Browsing: News

แม้เสียงคัดค้านจะดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดัน “กาสิโน” โดยไม่สนใจเสียงประชาชน ทั้งทักษิณ ชินวัตร และภูมิธรรม เวชยชัย ต่างก็ยืนยันหนักแน่นว่า “ไม่ทำประชามติ” แถมภูมิธรรมยังยกตรรกะแปลกๆ ที่ฟังแล้วชวนส่ายหัว โดยระบุว่า “ตามหลักประชาธิปไตย ไม่ว่าประเทศไหนก็ตามเมื่อมีการเสนอเข้ามา ก็ถือว่าเหมือนได้ประชามติมาแล้ว เพราะเป็นการเสนอนโยบายต่อสาธารณะ ประชาชนทุกคนรับรู้ ในรัฐสภามีตัวแทนประชาชนจากทั่วประเทศให้การรับรองไปแล้ว ต้องทำประชามติอะไรอีกและขึ้นอยู่กับการตีความ เรื่องนี้ถือเป็นการทำประชามติเหมือนกัน หากความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ประเทศจะเดินหน้ายาก” ล่าสุด นิด้าโพล เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “การพนันร้อนๆ มาแล้วจ้า” พบว่า ประชาชนกว่า 59% ไม่เห็นด้วยกับทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและคาสิโน ขณะที่ 29% เห็นด้วย ส่วนที่เหลือเห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่มีคาสิโน หรือไม่แสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ ประชาชน 58% ยังไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายให้พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ที่น่าสนใจคือ ประชาชนกว่า 51% ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ ทั้งเรื่องสถานบันเทิงครบวงจรที่มีคาสิโน และการพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ขณะที่ 38% เห็นด้วย จากผลสำรวจ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายกาสิโนของรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับเมินเฉย ไม่ฟังเสียงประชาชน “ผลประโยชน์” ของกาสิโน ยังคงเป็นเรื่องคลุมเครือ ว่าประเทศชาติจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ แต่ผลลบมี “เพียบ” ส่วน “ประชาชน” เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง!

Read More

เป็นข้อมูลที่น่าตกใจในงานเสวนาหัวข้อ “รอบรู้เรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก” ที่มี ผศ.นพ.ปองวุฒิ ด่านชัยวิจิตร อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลศิริราช และ ศ.นพ.กิตติณัฐ กิจวิกัย ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นวิทยากรในประเด็นการป้องกันและรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในทุกมิติ ทั้งด้านสัญญาณเตือน การตรวจคัดกรอง การรักษา และนวัตกรรมยารักษา โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุในปี 2565 ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากสูงเป็นอันดับที่ 4 จากผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด รองจากมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และพบผู้ป่วยรายใหม่สูงถึงปีละ 7,830 ราย มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 3,829 ราย/ปี และทั่วโลกก็พบอัตราการเสียชีวิตสูงปีละเกือบ 4 แสนคนเป็นภัยคุกคามสุขภาพของผู้คน โดยเฉพาะประชากรเพศชายทั่วโลก ผศ.นพ.ปองวุฒิ กล่าวว่า ต่อมลูกหมากทำหน้าที่สร้างของเหลวที่เป็นส่วนประกอบของน้ำอสุจิ ฮอร์โมนเพศชาย หากเซลล์ผิดปกติ และแบ่งตัวไม่หยุดยั้ง อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงคืออายุที่มากขึ้น และพันธุกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะ คือระยะแรกมะเร็งขนาดเล็กอยู่ภายในต่อมลูกหมาก ไม่แสดงอาการ ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งเติบโตแต่ยังจำกัดในต่อมลูกหมาก ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งกระจายออกไปถึงชั้นนอก และระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งกระจายเข้าสู่ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง ซึ่งเมื่อตรวจพบในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายจะทำให้การรักษายากขึ้น สำหรับการรักษามะเร็งระยะที่ 4 จำเป็นต้องใช้การกดฮอร์โมนเพศชาย เพื่อยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมียาต้านฮอร์โมนรุ่นใหม่ (Novel Hormonal Therapy : NHT) แบบรับประทานที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ มีประสิทธิภาพสูง และผลข้างเคียงต่ำ เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวขึ้นพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่ ศ.นพ.กิตติณัฐ กล่าวถึงการสังเกตสัญญาณเตือนเบื้องต้นมะเร็งต่อมลูกหมาก 3 ข้อคือ 1.ปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะลำบาก 2. อาการปวดรุนแรง บริเวณบั้นเอว อุ้งเชิงกราน ต้นขาตลอดเวลา 3. อาการระยะแพร่กระจาย ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดตามร่างกาย ชา หรืออ่อนแรง กระดูกเสื่อม น้ำหนักลด เบื่ออาหาร…

Read More

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิด “ปฏิบัติการ ปิดจบสยบ Fiwfans (ฟิวแฟน) แพลตฟอร์มค้ามนุษย์เด็กออนไลน์” โดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ/ ผอ.ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ (ศตคม.ตร.) แถลงข่าวจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งลักลอบเปิดเว็บไซต์ค้าประเวณีออนไลน์มานานกว่า 4 ปี มีรายได้กว่า 100 ล้านบาท และเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท โดยมีหญิงสาวค้าประเวณีผ่านเว็บไซต์มากถึง 46,000 ราย ในการนี้ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 16 และ 17 ปี จำนวน 2 ราย และได้ส่งตัวเข้ารับการคุ้มครองแล้ว พร้อมกันนี้ ยังสามารถจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นแอดมินเว็บไซต์ รวม 5 ราย ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และมีประสบการณ์เป็นโปรแกรมเมอร์ รวมถึงเคยทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาก่อน ทำให้สามารถใช้เทคนิคปิดบังซ่อนตัวตนได้อย่างแนบเนียน ยากต่อการติดตามจับกุม จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มแอดมินจะได้รับค่าโฆษณาค้าประเวณี และค้าประเวณีเด็ก โดยรับเงินผ่านระบบทรูมันนี่ เพื่อปกปิดตัวตน และอำพรางเส้นทางการเงิน โดยนำเงินที่ได้ไปเติมในเกมออนไลน์ นอกจากนี้ ยังใช้เทคนิคทางคอมพิวเตอร์ทำให้เว็บไซต์ปรากฏ seolah-olah ตั้งอยู่ในต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังจับกุมแม่เล้าชาวลาว ซึ่งนำเด็กหญิงชาวลาวอายุต่ำกว่า 18 ปี มาค้าประเวณี โดยทำมานานกว่า 2 ปี และโพสต์โฆษณาผ่านเว็บไซต์ฟิวแฟน โดยได้รับค่าส่วนแบ่งรายได้จากการค้าประเวณีเด็กมากกว่าเดือนละ 1-2 แสนบาท พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤติยา รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) สั่งการให้เข้าตรวจค้นและจับกุม จำนวน 6 จุด ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตรวจยึดทรัพย์สิน เช่น สมุดบัญชีธนาคาร เงินสด โฉนดที่ดิน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทองคำ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และทรัพย์สินมีค่าอื่น ๆ รวมมูลค่าประมาณ 34 ล้านบาท และอายัดเงินในบัญชีธนาคารประมาณ 6 ล้านบาท รวมอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน…

Read More

เป็นคำอธิบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณี สื่อเมียนมาพาดพิงประเทศเพื่อนบ้านขายไฟฟ้าให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยบอกว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องทำสัญญาซื้อขาย กับบริษัทที่ประเทศเพื่อนบ้านรับรอง จากนั้นสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงการต่างประเทศ จะตรวจสอบคุณสมบัติและยืนยันให้ กฟภ. ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ซึ่งก็คือการไฟฟ้าไทยขายให้กับการไฟฟ้าเมียนมา แต่ไปส่งใคร มันเกินอำนาจอธิปไตยไทย แต่มีเงื่อนไขในสัญญาว่าต้องนำไปใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ ส่วนที่นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการขายไฟให้กับบริษัทที่ทำคอลเซ็นเตอร์ นายอนุทินตอบโต้ว่าจะได้เป็นข่าว ไม่ทำงานก็แค่นั้นเอง ส่วนเราก็ชี้แจงไปเท่านั้นตอบไป 3 รอบแล้ว ถ้าขายให้คอลเซ็นเตอร์ คนที่ขายก็ไม่ใช่ กฟภ. จึงไม่ใช่หน้าที่ตน หรือหน้าที่ ของ กฟภ. ที่จะต้องไปตรวจสอบ เพราะมันเกิดขึ้นในประเทศของเพื่อนบ้าน และพอถามว่านายรังสิมันต์ บอกทางการไทยไม่ตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัทคู่สัญญา นายอนุทิน ก็บอกว่าจะไปตรวจสอบลิงที่ไหน รัฐบาลเมียนมายืนยันมาแล้ว ต้องเชื่อการรับรองจากรัฐบาลเมียนมา ถ้าทุกอย่างมีมาครบ เพราะฉะนั้นเรื่องตรวจสอบ ผู้มีหน้าที่ก็ตรวจสอบ ถ้าพบกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องแจ้งกลับไปว่า บริษัทที่รับรอง ทำสแกมเมอร์ ให้กลับไปดูแลเท่านั้น ส่วนเรื่องที่บอกว่า สมช.ยอมารับกิจการตามแนวชายแดนเป็นภัยความมั่นคงนั้น ก็เป็นเรื่อง สมช.ไม่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทย เพราะได้ขายไฟฟ้าผ่านรัฐบาลเมียนมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทย เพราะนี่กระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงมหาดพม่า”

Read More

นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ประธานกรรมาธิการการปกครอง เปิดเผยกับ The Publisher ถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม (Elephant Nature Park: ENP) จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับการบริหารจัดการสวัสดิภาพสัตว์ การอพยพเคลื่อนย้ายที่ล่าช้ากรณีเกิดอุทกภัยจนทำให้ช้างล้มไป 2 เชือก รวมถึงประเด็นประโยชน์ทับซ้อนระหว่างมูลนิธิและบริษัท ENP ซึ่งเริ่มมีการตรวจสอบตามคำร้องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 คณะกรรมาธิการการปกครองได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของมูลนิธิฯ โดยนางสาวแสงเดือน ชัยเลิศซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนำเยี่ยมชม และอธิบายในประเด็นที่คณะกรรมาธิการการปกครองและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ของจังหวัดเชียงใหม่ยังมีข้อสงสัย โดยเฉพาะในประเด็นสวัสดิภาพช้าง จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อต้นเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว 2567 คาดว่าการสืบหาข้อมูลจะจบภายในเดือนมกราคมนี้ ”ตอนนี้มีการตรวจสอบว่าการดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เงินที่รับบริจาคมาใช้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือเปล่า และการดูแลสัตว์มีการทรมานหรือไม่ ได้มาตรฐานการเป็นปางช้างที่กรมปศุสัตว์กำหนดหรือเปล่า ซึ่งทางจังหวัดและกรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนมกราคมนี้ เมื่อส่งเรื่องมายังกรรมาธิการฯ ก็น่าจะสรุปได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เราให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หวังว่าบทสรุปที่ได้จะช่วยคลายความสงสัย และเกิดการปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกรมปศุสัตว์“ นายกรวีร์ กล่าว ปธ.กมธ.ปกครอง กล่าวด้วยว่า กรมปศุสัตว์ ได้มีการตั้งคณะกรรมการฯ ตรวจสอบสองส่วนคือ สืบหาข้อเท็จจริง และพิจารณาในแง่กฎหมายว่า มีการทำผิดกฎหมายเรื่องการทรมานสัตว์หรือไม่ โดยใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว หลังสอบเสร็จจะมีคำตอบว่าการเลี้ยงแบบขังคอกกระทบกับสวัสดิภาพช้างหรือไม่ ตรงไหนที่ยังทำไม่ถูกก็ต้องมีคำแนะนำให้ปางช้างไปปรับปรุงต่อไป ก่อนหน้านี้เกิดดรามาเกี่ยวกับปางช้างดังกล่าว หลังเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2567 จนทำให้ช้างพังฟ้าใส-พังพลอยทอง ช้างตาบอด 2 เชือกจน้ำตาย ขณะที่ปางช้างอื่น ๆ กลับสามารถเคลื่อนย้ายช้างไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้ เพราะมีการขนย้ายตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน หลังได้รับคำเตือนเรื่องน้ำป่า แต่ปางฯ ดังกล่าวกลับยังเปิดรับนักท่องเที่ยวจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ทำให้เคลื่อนย้ายช้างไม่ทัน

Read More

เป็นความคืบหน้ากองทุนกันยารำลึก ที่คุณกัญจนา ศิลปอาชา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ช้างไทย ที่เปิดและประเดิมเงินในกองทุน 1 ล้านบาท หลังจาก พังกันยา ช้างป่าพลัดหลงฝูง และถูกนำมาเลี้ยงก่อนป่วยตายด้วยโรคเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง (EEHV) ก่อนที่คุณกัญจนาจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เพื่อวิจัยหาวัคซีนรักษาโรคไวรัสนี้ที่มีความอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตในกลุ่มช้างอายุน้อยหรือลูกช้าง โดยหวังว่าจะมีวิธีการรักษา มีตัวยาช่วยชีวิตลูกช้างจากไวรัสดังกล่าว ทั้งนี้มีบรรดาแม่ๆ และคนรักช้างร่วมสมทบทุนมาอย่างต่อเนื่อง บางส่วนผูกบัญชีบริจาคเป็นรายเดือนอีกด้วย ล่าสุดมีการอัปเดตยอดเงินในบัญชีกองทุนกันยารำลึก โดยคุณกัญจนาโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กของตัวเองว่า ยอดล่าสุดวันนี้ของบัญชีน้องกันยา4,370,523.43 บาทค่ะ…จะเห็นว่าแม่ๆก็โอนเงินให้น้องอย่างต่อเนื่องนะคะ …ขอบพระคุณค่ะ… ทางคุณหมอต้อม ทวีโภค (คชบาล) ได้ตั้งคณะกรรมการ ที่จะพิจารณาการอนุมัติใช้กองทุน ซึ่งประกอบด้วยคุณหมอทั้งจากคชบาล มช. และม.เกษตรฯ กำแพงแสน ขึ้นมา รวมทั้งร่างระเบียบการขอใช้กองทุนนี้ ซึ่งดิฉันก็เห็นชอบแล้ว…คาดว่าอีกไม่นานคงจะได้เห็นโครงการที่คุณหมอเค้าจะทำกันนะคะ…เพื่อดูแลไม่ให้เราต้องเสียลูกช้างจากโรคไวรัสร้ายนี้…. ระลึกถึงเด็กน้อย “กันยา” อันเป็นที่รัก… ทั้งนี้ คุณหมอต้อม ทวีโภค ที่คุณกัญจนโพสต์ หมายถึง นายสัตวแพทย์ ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ บอกว่ากองทุนนี้จะสนับสนุนให้คุณหมอทั้งหลาย ได้ทำการศึกษาวิจัยหาวิธีรับมือกับโรค EEHV. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #น้องกันยา #กันยารำลึก #กองทุนกันยารำลึก #ลูกช้างกำพร้า #โรคEEHV #ไวรัสช้าง ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

เมื่อวานนี้ (23 ม.ค.68) บอร์ด สปสช. จัดสรรงบบัตรทอง 145.63 ล้านบาท รองรับ “บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ” ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ใหม่ “ยาฮอร์โมน” ทำให้เกิดคำถามว่า เป็นการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม หรือเพื่อหาเสียงกับกลุ่ม LGBTQ+ ที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้พอดี รัฐบาลอาจได้หน้า ได้แต้ม แต่ใช่การจัดงบประมาณที่เหมาะสมหรือไม่ ในภาวะที่งบบัตรทองยังขาดแคลนและมีปัญหาในภาพรวม เช่น การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำกัด คุณภาพการรักษาพยาบาลที่ไม่เท่าเทียมกัน และความครอบคลุมของสิทธิประโยชน์ที่ยังไม่เพียงพอ มีข้อมูลในปี 2567 ว่าโรงพยาบาลรัฐสังกัด สธ.จาก 902 แห่ง มีเงินบำรุงติดลบหรือขาดทุนราว 278 แห่ง และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากค่าใช้จ่ายมีแต่จะเพิ่มขึ้นจากภาวะสังคมสูงวัย ขณะเดียวกันเราได้เห็นการออกมาทวงหนี้จากโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงคลินิก ที่เห็นชัดเจนคือกรณีโรงพยาบาลมกุฏวัฒนะ ซึ่งประกาศหยุดรับผู้ป่วยส่งต่อในเดือน ก.พ.-มี.ค.68 ปีงบประมาณ 2568 บัตรทองได้รับงบประมาณรวม 235,842.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาถึง 8.4% จากปี 2567 ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 272,583.2 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2568 ราว 19.5 % สะท้อนชัดภาระบัตรทองนับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้น การจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณ ควรแก้ปัญหาหลักที่กระทบต่อภาพรวมก่อนการหาเสียงทางการเมืองหรือไม่

Read More

เป็นการเปิดเผยจาก ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล ที่ได้ทำการสำรวจความเห็นประชาชนในหัวข้อ “เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2568” ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 47 จังหวัด โดยผู้ให้สำรวจ 1,500 คนจากทั่วทุกภูมิภาค ระหว่างวันที่ 13 – 19 ม.ค 2568 โดยพบว่าพรรคที่มีสิทธิชนะมากสุดในการเลือกตั้งท้องถิ่น อันดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย 30.6% อันดับ 2 พรรคภูมิใจไทย 20.8% อันดับ3 พรรคประชาชน 20.5% อันดับ 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ 10.2% อันดับ 5 พรรคชาติไทยพัฒนา 6.9% อันดับ 6 พรรคประชาธิปัตย์ 6.4% และอื่นๆ 4.6% โดยได้สอบถามผู้สำรวจว่า ปัจจัยใดที่ท่านใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจเลือกผู้สมัครนายก อบจ. มากที่สุด คำตอบคือพรรคการเมืองที่สังกัด 45.6% ต่อมาเป็น ตัวผู้สมัคร 32.8% และหัวหน้าพรรคการเมืองที่สังกัด 21.6% และเมื่อถามว่าตั้งใจจะไปใช้สิทธิ์หรือไม่ ประชาชนเกินครึ่ง 50.2% ตัดสินใจว่าไปแน่นอน ขณะที่ ไม่ไปแน่นอน อยู่ที่ 14.1% และ ยังไม่ตัดสินใจ 32.8% ขณะที่วันนี้หลายพรรคยังส่งแกนนำและผู้ช่วยหาเสียงเดินหน้าช่วยผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ยิ่งเข้าใกล้โค้งสุดท้ายยิ่งคึกคัก อาทินายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ ผู้ช่วยหาเสียงจากพรรคเพื่อไทย 2 วันนี้ไปช่วย ผู้สมัครนายก อบจ.ศรีสะเกษที่ จ.ศรีสะเกษ หาเสียง 4 เวที คราวนี้มีวิธีป้องกันเหตุซ้ำรอยปาสิ่งของขึ้นเวทีระหว่างการปราศรัยของนายทักษิณแล้ว ส่วนพรรคประชาชน วันนี้แกนนำหลัก ๆ ตัวเด่น ๆ นัดหมายลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงที่จังหวัดจันทบุรี วันเสาร์ลุยต่อสนามเลือกนายก อบจ.ระยอง-ชลบุรี วันอาทิตย์ที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นนทบุรี

Read More

ปัญหาฝุ่น PM2.5 คุกคามสุขภาพคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเองก็ประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ตั้งแต่ปี 2562 แต่ผ่านมาหลายปี ปัญหาก็ยังวนเวียนอยู่เช่นเดิม คล้ายกับว่า “อากาศสะอาด” เป็นเรื่องไกลตัว ถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ต่ำกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่ดูจะ “ทำเงิน” ได้มากกว่า เห็นได้ชัดจากความล่าช้าในการผลักดัน พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นความหวังสุดท้ายในการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างจริงจัง ขณะที่โครงการอย่าง “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ กาสิโน กลับถูกเร่งรัดดำเนินการอย่างรวดเร็ว แม้ พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะผ่านการรับหลักการในสภาฯ ไปแล้วเมื่อต้นปี 2567 แต่กระบวนการก็ยังล่าช้า กว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ก็ปาเข้าไปกลางปี ท่ามกลางความกังวลว่าจะไม่ทันปิดสมัยประชุมในเดือนเมษายน 2568 แตกต่างจาก “สถานบันเทิงครบวงจร” ที่มีใบสั่งไปถึงกฤษฎีกาต้องปิดจบภายใน 50 วัน หวังชงเข้าสภาฯ รับหลักการวาระแรกให้ได้ในสมัยประชุมนี้ และวางเป้าหมายมีผลใช้บังคับในปีนี้ ส่วน “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ยังลูกผีลลูกคน กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนไม่ได้ ว่าคนไทยจะได้สูดอากาศสะอาดกี่โมง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ธาตุแท้” ของรัฐบาลหรือไม่? หรือเป็นเพราะ “อากาศสะอาด” ไม่สามารถ “แปลงเป็นเงิน” เข้ากระเป๋าใครได้ จึงไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร?

Read More

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ยังคงอยู่ในระดับค่าฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน และไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเพิ่มจากระดับสีส้มสู่ระดับสีแดง ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ และจะเป็นอย่างนี้จนถึงวันที่ 26 มกราคม นี้ จน กทม.ต้องประกาศขอความร่วมมือให้ WFH ตลอดสัปดาห์นี้ และขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้งโดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันตนเอง แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางฝุ่นพิษ ตาม The Publisher ไปค้นหา 3 อาชีพทำงานท่ามกลางมลพิษ ได้แก่ พ่อค้าสามล้อขายน้ำ ไรเดอร์รับจ้างส่งอาหาร และมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทั้ง 3 อาชีพให้ข้อมูลกับ The Publisher ว่า พวกเขาทราบดีว่าฝุ่นมลพิษ PM 2.5 นั้น มีความอันตรายแค่ไหน เพราะพวกเขาก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่นอาการระคายเคืองตา ไอ เจ็บคอ แสบจมูก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดงานเพื่อป้องกันตนเองจากฝุ่นได้ ทำได้เพียงสวมใส่หน้ากากอนามัยและทำงานต่อเท่านั้นเหตุผลที่ไม่สามารถหยุดงานได้นั้น หลักๆ คือ เรื่องของรายได้ เนื่องจากอาชีพที่พวกเขาทำอยู่นั้นไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน เป็นเพียงแค่รายได้รายวันเท่านั้น หากหยุดงานจะขาดรายได้ไป ซึ่งแต่ละคนก็มีภาระ และครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบทั้งนั้น แค่รายได้ต่อวันก็แทบจะไม่เพียงพอ หรือเหลือเก็บแล้ว ต่อให้จะต้องทำงานท่ามกลางฝุ่นพิษ ก็ต้องยอมทน อดทนเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว นอกจากนี้ The Publisher ยังได้สอบถามต่อว่า หากต้องเลือกระหว่าง ทำงานที่ต่างจังหวัดแต่คุณภาพดี กับ ทำงานในเมืองหลวงฯ แต่คุณภาพอากาศย่ำแย่ จะเลือกอะไร? คำตอบที่ได้คือ ทำงานในเมืองหลวงฯ แต่คุณภาพอากาศย่ำแย่ ดีกว่า เนื่องจากเหตุผลทางด้านรายได้ที่มากกว่า แม้จะต้องทนอยู่ในท่ามกลางฝุ่นพิษก็ยอม เพื่อปากท้องของคนในครอบครัว

Read More