- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีมติว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไม่ผ่านคุณสมบัติ ทำให้เกิดคำถามว่า หากนายกิตติรัตน์ ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะเคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โดยพ้นตำแหน่งไม่ถึง 1 ปี แล้วเหตุใด ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ก็เคยเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้าข่ายสองมาตรฐานหรือไม่ หากพิจารณาจากเหตุผลที่กฤษฎีกา ชี้คุณสมบัติของนายกิตติรัตน์ว่าไม่ผ่านเกณฑ์นั้น มีการระบุว่า พิจารณาจากภาพรวมพฤติกรรมทั้งหมดจึงเห็นว่าไม่ผ่านเกณฑ์ The Publisher ชวนทุกคนไปดูเส้นทางชีวิตบนถนนสายการเมืองของนายกิตติรัตน์ จะเห็นภาพชัดว่า ผู้ชายคนนี้ไม่เคยว่างเว้นจากความเป็นนักการเมือง ดังข้อมูลดังต่อไปนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2554 รองนายกฯ-รมว.พาณิชย์ 2555 รมว.คลัง พรรคเพื่อไทย 2562 ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ แต่ในขณะนั้นพรรคเพื่อไทยไม่ได้สส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว ทำให้นายกิตติรัตน์ไม่ได้เข้าสภาฯ 2563 ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยเป็นรองหัวหน้าพรรค รัฐบาลเศรษฐา 2566 ประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ซึ่งกรรมการชุดนี้มีทั้งข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชน มาทำหน้าที่จัดทำข้อเสนอแนะแก้หนี้สินประชาชนรายย่อย ขอเอกสารข้อมูล เชิญเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมชี้แจง รวมถึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือมอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ได้ จะเห็นได้ว่าตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ที่นายกิตติรัตน์ได้รับมอบหมายในฐานะเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ นั้น มีอำนาจแทบจะไม่แตกต่างไปจากรองนายกฯ หรือรัฐมนตรีเลย ดังจะเห็นได้จากตำแหน่งนี้เดิมในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น เป็นของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นประธาน แบบนี้จะเรียกว่าไม่ใช่ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” หรือ นี่คือเส้นทางการเมือง และการทำหน้าที่ในฐานะประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ของนายกิตติรัตน์ ที่แตกต่างไปจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พร้อมแฟ้มกองโต ระบุข้อความ “แฟ้มส่งท้ายปี 2567 และเตรียมงานให้พร้อมสำหรับสวัสดีปีใหม่ แต่ในช่วงบ่ายวันนี้ (25 ธ.ค.67) นายกฯ กลับยกเลิกภารกิจเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุม กพช.แทน ให้เหตุผลว่าติดภาคกิจด่วนในการเรียก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. หารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า กรณีแต่งตั้ง “นายพลเล็ก” ระดับรองผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ ยศ พล.ต.ต. วาระประจำปี 2567 ทั้งนี้การประชุม กพช. มีความสำคัญ ที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้นายกฯ กำหนดนโยบายใหม่เกี่ยวกับการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2,145 เมกะวัตตต์ ก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาภายในวันที่ 30 ม.ค.นี้ แต่นายกฯ กลับไม่ไปเป็นประธานในที่ประชุม กพช. ประเด็นพิรุธที่ทั้งฝ่ายค้านและสภาองค์กรของผู้บริโภคตั้งข้อสังเกตในการซื้อไฟฟ้าครั้งนี้ มีตั้งแต่การล็อกทุน ล็อกราคา กีดกันไม่ให้มีการแข่งขัน เป็นการผลักภาระให้ประชาชนที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพง 65,000 ล้านบาท ตลอดเวลา 25 ปีของสัมปทาน ทั้ง ๆ ที่มีทางเลือกที่ดีกว่า พร้อมตั้งคำถามว่า มีการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงานเกิดขึ้นหรือไม่
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. ให้สอบสวนอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาแล้ว ชี้เป็นการขัดคำสั่งศาล โดยนายวัชระ มองว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือทุจริต จึงขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนอธิบดีกรมที่ดิน คณะกรรมการสอบสวน และนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมกันนี้ นายวัชระ ยังทวงถามความคืบหน้าคดีทุจริตการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีผนังห้องประชุมกรรมาธิการผิดแบบ มานานกว่า 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า นายวัชระ จึงขอให้ ป.ป.ช. เร่งรัดการไต่สวนทั้งสองกรณีโดยเร็ว และตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการประวิงคดีเกิดขึ้น
“หมอหมู วีระศักดิ์” หรือ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี เจ้าของเพจ หมอหมู วีระศักดิ์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลเตือนภัยพ่อแม่ที่มีเด็กเล็ก ให้ดูแลลูกน้อยด้วยความระมัดระวัง เพราะในช่วงคริสมาสต์อย่างนี้ มีของเล่นหลากหลายสีสันออกมาวางขายมากมาย เด็กบางคนเมื่อเห็นว่าเป็นของที่มีสีสัน อาจเผลอตัวหยิบเข้าปากได้ โดยหมอหมูระบุข้อความเอาไว้ว่า “ราชวิทยาลัยการแพทย์ฉุกเฉิน (Royal College of Emergency Medicine (RCEM)) ของสหราชอาณาจักร ได้ออก ‘คำเตือนด้านความปลอดภัย’ เกี่ยวกับลูกปัดน้ำสีสันสดใส ซึ่งมักทำการตลาดเป็นของเล่น” ตามรายงานของ RCEM ลูกปัดเหล่านี้อาจใช้เป็นของตกแต่งในบ้านหรือใส่ในแจกันได้ โดยอาจเป็นของเล่นเสริมประสาทสัมผัส หรือชุดอุปกรณ์ศิลปะก็ได้ ลูกปัดเหล่านี้มีขนาดเล็กมากในตอนแรก แต่สามารถพองตัวได้มากถึง 400 เท่าของขนาดเดิม ภายในเวลาประมาณ 36 ชั่วโมงเมื่อสัมผัสกับของเหลว หากกลืนกินเข้าไปขณะที่ยังมีขนาดเล็ก อาจขยายตัวในร่างกายของเด็กได้ ทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ซึ่งอาจต้องได้รับการผ่าตัดและตรวจไม่พบในเอกซเรย์ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความเสี่ยงในกรณีที่เด็กกลืนถ่านกระดุมหรือถ่านเหรียญและแม่เหล็กลงท้อง มันอาจไปติดอยู่ในหลอดอาหารของเด็กเล็ก อาจส่งผลให้เจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ เนื่องจากปฏิกิริยาเคมีที่กัดกร่อนเนื้อเยื่อ หรือแม่เหล็กอาจดึงดูดกันภายในส่วนต่าง ๆ ของลำไส้ ทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงหรือลำไส้ทะลุ ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน พ่อแม่ควรดูแลและเลือกซื้อของขวัญให้กับลูกน้อยด้วยความระวัง ป้องกันไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง.ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี
เพจ “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” เผยภาพความงดงามของไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่โดดเด่นด้วยดอกสีแดงสดใสท่ามกลางแมกไม้อุดมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อย่าง “จิงจ้อแดง” หรือ “เครือตีแต้” (Ipomoea𝘐𝘱𝘰𝘮𝘰𝘦𝘢 𝘩𝘦𝘥𝘦𝘳𝘪𝘧𝘰𝘭𝘪𝘢 𝘓.) สมาชิกในวงศ์ผักบุ้ง หรือ Convolvulaceae ซึ่งความพิเศษของดอกจิงจ้อแดงอยู่ที่รูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ กลีบดอกเชื่อมต่อกันเป็นหลอดยาวสง่างาม และที่น่าหลงใหลคือส่วนปลายดอกที่แผ่บานออกตั้งฉากกับลำต้น ราวกับดาวน้อยสีแดงที่ประดับตกแต่งเถาวัลย์เขียวชอุ่ม แม้จะเป็นเพียงไม้เถาล้มลุกธรรมดา แต่จิงจ้อแดงกลับมอบสีสันสดใสให้กับผืนป่า สร้างจุดสนใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักพฤกษศาสตร์ที่มาเยือน ยืนยันความหลากหลายทางชีวภาพอันน่าทึ่งของป่าไทย การค้นพบนี้ได้รับการยืนยันชื่อทางพฤกษศาสตร์โดย รศ. ดร.ปวีณา ไตรเพิ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชวงศ์ผักบุ้งของประเทศไทย และได้รับการบันทึกไว้ในหอพรรณไม้ BKF เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการต่อไป.ขอบคุณรูปภาพและข้อมูล : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เนื่องในวันคริสมาสต์ NASA ได้เผยภาพ “The Christmas Tree Cluster” เป็นของขวัญ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ NASA เคยเปิดภาพ The Christmas Tree Cluster หรือ NGC 2264 ให้ผู้คนทั่วโลกได้ตื่นตามาก่อนเมื่อคริสมาสต์ปีที่แล้ว ซึ่ง “The Christmas Tree Cluster” นี้ อยู่ห่างจากโลกกว่า 2,500 ปีแสง ประกอบด้วยดวงดาวที่มีอายุระหว่าง 1-5 ล้านปีแสงในทางช้างเผือก ล่องลอยกระจัดกระจายอยู่ในอวกาศ แต่ภาพที่เห็นเป็นภาพการรวมตัวของกลุ่มก้อนเมฆสีเขียว ห้อมล้อมด้วยดวงดาวเล็กใหญ่หลากหลายสีสัน ทำให้กลุ่มเมฆที่ระยิบระยับถูกประดับประดาไปด้วยกระจุกดาว กลายเป็นภาพของต้นคริสมาสต์อันสดใสในจักรวาล
ย้อนดูการจัดงบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา มาจนถึงรัฐบาลแพทองโพย พบว่า มีการจัดงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องอย่างมีนัยยะสำคัญ เริ่มจากปีงบประมาณ 2567 ขาดดุล 6.93 แสนล้านบาท ปีงบประมาณ 2568 ขาดดุล 8.7 แสนล้านบาท และปีงบประมาณ 2569 วางแผนขาดดุลอีก 8.6 แสนล้านบาท บวกดูแล้วพบว่าการจัดงบประมาณ 3 ปีของรัฐบาลเพื่อไทยรวมขาดดุลแล้วกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ทั้ง ๆ ที่มีเสียงเตือนจากหลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ สภาพัฒน์ฯ เตือนมาตั้งแต่การทำงบประมาณปี 2567 ว่า ต้องลดการขาดดุลลงให้ต่ำกว่า 3 % ของจีดีพี แต่การจัดงบประมาณของรัฐบาลเพื่อไทย สวนทางมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ขาดดุลเกิน 4 % ของจีดีพีไปแล้ว แน่นอนว่าหนี้สาธารณะจะพุ่งเป็นเงาตามตัว หากภาวะขาดดุลยังดำรงอยู่เช่นนี้ ไม่มีการแก้ไข คาดการณ์ว่าภายในปี 2572 ยอดหนี้สาธารณะจะแตะที่เพดาน 70 % ขณะที่การหารายได้เพิ่มยังไม่มีหนทางที่ชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นความพยายามสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ทั้งพันธบัตรดิจิทัล ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างเงินสกุลใหม่มาแข่งกับสกุลเงินบาท ไปจนถึงการล็อกเป้าเล็งล้วงทุนสำรองระหว่างประเทศมากระตุ้นเศรษฐกิจ นี่คือทัศนคติที่น่าห่วง เป็นกับดักและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ถ้ายังเดินตามรอยนี้ ไม่เพียงไม่ได้ตามเป้า เศรษฐกิจโต 4-5 % อาจตามมาด้วยการถูกลดเครดิตจากภาระหนี้ที่เกิดขึ้นด้วย
ปัญหาการตายอย่างโดดเดี่ยวในญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ หลังพบว่าประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปประมาณ 68,000 คน เสียชีวิตลำพังที่บ้านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น กระทั่งเริ่มมีกลิ่นเน่าโชยออกมา คนภายนอกจึงเริ่มรับรู้ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่ควรให้เกิดกับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน เราสามารถเรียนรู้จากญี่ปุ่นและนำมาปรับใช้ โดยเน้นการสร้างระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และปลูกฝังค่านิยมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ มีคำถามว่าเราเตรียมระบบเพื่อรับมือปัญหาเหล่านี้หรือยัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คนเดียว เพื่อติดตามและให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น แอปพลิเคชันสำหรับผู้สูงอายุ ระบบแจ้งเตือน สร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ เช่น อาสาสมัครเยี่ยมบ้าน จัดกิจกรรมในชุมชน สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ที่สำคัญคือการสร้างโอกาสทางสังคมให้กับผู้สูงอายุ ได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่โดดเดี่ยว รวมถึงการลดช่องว่างของวัยด้วยการให้คนรุ่นใหม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สูงอายุมากขึ้น เคยถามตัวเองกันบ้างหรือไม่ว่า เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ลูก” คนเป็นพ่อแม่ทุ่มเทเต็มที่ เสียเท่าไหร่ก็ยอมควัก แต่พอเป็นเรื่องพ่อ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย กว่าจะควักเงินออกมาแต่ละบาทคิดแล้วคิดอีก คนสูงอายุถูกมองเป็นภาระ และมีแนวโน้มจะถูกทอดทิ้งมากขึ้น การแก้ไขปัญหาการตายอย่างโดดเดี่ยว ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และครอบครัว เพื่อสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุได้รับการดูแล มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่ถูกทอดทิ้งจนจบที่ “ตายอย่างโดดเดี่ยว”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์หลังนายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายก อบจ. เชียงใหม่ พาดพิงคนที่เคลื่อนไหวต่อต้านว่าเป็นพวกไม่มีอาชีพ แต่มีที่ดินริมทะเล รวมถึงลำเลิกบุญคุณในทำนองเคยเลี้ยงข้าว โดยบอกเรื่องที่ดินริมทะเลไม่ใช่ตนเองแน่นอน ส่วนคนไม่มีอาชีพก็ยังดีกว่าคนมีอาชีพโกงกินบ้านเมือง การที่นายทักษิณแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว เป็นอาการของคนมีความอึดอัดคับแน่นอก จึงตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องการแก้แค้น ดังนั้น การอ้างกลับไทยมาเลี้ยงหลานจึงสวนทางกับพฤติกรรม นายจตุพรบอกถ้าทักษิณมาเลี้ยงหลานตามการขออนุญาตกลับบ้าน และรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุข คงไม่มีเหตุผลที่วิจารณ์ทักษิณ แต่พฤติกรรมกลับไม่ใช่ ซ้ำยังพาบ้านเมืองลามไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้ง MOU 44 การแบ่งผลประโยชน์กับกัมพูชา รวมถึงยังสับสนในสถานะตัวเอง เช่นเรื่องเสนอใช้กำลังทลายแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ต้องเป็นนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เหมาะสมกว่า ทั้งที่ตัวเองเป็นบุคคลต้องห้ามทางการเมืองและถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต นายจตุพร มองว่าการแสดงท่าทีของนายทักษิณเช่นนี้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในสถานะตัวเอง เช่นล้มแผนการไปเกาะลังกาวี หรือ กรณีความจริงบนชั้น 14 ซึ่ง ป.ป.ช.และแพทยสภาอยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมทั้งกรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ทำให้ทักษิณมีความกังวลภายใต้เวลาจำกัด หากคิดจะมีการเปลี่ยนผลให้เป็นคุณต่อตัวนายทักษิณเอง ซึ่งคงไม่ใช่จะทำกันได้ง่าย ๆ นายจตุพร เชื่อว่าต้นปี 68 จะมีหลากหลายปัญหาที่ทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยหวั่นไหวจนเกิดความไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเรื่องบ่อนคาสิโนต้องผ่านมติ ครม.และออกเป็นกฎหมาย ทั้งการตั้งคณะกรรมการ เจทีซี ไปเจรจา MOU 44 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มกับกัมพูชา และอีกหลายๆ นโยบาย ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ล้วนทำให้ทักษิณกับพรรคเพื่อไทยเกิดหวั่นไหวในความไม่มั่นใจทั้งสิ้น
จุดเริ่มต้นการโกงภาษีครั้งมโหฬารนี้เกิดขึ้น เมื่อนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ทำหนังสือสอบถามกรมสรรพากรเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 ว่า บริษัทแอมเพิลริช จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน ซื้อหุ้นชินคอร์ป ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 จำนวน 32.92 ล้านหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท และในระหว่างที่บริษัทแอมเพิลริชถือหุ้น บริษัทชินคอร์ปฯ ได้ทำการลดราคาพาร์เหลือ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถือครองเพิ่มเป็น 329.2 ล้านหุ้น ต่อมาบริษัทแอมเพิลริช ตกลงขายหุ้นดังกล่าวให้นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ราคาพาร์ 1 บาท โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทาจะต้องเสียภาษีหรือไม่ ต่อมาในวันที่ 21 กันยายน 2548 นางเบญจา หลุยเจริญ ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (ขรก.ซี 10)ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ได้ลงนามในหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0706/7896 ตอบข้อหารือนางสาวปรานีว่า กรณีนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา เป็นการซื้อต่ำกว่าราคาตลาด ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน อีกทั้งการที่บริษัทแอมเเพิลริชขายหุ้นให้นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ก็ไม่เข้าข่ายพนักงาน หรือกรรมการได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เพราะหุ้นชินคอร์ปฯ ที่บริษัทแอมเพิลริชซื้อไว้ถือเป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท ไม่ใช่หุ้นที่บริษัทแอมเพิลริชเป็นผู้ออกเอง ทำให้บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ไม่ต้องเสียภาษีจากการซื้อหุ้นดังกล่าว ส่งผลให้รัฐขาดรายได้เกือบ 16,000 ล้านบาท จากนั้นในวันที่ 20 มกราคม 2549 พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ เปิดทางให้กลุ่มทุนต่างประเทศ สามารถเข้าถือหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมไทยได้ 49 % จากเดิมกำหนดไม่เกิน 25 % หลังจากนั้นเพียงสามวัน ในวันที่ 23 มกราคม 2549 นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา นำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ มูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นายทักษิณ ถูกพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท…