Browsing: News

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม จัดเสวนา “สังคมเศรษฐกิจไทยในนโยบายและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย” โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมเวที พร้อมด้วย รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และ นายเขตน่าน พิณโสภณ ศิษย์ปัจจุบันคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. รุ่น 2566 โดยมี รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และสื่อมวลชนอาวุโสดำเนินรายการ เวทีเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมตั้งคำถาม ซึ่งส่วนใหญ่ แสดงความไม่เห็นด้วยกับกาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยไม่มีความพร้อม รัฐบาลไม่มีความสามารถในการควบคุม และผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มกับปัญหาสังคมที่จะตามมา กาสิโน-พนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ไม่ได้ช่วยให้ประเทศดีขึ้น อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย้ำจุดยืนต้านกฎหมายพนันออนไลน์และกาสิโน พร้อมย้อนความว่า ตอนเป็นนายกฯ ได้ขอให้ สสส. เพิ่มการรณรงค์ต่อต้านการพนัน เพราะตระหนักว่าการพนันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เขาชี้ว่า รัฐบาลไม่ได้เปิดพื้นที่ถกเถียงเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้แต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีการพูดให้ชัดเจนว่ากฎหมายนี้ครอบคลุมอะไรบ้าง “ไม่มีใครกล้าพูดว่าการพนันเป็นสิ่งที่ดี ถ้าผิดกฎหมายอยู่นั่นคือสัญญาณที่ถูกต้องให้สังคม ผมเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อย ถ้าผิดกฎหมายเขาจะไม่เข้าบ่อน แต่ถ้าถูกกฎหมายแล้ว เขาจะลอง และเมื่อของผิดกฎหมายถูกทำให้ถูกกฎหมาย การพนันจะขยายตัวขึ้นมหาศาล เราควรตั้งคำถามว่าประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันเพียงพอหรือยัง? องค์กรบังคับใช้กฎหมายมีความเที่ยงตรงจริงจังหรือไม่? ปราศจากปัญหาทุจริตหรือยัง? ผมเชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าเราพร้อมกับสิ่งนี้ ไม่มีเหตุผลทางสังคมใดที่สมควรนำการพนันขึ้นมาอยู่บนดิน แม้แต่จีนยังไม่ยอมให้การพนันอยู่ในประเทศ และพยายามกดดันมาเก๊าให้ลดบทบาทอุตสาหกรรมนี้ลง แม้แต่เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลอ้างตัวเลข แต่ไม่เคยวิเคราะห์ว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่” อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ชี้ว่า รัฐบาลพยายามโฆษณาข้อดีของกาสิโนโดยอ้างรายได้จากนักท่องเที่ยว การจ้างงาน และภาษี แต่ ไม่เคยแจกแจงให้ชัดว่าคุ้มค่าหรือไม่ แน่นอนว่าหากเปิดกาสิโนและพนันออนไลน์ รัฐจะได้ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต รายได้ภาษีเพิ่มขึ้น อ้างว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นและอ้างว่าเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ข้อเท็จจริงคือ “ค่าธรรมเนียมและภาษีที่รัฐได้ หากเปิดแห่งเดียวก็เกิดการผูกขาด ถ้าเปิดหลายแห่ง รายได้ก็จะลดลงเพราะการแข่งขันสูง ถามว่าการจ้างงานเพิ่มขึ้นจริงหรือ? ปัจจุบันธุรกิจบริการก็ขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว กาสิโนจะจ้างคนไทยจริงหรือไม่ หรือสุดท้ายก็ต้องใช้แรงงานต่างด้าว “เรื่องการท่องเที่ยว ผมเห็นว่าไทยมีจุดแข็งมากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ถ้ามีใครบอกว่าไม่อยากมาไทยเพราะไม่มีกาสิโน ก็ไม่ต้องมา เพราะผมไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวแบบนั้นเป็นกลุ่มที่เราต้องการหรือไม่” “กาสิโนทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นจริงหรือ หรือเป็นแค่เงินหมุนเวียนในวงจรพนัน?” นายอภิสิทธิ์ เล่าว่า เขาไม่เคยเห็นคนที่เข้ากาสิโนแล้วจะไปเที่ยงสถานที่อื่น ๆ แบบครบวงจรตามที่รัฐบาลอ้าง…

Read More

โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ประกาศเป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยที่อนุญาตให้ตำรวจ สภ.เชียงใหม่นำตัวนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ปูอัด สส.พรรคไทยก้าวหน้าไปดำเนินคดีในสมัยประชุม ในข้อหาขืนใจนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน นายวิสุทธิ์บอกในฐานะสมาชิกรัฐสภา รู้สึกอาย การเป็นผู้ทรงเกียรติ ไม่ควรทำอย่างนี้ และคิดว่าสภาฯ ควรจะให้ตัวไปดำเนินคดี เพราะเป็นข้อหาร้ายแรง เป็นพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหาซ้ำซาก และก่อเหตุกับคนต่างชาติ ทำให้ประเทศเสียชื่อเสียง และคณะกรรมการจริยธรรมก็ต้องทำหน้าที่ต่อทันที เพราะเป็นวาระเร่งด่วน ทั้งนี้ระหว่างสมัยประชุม หากสมาชิกรัฐสภาถูกดำเนินคดี ต้องส่งเรื่องให้ประธานสภาฯ เพื่อขออนุญาตที่ประชุมว่าจะส่งตัวไปดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมี สส.ถูกโหวตให้ตำรวจไปดำเนินคดีมาก่อน แต่ครั้งนี้นายวิสุทธิ์บอกเรื่องนี้เกี่ยวพันกับต่างประเทศ พฤติกรรมเช่นนี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ส่วนใครจะปกป้องก็แล้วแต่ แต่ตนเป็นคนหนึ่งที่จะโหวตส่งตัว ก่อนหน้านี้ สส.พรรคประชาชนหลายคนออกมาประณามการกระทำดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ลาออกจาก สส.พร้อมกับชวนสมาชิกสภาฯ ร่วมกันสร้างมาตรการโหวตส่งตัวให้ไปดำเนินคดีด้วย ขณะที่ทีมงานของนายไชยามพวาน ได้ส่งข้อความจากนายไชยามพวาน ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไม่ได้ทำตามความผิดแน่นอน โดยจะดูว่าถูกกล่าวหาเรื่องอะไร ประเด็นไหน เพราะยังไม่รับทราบข้อกล่าวหาหรือมีโอกาสชี้แจงเลยต่อพนักงานสอบสวน พร้อมขอตั้งสังเกตทำไมถึงข้ามไปออกหมายจับ แทนที่จะเป็นหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อน “เป็นการดำเนินการของตำรวจและผู้กล่าวหาฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นนี่คือที่สิ่งเกิดขึ้น ยืนยันผมไปรับทราบข้อกล่าวหาแน่นอน ว่ามีประเด็นไหนบ้าง และรอบนี้ผมสู้แน่นอน ผมมั่นใจว่าไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา”

Read More

ภายหลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาจำคุก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูตร กรรมการ กสทช. จากกรณีส่งหนังสือเตือน TrueID เรื่องโฆษณาคั่นผิดกฎ Must Carry เสียงสะท้อนจากวงการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมเริ่มดังขึ้น หนึ่งในนั้นคือ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” กับ สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยตั้งคำถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมแฉปัญหาภายในองค์กรว่า กสทช. แตกเป็นฝักฝ่าย และใช้กฎหมายเล่นงานกันเอง “ทำดีอาจติดคุก” วงการข้าราชการระส่ำ นพ.ประวิทย์ ตั้งข้อสังเกตว่า คดีของพิรงรอง ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพราะข้าราชการอาจเริ่มลังเลที่จะทำงานอย่างเต็มที่ เนื่องจากกลัวถูกดำเนินคดีในภายหลัง “เราต้องคิดหนักขึ้น คนที่ทำงานก็ต้องชั่งใจว่า ถ้าทำดีแล้วติดคุก แต่ถ้าไม่ทำก็ยังได้เงินเดือนเท่าเดิม ทางเลือกมันชัดเจน… จะให้เสี่ยงไปทำไม?” นพ.ประวิทย์ ยังชี้ว่า หากกรณีนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน ข้าราชการทั่วประเทศจะเลือก “รักษาตัวรอด เป็นยอดดี” เป็นอันดับแรก ความกล้าหาญในการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนจะหายไป เพราะทุกคนต้องป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงทางกฎหมาย “ใครวางยา ใครรับเคราะห์?” ปัญหาการรับรองรายงานประชุม อีกหนึ่งประเด็นที่ นพ.ประวิทย์ หยิบยกขึ้นมาคือ ความเข้มงวดของรายงานการประชุม ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม “ต้องพิจารณาให้ดีว่า ถูกวางยาหรือไม่ ก่อนเซ็นต้องระมัดระวัง ดูรายละเอียดอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาได้” อดีต กสทช. อธิบายว่า รายงานการประชุมเป็นเอกสารที่สำนักงาน กสทช. จัดทำขึ้น และกรรมการมีหน้าที่เพียงรับรองให้ถูกต้องเท่านั้น หากเกิดข้อผิดพลาด หรือมีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็ต้องดูให้ดีว่าตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ “คุยอะไรก็ต้องระวัง” เสรีภาพในการประชุมกำลังถูกคุกคาม อีกหนึ่งปัญหาที่ นพ.ประวิทย์ ชี้ให้เห็นคือ เสรีภาพในการอภิปรายในที่ประชุมจะหายไป เพราะคำพูดทุกคำอาจถูกนำไปตีความเป็นคดีความในภายหลัง “ในที่ประชุม เราควรจะสามารถพูดได้เต็มที่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด แต่ถ้าต้องกลัวว่าคำพูดทุกคำจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัว ต่อไปคงไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นกันแล้ว เสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความเห็นก็จะหายไป” นพ.ประวิตร ยังยกตัวอย่างกรณีที่เป็นอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย กสทช. มีนักกฎหมายบิ๊กเนม อยู่ทั้งนั้น วันนึงมีกรรมการ กสทช. ขอเทปการประชุม ทางอนุกรรมการมีมติไม่ให้ เพราะการพูดคุยต้องการเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความเห็นก่อนหาข้อสรุปร่วมกัน แต่ถ้ามีคนคอยฟังตลอดเสรีภาพตรงนี้จะหายไป ทำให้ไม่สามารถได้ดุลพินิจจากการรับฟังอย่างรอบด้าน ในครั้งนั้นจึงอนุญาตให้เฉพาะเอกสาร ไม่ให้เทปบันทึกเสียง…

Read More

คดีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ที่บริษัท ทรู ดิจิทัล ฟ้องร้อง ในความผิดตามมาตรา 157 และศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา ยังมีมุมที่ต้องพูดถึงต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อดูเนื้อในคำพิพากษา และท่าทีของ กสทช. นายคมสัน โพธิ์คง นักกฎหมายมหาชน ซึ่งร่วมถอดรหัสเรื่องนี้ในรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง ที่มีคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร เป็นผู้ดำเนินรายการ บอกไว้เลยว่า “คนใน รักองค์กรธุรกิจมากกว่าองค์กรตัวเอง” คมสัน : เรื่องนี้มีปัญหาที่การตีความว่า OTT หรือการให้บริการเนื้อหาเช่น ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.หรือไม่ เมื่อมีปัญหาแบบนี้ กฎหมายตามไม่ทัน ก็ต้องพูดถึงการปรับแก้กฎหมายให้ครอบคลุมถึงกิจการประเภทนี้ด้วย เพราะการกระทำที่อาจารย์พิรงรองกระทำถือเป็นมีเจตนาที่ดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ กรณีนี้คือผู้บริโภค เมื่อความหมายในแง่ของกิจการประเภทนี้ไม่รวมถึง กสทช.ต้องไปหามาตรการในเรื่องนี้ เพราะกฎหมายการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ มีหลายเรื่องที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่กฎหมายฉบับนี้มีมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งน่าจะตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีไม่ทัน ดังนั้นการไปตีความเรื่องการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ให้กว้างออกไป ศาลอาจจะมองว่าเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ กลายเป็นเรื่องมองว่าอาจมีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่สำคัญมีข้อเท็จจริงว่ามีการนำรายงานการประชุมออกมา กล่าวถึงเช่นเรื่องล้มยักษ์ เลยทำให้ศาลมองได้ว่า กลายเป็นเรื่องเจตนากลั่นแกล้งได้ อันนี้ต้องระมัดระวังสำคัญคนที่ต้องใช้อำนาจด้วย The Publisher : เรื่องนี้สะท้อนด้วยว่าคนใน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ความใน ในการประชุมไปหมดเลย คมสัน : มันเป็นทุกองค์กร ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีคนในที่ซื้อได้ขายได้ เพียงแต่ว่าผู้ใช้อำนาจหน้าที่ต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจหน้าที่ The Publisher : เรื่องนี้มี 2 มุมคือคนทั่วไปเห็นว่าอาจารย์พิรงรองมีเจตนาดีช่วยคุ้มครองผู้บริโภค แต่คำพิพากษาศาลก็สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานบางอย่างต้องระมัดระวังมากกว่านี้หรือเปล่า แต่คำว่าล้มยักษ์ ตลบหลัง มันมีความหมายถึงขั้นชี้ให้เห็นได้ว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งหรือไม่ คมสัน : มันถูกตีเจตนาอย่างนั้นได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเจตนา แต่การพูดออกมา มันทำให้เห็นว่า เขาอาจมีอคติกับองค์กรที่กล่าวถึง เมื่อมีอคติ พอถึงเวลาวินิจฉัยก็ถูกมองว่ามีเจตนากลั่นแกล้งหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ไม่มีหลักเกณฑ์กิจการประเภทนี้ การใช้อำนาจต้องดูว่ากฎหมายตามทันหรือไม่ และในเหตุผลคำพิพากษาก็เหมือนกับว่าเมื่อกฎหมายไปไม่ถึง แม้จะมีเจตนาดี แต่อาจเป็นการใช้อำนาจเกินเลย พ.ร.ป.การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ได้ ดังนั้นการจะใช้อำนาจอะไร…

Read More

กลุ่มองค์กรภาคประชาชน ซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง และเครือข่ายนิสิตนักศึกษานิติศาสตร์ ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา ผ่านไปยังเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ใจความสำคัญของหนังสือระบุว่า องค์กรภาคประชาชนเห็นด้วยกับข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ให้แยกการพิจารณากิจการสถานบันเทิงครบวงจรออกจากกิจการสถานเล่นพนัน เนื่องจากทั้งสองกิจการมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยสถานบันเทิงมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในขณะที่สถานเล่นพนันมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการพนันนอกจากนี้ องค์กรภาคประชาชนยังเห็นว่า การมีกฎหมายใหม่ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและอาจเกิดความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้ว การออกกฎหมายใหม่ในครั้งนี้ อาจมีเจตนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้อำนาจในการออกใบอนุญาต และผู้ประกอบธุรกิจมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในหนังสือยังระบุว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 77 บัญญัติว่า “รัฐพึงมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” และในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบัน กาสิโนคือแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ กิจการนี้จึงควรอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการพนัน องค์กรภาคประชาชนยังได้แสดงจุดยืนว่า ขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกฤษฎีกายึดมั่นในความถูกต้อง โดยยึดมั่นว่า “ลูกค้าที่แท้จริงของท่านคือประชาชน” และดำรงความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองสุดท้าย องค์กรภาคประชาชนขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาสนับสนุนการขอใช้สิทธิ์ของประชาชนในการเข้าชื่อให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ และขอให้รัฐบาลเคารพสิทธิของประชาชน กฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร #คาสิโน #พนัน #กฤษฎีกา #ภาคประชาชน

Read More

นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือขอทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่าน พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา และ พล.อ. กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เพื่อขอให้ตรวจสอบการเสนอชื่อแต่งตั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ ใจความในฎีกา ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสนอชื่อ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย (ชื่อเดิม พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ) ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งนายวัชระ ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม เนื่องจาก พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เคยเป็นผู้ต้องหาในคดี ยิงวัดพระแก้ว เมื่อปี พ.ศ. 2553นายวัชระ ระบุว่า ตนเองได้รับทราบข้อมูลนี้จาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้จับกุม พ.ต.ท.ศุภชัย ในขณะนั้นอย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวกลับไม่มีการส่งฟ้องต่ออัยการและศาล ทำให้ พ.ต.ท.ศุภชัย พ้นจากข้อกล่าวหา และกลับเข้ารับราชการตำรวจได้ นายวัชระ ตั้งข้อสังเกตว่า การเสนอชื่อบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญเช่นนี้ อาจไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อความเป็นธรรมและความโปร่งใสในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชน เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสถาบันชาติ

Read More

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ เพื่อคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยกล่าวหาว่าศาลดังกล่าว “กระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีมูลความจริง” โดยมุ่งเป้าไปที่สหรัฐฯ และอิสราเอล คำสั่งนี้จะกำหนดข้อจำกัดทางการเงินและวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ และสมาชิกในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ ที่ให้ความช่วยเหลือในการสืบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ หรือพันธมิตร ทรัมป์กล่าวหาว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศพยายามที่จะ “ล่วงละเมิด” สหรัฐฯ และอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซา ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์หลังจากการลงนามในคำสั่ง โดยกล่าวหาว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ “กระทำการโดยเท่าเทียมกันอย่างน่าอัปยศ” ระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล โดยอ้างถึงการออกหมายจับทั้งผู้นำกลุ่มฮามาสและเนทันยาฮู ทำเนียบขาวระบุว่า การกระทำของศาลอาญาระหว่างประเทศ “เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของสหรัฐฯ” และกล่าวหาว่าศาลดังกล่าว “จำกัดสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง” สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ และได้ปฏิเสธเขตอำนาจศาลของศาลเหนือเจ้าหน้าที่และพลเมืองของตนมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์ศาลอาญาระหว่างประเทศหลายครั้ง และได้ดำเนินการเพื่อคว่ำบาตรศาลดังกล่าว เมื่อปีที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ลงมติให้คว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกปัดตกในวุฒิสภา ปธน.ทรัมป์ ยังได้เสนอให้สหรัฐฯ เข้าควบคุมพื้นที่กาซา และดำเนินการพัฒนาใหม่ เปลี่ยนพื้นที่ขัดแย้งให้กลายเป็น “ริเวียราตะวันออกลาง” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติว่า อาจขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ สำหรับศาลอาญาระหว่างประเทศก่อตั้งขึ้นในปี 2545 เพื่อสอบสวนและดำเนินคดีในข้อหาก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

Read More

เป็นตอนหนึ่งในคลิปเสียงที่นำมาเปิดในเวทีเสวนา เรื่อง “พิรงรอง Effect” ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้…ซึ่งจัดโดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอาจารย์ธงทองอัญเชิญแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานให้นักกฎหมายหลายวาระว่า นักกฎหมายอย่าเผลอนึกว่าตัวกฎหมายเป็นตัวความยุติธรรมที่แท้ กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือแสวงหาความยุติธรรม เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่คนที่ต้องเดินทางไต่ตัวบท แต่ต้องดูเจตนารมย์ ดูบริบท ดูผลกระทบ ผลข้างเคียง ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เป็นข้อพิพาท การตัดสินคดีพิพาทต้องดูข้อเท็จจริง ดูกฎหมาย ดูเรื่องราวบริบทแวดล้อมให้ครบถ้วน อาจารย์ธงทองย้ำ กฎหมายเป็นเครื่องมือแสวงหาความยุติธรรม ถ้าเราเผลอนึกว่าก็ตัวหนังสือเขียนไว้อย่างนี้ เราจะตกหล่นสาระสำคัญของเรื่องนี้ไป ในการฟ้องคดีมีบ่อยครั้งหลายเรื่อง จะพบว่าผู้นำคดีมาสู่ศาลนั้น ไม่ได้ต้องการประเด็นแพ้ชนะในคดีเท่านั้น แต่ต้องการผลข้างเคียงอื่นๆ เช่นผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ส่วนตน หรืออื่นๆ ที่สำคัญเราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ “ต้องบอกนักกฎหมายว่า เราต้องมีความรอบคอบ มีสติ ไม่ตกหล่นไปเป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์ข้างเคียงของการฟ้องคดี ต้องใช้ความรอบคอบ ดุลพินิจ อย่าให้เป็นเครื่องมือใช้กฎหมายเดินนอกกรอบของความยุติธรรม” ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ อ่านแถลงการณ์แสดงจุดยืนของคณะนิเทศศาสตร์ ที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการและปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะอีกด้วย

Read More

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งสำหรับคดีของนักแสดงสาว “แตงโม นิดา” หลัง “บังแจ็ค” ออกมาเปิดเผยถึงโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่อยู่ในความครอบครองของตนเอง พร้อมยืนยันว่าไม่ขายโทรศัพท์เครื่องนี้ แม้จะมีคนเสนอเงินจำนวนมากถึง 5 ล้านบาทก็ตาม ข้อมูลในโทรศัพท์แตงโมถูกลบเพียบนายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือ บังแจ็คได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ว่า โทรศัพท์มือถือของแตงโมถูกส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ เพื่อนำไปส่งมอบให้ดีเอสไอใช้ในการคลี่คลายคดี โดยบังแจ็คเผยว่า ข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างถูกลบไป เช่น แชทที่คุยกับนักการเมืองดัง ข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแส รวมถึงบัญชีของเพื่อนสนิทหลายคนของแตงโมก็ถูกลบไปด้วย กู้ข้อมูลได้ 4 หมื่นรูป พบคนดัง-คนใหญ่คนโตแชทหาบังแจ็คระบุว่า ตนเองกู้ข้อมูลในโทรศัพท์ได้กว่า 40,000 รูป แต่ยังดูไม่หมด และพบว่ามีคนดังและคนใหญ่คนโตหลายคนแชทหาแตงโมในเวลาผิดปกติ รวมถึงข้อความที่แตงโมคุยกับนักการเมืองดังที่ขู่จะปล่อยภาพลับและเรียกให้ไปหา ไม่ขายโทรศัพท์ แม้เสนอ 5 ล้านบังแจ็คเปิดเผยว่า มีคนพยายามเสนอเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ โดยเสนอเงินสูงถึง 5 ล้านบาท แต่ตนเองยืนยันว่าไม่ขาย เพราะอยากยกให้ นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะ เนื่องจากไว้ใจทั้งสามคนที่สุด เชื่อเวรกรรมมีจริง คดีแตงโมต้องกลับมาบังแจ็คกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง และคดีของแตงโมจะต้องกลับมาอีกครั้ง เพราะมีพิรุธหลายอย่างที่น่าสงสัย และตนเองได้เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้หมดแล้ว

Read More

แม้ภาพรวมการเปิดโรงงานใหม่ในไทยจะยังมากกว่าการปิดตัว แต่สถานการณ์โดยรวมยังน่าห่วง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้โรงงานยังเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เหตุเศรษฐกิจผันผวน กำลังซื้อเปราะบาง แถมเจอดาบสองสงครามการค้ารอบใหม่และแรงกดดันจากสินค้านำเข้า สถานการณ์โรงงานไทยปี 2567: เปิดมากกว่าปิด แต่ SMEs ยังน่าห่วง ภาพรวม: แม้การเปิดโรงงานจะมากกว่าปิด แต่จำนวนโรงงานที่ปิดตัวเฉลี่ยยังคงมากกว่า 100 แห่งต่อเดือน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โรงงานเปิดใหม่ลดลง: ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) โรงงานเปิดใหม่หักลบด้วยโรงงานปิดตัว เฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือน จาก 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565 SMEs ปิดตัวมากขึ้น: โรงงานที่ปิดตัวลงในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) มากขึ้น สะท้อนจากทุนจดทะเบียนรวมของโรงงานที่ปิดตัวลงที่น้อยกว่าปี 2566 ถึง 3.8 เท่า ประเภทโรงงานที่ปิดตัว: ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิต เผชิญความต้องการที่ลดลง และแข่งขันรุนแรง ทั้งจากคู่แข่งและสินค้านำเข้า เช่น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า ยานยนต์ และเหล็ก การจ้างงาน: โรงงานเปิดใหม่จ้างงานเฉลี่ย 36 คนต่อแห่ง สูงกว่าโรงงานปิดตัวที่เลิกจ้างเฉลี่ย 28 คนต่อแห่ง แต่ชั่วโมงการทำงานในภาคการผลิตมีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อรายได้แรงงาน ปี 2568: SMEs ยังเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่องศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า โรงงานยังเสี่ยงที่จะปิดตัวต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะ SMEs จากหลายปัจจัยกดดัน: เศรษฐกิจและกำลังซื้อ: ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบางจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สงครามการค้า: ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจส่งผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ สินค้านำเข้า: แรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ภาครัฐและผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Read More