่พยาบาลพากันเช็ดตัว ไข้ไม่ลด ต้องพากันทำซ้ำอีกรอบแบบน้ำชุ่มตัวอิฉันตอนมีสติก็สั่นไปเลยสิคะ ห้องแอร์อีก จะเล่าเท่าที่จำได้อะนะ อีกวันรอดูอาการก็เริ่มแย่ คุณหมอสั่งยาจาก กทม. สั่งเช้าตอนบ่าย ๆ มาถึงก็ฉีดเลย2เข็ม ตุ่มผื่นเลยหยุดลามอีกช่วง1อาทิตย์ให้หลังนี่แหละช่วงวิกฤต ผิวหนังเริ่มพุพอง ตาเริ่มบวมจนเริ่มติดกัน คุณหมอตามาช่วยดูแล ตาต้องครอบคอนแทคเลนส์ไว้ตลอดตาเริ่มมัวมองไม่ชัด ต้องหยอดน้ำตาเทียมตลอด มาที่หน้าคือบวมไม่ไหว เนื้อเยื่อในปากเริ่มลอกหลุดออกมาใครที่ได้ไปเยี่ยมเห็นช่วงนั้นคือ…สุดๆละ คุณหมอทางด้านสกินเข้ามาดูแลต่อเรื่องผิว ว่าจะทำยังไงต่อไป จากนี้เริ่มจำไม่ค่อยได้ละเพราะยา หมอต้องจ่ายยาหนักเพราะจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ ค่อยๆทำมาเป็นขั้นตอนรักษามาเรื่อย ๆ เข้าห้องผ่าตัดนี่2รอบได้ คุณหมอดูแลเต็มที่ ตัดมาที่หมอตา คุณหมอสั่งเนื้อเยื่อหุ้มให้จากเชียงใหม่ แต่ช่วงนั้นน้ำท่วมต้องรอ…