- Original
 - Urban Culture
 - Writer
 - About us
 - คุยกับสส
 - The Persona
 - Brief
 - Thai Treasure
 - Urban life
 - On this day
 - News
 - Home
 - Editir pick
 - Good
 - Persona
 - Persona
 - Urban
 - Business
 - Politics
 - Playlist
 - Home
 - People Voice
 - Culture
 - นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
 - Urban Wealth
 - Law
 - Update
 - I’m Youth Ranger
 - Urban History
 - Issues
 - Check
 
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
เป็นข้อเสนอและความเห็นในเวทีประชุมเครือข่ายภาคประชาชนในเขตพื้นที่ภาคใต้ เรื่อง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ที่จังหวัดพังงา ซึ่งมีแกนนำภาคประชาชน ภาคการศึกษาและผู้นำศาสนาในพื้นที่ร่วมเวทีด้วย ซึ่งทุกฝ่ายสะท้อนปัญหาที่เกิดจากการพนันในหลายแง่มุม โดยเฉพาะการเปิดกาสิโน และพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย โดยยืนยันว่าการพนันก็คือการพนัน ไม่ควรทำให้สิ่งผิดเป็นสิ่งถูก และไม่เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยว หรือกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่รัฐบาลคาดหวัง นอกจากนี้ยังพูดถึงแนวทางในการขับเคลื่อนค้านกาสิโน โดยเชื่อว่าเรื่องนี้ สังคมไม่ยอมรับ และประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอากาสิโน ต้องล้มกฎหมายฉบับนี้อย่างเดียว ไม่ประณีประนอม ดังนั้นจึงต้องหากลไกในการนำแนวร่วมคนที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมากขับเคลื่อนไปพร้อมกัน “หากมีกลไกร่วมกัน เชื่อว่าจุดติดแน่ อยู่ที่ว่าจะเริ่มกันอย่างไร และหากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นการเดินไปสู่หายนะ” หนึ่งในแกนนำภาคประชาชนกล่าว ในเวทีดังกล่าวยังเสนอให้ตัวแทนชาวไทยพุทธ ถวายฎีกาสมเด็จพระสังฆราช ชาวไทยมุสลิม ยื่นเรื่องไปถึงจุฬาราชมนตรี เพื่อสื่อสารกับรัฐบาลว่าสังคมไทยไม่ต้องการ “กาสิโน” – พนันถูกกฎหมายด้วย
หลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 2.00% หลายฝ่ายอาจมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทย แต่ “ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลับเตือนว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่กำลังจะมา จากนโยบายกำแพงภาษีของ “โดนัล ทรัมป์” ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher ที่ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร นายธีระชัย ชี้ให้เห็นว่า การลดดอกเบี้ยเป็นไปตามแนวทางของ IMF เพื่อช่วยภาคธุรกิจปรับตัว และการพิเคราะห์ของ กนง.เพื่อรับมือกับภาวะตึงตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่ได้ปรับลดตามแรงกดดันของรัฐบาลที่ต้องการให้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อหนุนการกู้เงินเพิ่มไปใช้ในโครงการประชานิยม “กนง. ไม่ได้ยอมรัฐบาล และไม่ได้ลดดอกเบี้ยเพื่อเอาใจนโยบายการคลังที่มุ่งกู้เงินมากขึ้น” เขาย้ำว่า กนง. มีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน และคำนึงถึงเสถียรภาพของประเทศเป็นหลัก “ถ้าปล่อยให้รัฐบาลกดดันให้ลดดอกเบี้ยเอื้อให้กู้เงินง่ายขี้น แล้วนำเงินไปแจกเพื่อสร้างคะแนนนิยม แบบนี้อันตรายต่อประเทศในระยะยาว” เมฆหมอกเศรษฐกิจมาเยือน รัฐบาลยังไม่ตื่นตัว “กนง. มองเห็นปัญหาแล้ว แต่รัฐบาลกลับยังไม่ตระหนัก อย่าคิดว่าลดดอกเบี้ยแล้วทุกอย่างจบ รัฐบาลยังไม่มีการเตือนหรือให้คำแนะนำภาคธุรกิจเลยว่าจะรับมือกับความเสี่ยงและความผันผวนทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร ตอนนี้แบงก์ชาติทำในส่วนของเขาแล้ว แต่รัฐบาลต้องช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ระบบการเงินผูกขาดอยู่แบบนี้” เขาเสนอให้ เปิดรับธนาคารต่างประเทศมากขึ้น กระตุ้นการแข่งขัน ปลดล็อกระบบสินเชื่อระดับภูมิภาค และหากแบงก์มีกำไรมหาศาลแต่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจต้องพิจารณา “ภาษีลาภลอย” ในบางช่วง เศรษฐกิจต้องโตจากรากฐาน ไม่ใช่แค่ลดดอกเบี้ยหรือแจกเงิน นายธีระชัย เน้นว่า การลดดอกเบี้ยช่วยได้แค่บางส่วน “รัฐบาลต้องหยุดใช้นโยบายประชานิยมแบบแจกเงินหวังผลคะแนนเสียง” เช่น โครงการกาสิโน หรือขุดก๊าซในพื้นที่พิพาทไทย กัมพูชา เพราะ “ผลประโยชน์ไม่แน่ว่าจะถึงมือประชาชนจริง ๆ” “แจกเงินหมื่น ก็ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ” เขายกตัวอย่างว่า GDP ไตรมาส 4 ของปี 2567 ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผล แม้แต่ World Bank และ IMF ยังแนะนำให้เอาเงินไปใช้กับ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทักษะแรงงาน มากกว่าการแจกเงิน “การเมืองไทยต้องเลิกคิดสั้น”: อย่ามองแต่คะแนนเสียง “นักการเมืองคิดแต่ผลระยะสั้น ละเลยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” เพราะการวางแผนระยะยาวต้องใช้เวลา 2-3 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจไม่ถูกใจประชาชนที่อยากเห็นผลเร็ว…
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เปิดปฏิบัติการ ‘ตัดวงจรแชร์ลูกโซ่ตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข K4’ ทลายเครือข่ายลงทุนหลอกลวงประชาชน พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท และจับกุมตัวผู้ต้องหาหลัก 2 ราย ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของบริษัท เปิดแผนตุ๋น! ‘ลงทุน 50,000 ได้คืน 150,000 ใน 500 วัน’ เครือข่ายแชร์ลูกโซ่นี้อ้างว่าเป็นธุรกิจ “ตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข” และ “ซิม K4” โดย หลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุน ด้วยการเสนอแพ็คเกจว่า ลงทุน 50,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 150,000 บาท ภายใน 500 วัน ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนสูงถึง 219% ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีระบบแนะนำดีลเลอร์หรือนักลงทุนใหม่ โดยให้ค่าตอบแทนสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร ในช่วงแรก นักลงทุนได้รับเงินคืนจริง ทำให้มีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก แต่เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม 2567 ผู้ลงทุนเริ่มไม่ได้รับผลตอบแทน และเมื่อทวงถาม กลับถูกบ่ายเบี่ยงจนสุดท้ายพบว่าถูกโกง ปูพรมจับกุม! ทลายเครือข่าย – ยึดทรัพย์อื้อ หลังจาก ผู้เสียหาย 61 ราย เข้าร้องทุกข์กับ บก.ปอศ. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งสืบสวนและพบว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจระบบชำระเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย และเงินลงทุนหมุนเวียนผ่าน เพย์เมนต์เกตเวย์ มากกว่า 400 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังมีการ ยักย้ายถ่ายโอนเงินเป็นทรัพย์สินหลบเลี่ยงการตรวจสอบ จากนั้นตำรวจได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาออกหมายจับ บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และ บริษัท ปันสุข555 จำกัด รวมถึงกรรมการบริษัท 2 ราย ได้แก่นางสาวเริงฤดีฯ อายุ 45 ปี (หมายจับศาลอาญา ที่ 1283/2568) และนางสาวพรพิมลฯ อายุ 30 ปี (หมายจับศาลอาญา…
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกับ หน่วยสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรมตำรวจสิงคโปร์ (TCIB SPF) เปิดปฏิบัติการสืบสวนข้ามพรมแดน แกะรอยและจับกุมแฮกเกอร์ระดับโลก ที่ใช้นามแฝง “Desorden GhostR” หรือ “0mid16B Group” เบื้องหลังการเจาะระบบข้อมูลทั่วโลก แผนไล่ล่าแฮกเกอร์ข้ามชาติ จับกุม ‘Mr. Chia’ แก๊งเจาะข้อมูลระดับโลก ตำรวจ บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่ามี แฮกเกอร์เจาะระบบคอมพิวเตอร์และขโมยข้อมูลลูกค้า ของบริษัท ก่อนนำไปโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลโดยใช้บัญชี “0mid16B Group” เมื่อสืบสวนร่วมกับ TCIB SPF พบว่า พฤติกรรมสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Desorden GhostR ที่มีประวัติแฮกข้อมูลและขายในตลาดมืดระดับนานาชาติ ทีมสืบสวนได้ แกะรอยพฤติกรรมของผู้ต้องหา ผ่านการสืบสวนเชิงลึกและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเทคนิค จนสามารถระบุตัวตนและรวบรวมหลักฐาน เพื่อขอศาลอาญามีนบุรีออกหมายค้น (คำร้องที่ ค.103/2568 ลงวันที่ 25 ก.พ. 2568) วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นเป้าหมาย และพบพยานหลักฐานชัดเจนว่าผู้ต้องหาคือ “Mr. Chia” อายุ 39 ปี สัญชาติสิงคโปร์ แฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังบัญชี “0mid16B” และมีพฤติกรรมขายข้อมูลที่ขโมยได้ผ่านตลาดมืดออนไลน์ เปิดโปงเครือข่าย ‘Desorden GhostR’ แฮกเกอร์ที่โลกต้องการตัว จากรายงานของ Group-IB ซึ่งเป็นองค์กรเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ พบว่ากลุ่ม Desorden GhostR เคยก่อเหตุเจาะข้อมูลในไทยมากถึง 20 ราย และในต่างประเทศ กว่า 50 ราย ตั้งแต่ปี 2563 โดยมุ่งเป้าโจมตีหน่วยงานเอกชนและภาครัฐ ก่อนนำข้อมูลที่ขโมยไปขายในตลาดมืดหรือใช้ข่มขู่เรียกค่าไถ่ของกลางที่ถูกตรวจยึดจากผู้ต้องหา ได้แก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เก็บข้อมูลและฮาร์ดแวร์เชื่อมโยงการโจมตี และทรัพย์สินหรูหรามูลค่ากว่า 10 ล้านบาท CIB เตือนภัยไซเบอร์ แนะองค์กร-ประชาชนรับมือ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนว่า…
“เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ นำทีมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญฯ ชี้ชัด ขาดภาวะผู้นำ ไร้วุฒิภาวะ บริหารผิดพลาด-เอื้อพวกพ้อง และที่สำคัญ “เปิดทางให้บิดาชี้นำการบริหารประเทศ” จนกลายเป็น “นายกฯ หุ่นเชิด” เผย 3 ประเด็นร้อน ในญัตติซักฟอกนายกฯ ฝ่ายค้านชี้ว่า การบริหารประเทศของนายกฯ สะท้อน 3 ปัญหาใหญ่ ที่ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ได้แก่ ขาดภาวะผู้นำ-ไร้ความสามารถ บริหารประเทศล้มเหลวลอยตัวเหนือปัญหาไม่สามารถแก้ไขวิกฤติของประเทศได้ ทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ประเทศ 2. บริหารผิดพลาด-เอื้อพวกพ้อง ล้มเหลวทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง การปฏิรูปกองทัพ และสิ่งแวดล้อม เปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายแต่งตั้งบุคคลไม่มีความสามารถเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ และ 3. “ปล่อยพ่อชักใย” เป็นนายกฯ หุ่นเชิด ยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เงา ชี้นำการบริหาร โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ ส่งผลให้การตัดสินใจหลายอย่างของรัฐบาลขาดความโปร่งใส ขัดหลักธรรมาภิบาล ปล่อยไว้ไม่ได้ ประเทศเสียหายหนัก! ฝ่ายค้านย้ำว่า “หากปล่อยให้นายกฯ บริหารประเทศต่อไป จะเกิดความเสียหายร้ายแรง” และเตือนว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ตัวนายกฯ เท่านั้น แต่พุ่งเป้าครอบคลุมทุกองคาพยพของรัฐบาล การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงถือเป็น ศึกสำคัญทางการเมือง ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาเสถียรภาพรัฐบาล และเป็นบททดสอบใหญ่ของนายกรัฐมนตรีในการรักษาเสียงสนับสนุนในสภาฯ โดยต้องจับตาดูว่าฝ่ายรัฐบาลจะสามารถโต้กลับข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
นายสมชาย แสวงการ อดีต สว.โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมนำหลักฐาน-ข้อมูลที่เกี่ยวกับกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ตั้งแต่ความพยายามนำที่ดินของยายเนื่อมไปออกเอกสารสิทธิ์ กระทั่งขายให้กับบริษัทเพื่อพัฒนาเป็นที่ดิน-สนามกอล์ฟอัลไพน์ และขายให้กับตระกูลชินวัตรตามลำดับ รวมถึงจดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 4 ฉบับที่ขอให้เร่งแก้ปัญหาคืนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และคำเตือนอาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง สุ่มเสี่ยงหลุดเก้าอี้นายกฯ หากมีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติ โดยนายสมชายบอกข้อมูล-หลักฐานทั้งหมดที่ว่ามานี้เคยเสนอไปถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เร่งแก้ปัญหาคืนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ กลับเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ตามกฎหมายและคำพิพากษา แต่เพิกเฉยมาตลอด จึงขอฝากข้อมูลและหลักฐานให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างจริงจังด้วย พร้อมติดแฮชแทก #อย่ามวยล้มต้มคนดู ,#สนามกอล์ฟอัลไพน์ฮุบที่ธรณีสงฆ์ เพื่อเป็นหลักฐานว่านายกฯ ที่เป็นกรรมการบริหารรู้เห็นปัญหา นำไปสู่การยื่นดำเนินคดีเอาผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้ทันที ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)(5) ที่ว่ารัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่มีมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นมาตรฐาน ตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิตอย่างน้อย 2 คดี
“ต่างด้าวรักษาฟรี คนไทยต้องจ่าย” คำพูดนี้อาจฟังดูรุนแรง แต่ความจริงคือ ระบบสาธารณสุขของไทยกำลังเข้าสู่ภาวะล่มสลาย จากการแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลให้แรงงานต่างด้าว จนถึงวันนี้ ยอดเงินที่เก็บไม่ได้พุ่งทะลุ 92,000 ล้านบาท และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่คนไทยเองยังต้องรอคิวรักษา ต้องเสียเงินค่ายา ต้องจ่ายประกันสุขภาพเพื่อให้ตัวเองได้รับการรักษาที่ดีขึ้น 92,000 ล้านที่หายไป คือ เงินภาษีของเรา! สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ปี 2567 ระบบสาธารณสุขไทยต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลแรงงานข้ามชาติสูงถึง 92,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแรงงานจาก เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่เข้ามาทำงานทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เงินจำนวนนี้มากพอที่จะสร้างโรงพยาบาลใหม่ได้หลายสิบแห่ง ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ทันสมัย หรือจ้างบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติม แต่แทนที่เงินเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อดูแลประชาชนไทย กลับต้องไปจมอยู่กับภาระที่ไม่มีทางเรียกคืนได้ โรงพยาบาลชายแดนล้มทั้งยืน แพทย์-พยาบาลรับศึกหนัก โรงพยาบาลในจังหวัดชายแดน เช่น ตาก กาญจนบุรี สระแก้ว ราชบุรี กำลังอยู่ในสภาวะ “เตี้ยอุ้มค่อม” แบกรับทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวจนระบบเริ่มวิกฤติ หมอพยาบาลทำงานหนักเกินกำลัง ยารักษาขาดแคลน งบประมาณไม่พอ บางโรงพยาบาลถึงกับขาดทุนสะสม เพราะมีผู้ป่วยต่างด้าวจำนวนมากแต่ไม่สามารถเก็บเงินได้ มนุษยธรรมที่ถูกใช้เป็นข้ออ้าง: “ห้ามปฏิเสธผู้ป่วย” ฝ่ายสนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพแก่แรงงานต่างด้าวมักกล่าวว่า “การแพทย์ไม่มีพรมแดน” โรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธผู้ป่วยได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน นี่คือจุดยืนทางมนุษยธรรมที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ แต่…มนุษยธรรมต้องมาพร้อมกับระบบรองรับที่ยั่งยืนหรือไม่? หมอและพยาบาลในพื้นที่ชายแดนกำลังถูกกดดันอย่างหนัก พวกเขาต้องรับคนไข้ล้นโรงพยาบาล ในขณะที่ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ขณะที่เงินภาษีคนไทยถูกเบียดเบียนจากชาวต่างชาติ โดยไม่มีแนวทางให้รัฐเก็บคืน ถ้าระบบสาธารณสุขล่มสลาย ใครจะช่วยคนไทย? “มนุษยธรรมต้องไม่ใช่การให้จนตัวเองตาย แต่ต้องเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ทำลายระบบ” นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องคิด ไม่ใช่แค่เปิดประตูให้ใครก็ได้เข้ามาใช้ทรัพยากรโดยไม่มีการควบคุม เทียบต่างประเทศ: ทำไมไทยต้องจ่ายแทนต่างด้าว? ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ปล่อยให้ต่างด้าวเข้ามาใช้ระบบสาธารณสุขฟรีขนาดนี้ สิงคโปร์ บังคับให้นายจ้างจัดหาประกันสุขภาพให้แรงงานต่างด้าวที่ถือใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) โดยมีการกำหนดความคุ้มครองขั้นต่ำ แรงงานต่างด้าวที่ถือวีซ่าชั่วคราว ไม่มีสิทธิ์ใช้ระบบ Medicare ของออสเตรเลีย ออสเตรเลีย กำหนดให้แรงงานต่างด้าวต้องมี Overseas Visitors Health Cover (OVHC) ก่อนเข้าประเทศ มิฉะนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน รัฐบาลไทยมีแผนรองรับ หรือแค่ปล่อยให้พัง? นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่มันถูกสะสมมานานจนถึงจุดที่ หากไม่แก้ไขตอนนี้ ระบบอาจพังลงในไม่ช้า…
นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.โพสต์เรื่องนี้พร้อมกับหมายเรียกจาก กกต.ที่ให้ไปพบกรรมการไต่สวนและสอบสวนของ กกต.เรื่องถูกคนร้องเรียนว่าทำงานภาคประชาชนไม่ถึง 10 ปี โดยในโพสต์นี้นางอังคนาตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของ กกต.ว่าเรื่องฮั้ว สว.อาจมีคำถามถึงความล่าช้า แต่สำหรับตนเองทำไมออกหมายเรียกทั้งที่อยู่ในสมัยประชุม และเป็นวันประชุมวุฒิสภา พร้อมระบุ เรื่องทำงานมากี่ปีแค่ค้นใน google ก็เจอข้อมูลแล้ว ทำไมต้องให้เสียเวลาประชุมไปให้การด้วยตัวเอง นางอังคณายังบอกแค่ข้อร้องเรียนว่าทำงานมากี่ปี กกต.ใช้เวลาร่วม 7 เดือนกว่าจะเรียกมาสืบสวนไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วแบบนี้กรณี สว. อื่น ๆ ที่ข้อร้องเรียนมีความซับซ้อนกว่านี้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ แล้วจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ กกต. เพื่อพิจารณาตัดสินการร้องเรียน สว.และเผยแพร่ต่อสาธารณะ เรื่องนี้ กกต. ควรชี้แจงสาธารณชนทราบถึงเหตุความล่าช้า เพราะการเลือก สว. เป็นที่คลางแคลงใจอย่างมากของประชาชน เพราะหากมีฮั้วจริงถือเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายรากฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย เพราะ สว. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และมีหน้าที่พิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติองค์กรอิสระ ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ป้องกันการทุจริต และคุ้มครองประชาชนให้มีความเท่าเทียม เป็นธรรมและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ นางอังคณามองว่า การตรวจสอบการคัดเลือก สว. ไม่ว่าจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (กรณีอั้งยี่) หรือ กกต. (ทุจริตเลือกตั้ง) จะเป็นการพิสูจน์ข้อครหาถึงความชอบธรรมเกี่ยวกับที่มาของ สว. และจะเป็นการคืนศักดิ์ศรีให้ สว. ทุกคนที่เข้ามาโดยอิสระ และชอบธรรม ปราศจากการฮั้ว หรืออยู่ภายใต้กลุ่มอิทธิพลใด ๆ และไม่เห็นด้วยที่ สว. บางคนจะเปิดอภิปรายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือการเรียกมาสอบใน กมธ. หรือฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะเห็นว่าเป็นการตอบโต้หรือแก้แค้น หรืออาจถูกมองว่าเป็นการกระทำเพื่อปิดปาก หรือปิดกั้นการเปิดเผยข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์สาธารณะ “สุดท้ายประชาชนคงต้องติดตามว่าเรื่อง #ฮั้วสว ว่าจะจบลงอย่างไร จะสามารถเปิดเผยความจริง นำคนผิดมาลงโทษ หรือจะจบลงโดยการฮั้วของพรรคการเมืองและนักการเมือง โดยทิ้งความคลางแคลงใจต่อการได้มาของ สว. ต่อไป” นางอังคณาระบุ
ในขณะที่ปัญหาคอนโดปล่อยเช่ารายวันกำลังเป็นที่ถกเถียง เบื้องหลังกลับมีปัญหาที่ใหญ่กว่าชวนให้ขบคิด คือ “ใครเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ไทย?” เพราะภาพที่ปรากฏสะท้อนชัดต่างชาติกำลังครอบครองคอนโดไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับรัฐบาลกำลังพิจารณาปรับหลักเกณฑ์ให้ “ต่างชาติสามารถถือครองคอนโดจากเดิม 49% เพิ่มเป็น 75%” ซึ่งอาจหมายถึงการ เปลี่ยนโครงสร้างความเป็นเจ้าของอสังหาฯ ในไทยไปโดยสิ้นเชิง ต่างชาติครองคอนโดไทยมากแค่ไหน? ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – มิ.ย.) ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดสถิติการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของต่างชาติ สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่าคนต่างชาติกำลังครอบครองอสังหาริมทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสัดส่วนดังนี้ อันดับ 1 สัญชาติจีน 39.5% อันดับ 2 สัญชาติพม่า 8.8% อันดับ 3 สัญชาติรัสเซีย 7.8% ขณะที่กลุ่มชาติอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ชาวอินเดีย เวียดนาม และยุโรปตะวันออก หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติจะเป็นเจ้าของคอนโด แต่ในอนาคตอาจเกิดคำถามว่า “เมืองไทยอาจไม่ใช่ของคนไทย” อีกต่อไปแล้วหรือไม่? รัฐบาลเดินหน้าขยายสิทธิให้ต่างชาติ ไทยกำลังขายตัวเอง? 9 เมษายน 2567 มีรายงานว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งศึกษาการเพิ่มสัดส่วนการถือครองคอนโดของต่างชาติจาก 49% เป็น 75% โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งขณะนี้แผนที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือ การเพิ่มสัดส่วนถือครองคอนโดของต่างชาติ จากเดิม 49% อาจเพิ่มเป็น 75% และอนุญาตให้ต่างชาติ “เช่าที่ดิน” ได้นานขึ้น จาก 30 ปี เป็น 99 ปี คำถามสำคัญคือ ภายใต้นโยบายนี้สุดท้ายแล้วใครจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ไทย? การให้เช่า 99 ปี จะกลายเป็นการขายอธิปไตยทางเศรษฐกิจหรือไม่? เศรษฐกิจที่พึ่งพาต่างชาติมากเกินไป จะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกควบคุมตลาดอสังหาฯ โดยทุนต่างชาติหรือเปล่า? ต่างชาติถือครองคอนโด = กุมอำนาจนิติบุคคล การเป็นเจ้าของห้องชุดในคอนโดไม่ใช่แค่เรื่องของที่พักอาศัย แต่เป็นเรื่องของ “อำนาจบริหาร” เพราะ เจ้าของห้องชุดมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด หากต่างชาติถือครองห้องชุดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อะไรจะเกิดขึ้น? ต่างชาติจะกุมเสียงข้างมากในที่ประชุมของนิติบุคคลใช่หรือไม่ นิติบุคคลอาคารชุดอาจออกกฎให้เอื้อประโยชน์ต่อต่างชาติเอง…
พลิกกันนาทีสุดท้ายสำหรับศึกซักฟอก ที่เดิม “พรรคประชาชน” วางแผนหว่านแห “ล่อทุกเม็ด เด็ดหัวหลายคน” มาเป็น ยุทธศาสตร์ใหม่ ไม่เน้นโจมตีพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด แต่พุ่งเป้าไปที่ตัว ‘นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร’ คนเดียว เผยไต๋มาว่าจะเอาให้สะเทือนจนถึงขั้นต้อง “ยุบสภา” อะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้? มีรายงานว่าสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแผนส่วนหนึ่งเพราะเกลือเป็นหนอน ข้อมูลภายในรั่วไหล รายชื่อรมต. 10 คน พร้อมพฤติกรรมละเอียดยิบถูกส่งออกให้รัฐบาลรู้ข้อสอบล่วงหน้า จนต้องเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นพุ่งเป้าไปที่นายกฯ คนเดียว ประกอบกับรัฐบาลผสมชุดนี้ เปราะบางตั้งแต่วันแรก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อไทย (แกนนำรัฐบาล) กับ ภูมิใจไทย ที่แม้จะร่วมรัฐบาลกัน แต่ก็ยังมีทั้งการแข่งขันในที มีความไม่ไว้วางใจกันอยู่ หนักที่สุดคือ การเมืองแบบขัดแข้งขัดขา ที่ทำให้เพื่อไทยไปแทบไม่เป็น จนต้องหันมาใช้กฎหมายเล่นงานกลับ การโจมตี ‘แพทองธาร’ เพียงคนเดียว เท่ากับส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ถ้ามีความไม่พอใจใด ๆ อยู่ ก็ระบายผ่านการลงคะแนนได้เลย อย่างไรก็ตามถ้า “พรรคประชาชน” คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะคว่ำกันเองในห้วงเวลานี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก “เพราะต่อหน้าผลประโยชน์ ขัดแย้งหนักแค่ไหนก็จบลงที่จูบปากทุกทีไป” เล่นกับจุดอ่อนของแพทองธาร – ประสบการณ์ทางการเมือง ที่น่าจับตาคือ หากพรรคประชาชน เล็งไปที่จุดอ่อนของ “แพทองธาร”ที่เพิ่งขึ้นเป็นนายกฯ สด ๆ ร้อน ๆ อ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมือง อีกทั้งสลัดคราบ “คุณหนู” ออกจากตัวไม่ได้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านจะ โจมตีจุดอ่อนนี้ อาจได้เห็นการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เกิดอาการปรี๊ดแตกกลางสภาฯได้เหมือนกัน ซึ่งหากสามารถทำให้แพทองธาร แสดงความไม่มั่นคง หรือไม่สามารถตอบคำถามได้ดี แม้จะ “ล้ม” ไม่ได้ แต่ก็ทำให้ “ร่วง” ได้ในสายตาของประชาชน ใช้ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล ล้มกันเอง อีกหนึ่งเหตุผลที่น่าจะเป็นจุดแข็งของการซักฟอกเฉพาะนายกฯ คือ ถ้าฝ่ายค้านโจมตีพรรคร่วมทั้งหมด พรรคร่วมอาจกลับไปปกป้องกันเอง แต่ถ้าพุ่งเป้าที่นายกฯ คนเดียว พรรคร่วมอาจเลือก “วางเฉย” หรือใช้จังหวะนี้ต่อรองอำนาจ แม้จะจบที่ดีลลงตัวแต่ก็ทำให้เกิดการสั่นคลอนภายในพรรคร่วมรัฐบาลได้ไม่มากก็น้อย สถานการณ์นี้อาจทำให้รัฐบาลดูอ่อนแอ จนพรรคที่มีอำนาจต่อรองสูงอย่าง ภูมิใจไทย หรือพรรคอื่น ๆ ใช้จังหวะนี้กดดันเพื่อขอผลประโยชน์เพิ่ม ถามว่า…
